ชาวยิวทั้ง 2 ชุมชน ยังคงรักษาไว้ซึ่งความแตกต่างของชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของตนเอง ปลาย ศต. 19 มีกลุ่มชาวยิวที่พูดภาษาอารบิค หรือ Baghdadi Jews - แบกแดดยิว ได้อพยพมายังอินเดียใต้ และมาอยู่ร่วมชุมชนกับยิว Paradesi
หลังการประกาศเอกราชของประเทศอินเดียใน ปี 1947 และอิสราเอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประเทศ ชาวยิวในโคชินเกือบทั้งหมดอพยพจากเกรละ ไปประเทศอิสราเอล หรือประเทศอื่น ๆ ช่วงกลางทศวรรษ 1950 มีการขายโบสถ์เกือบทั้งหมด เพื่อใช้ในกิจการอื่น ๆ แต่โบสถ์ที่โคชิยังคงอยู่ และพิธีกรรมยังคงดำเนินต่อไป และกลายเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน
ตามคำกล่าวที่แพร่หลายของชาวมาลายัม ว่า "พระเจ้าที่สร้างเกรละ มีนิ้วโป้งสีเขียว จึงทำให้เกรละเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ เขียวชอุ่ม และงดงาม ดังเมืองของพระเจ้า - God's Own Country"
สายแล้ว ร้านค้า แผงลอยเริ่มเปิด นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย เริ่มเดินชมของที่ระลึก หลังจากไปชม โบสถ์ยิว (Jewish Synagogue) และ Mattancherry Palace มาแล้ว
ชุมชนยิวแห่งมัตตันเชอรรี่ และอาณาบริเวณรอบ ๆ โบสถ์ยิว ในอดีตนอกจากจะเป็นศูนย์กลางของชุมชนยิวแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศของโคชินอีกด้วย
หากเดินไปตามถนนแคบๆ ในยิวทาวน์ จะเห็นอาคารเก่าที่ทรุดโทรม มีกลิ่นหอมฉุนของขิง กระวาน ยี่หร่า ขมิ้น และกานพูลโชยมา อาจเห็นชื่อของชาวยิวที่ยังค้างคาอยู่ที่ป้ายหน้าร้าน
ยิวทาวน์เคยรุ่งเรืองด้วยการค้า แม้จะพูดภาษามาลายาลัม ชาวยิวในชุมชนยิวก็คงรักษาเอกลักษณ์ ประเพณี พิธีกรรม การสวดมนต์และวัฒนธรรมฮิบรูไว้อย่างเข็มแข็ง พวกเขาแต่งกายแบบดั้งเดิม ทำอาหารแบบดัั้งเดิม ซื้อเนื้อจากร้านขายเนื่้อของชาวยิว
ปัจจุบันครอบครัวชาวยิวเหลืออยู่เพียงไม่กี่ครอบครัว และมีอายุกว่า 80 ปี ขึ้นไป
Jew Street ได้เป็นประจักษ์พยานของความรุ่งเรืองนั้นในอดีต ปัจจุบันได้แปรเปลี่ยนไปเป็นอาคารร้านค้าของโบราณ ร้านขายของที่ระลึก ร้านเครื่องเทศที่เหลือไม่มาก และแออัดไปด้วยนักท่องเที่ยว
โบสถ์ยิว Paradesi (White Jew) Synagogue
เดินไปเรื่อยจนสุดซอย Synagouge ก็มาถึงโบสถ์ยิว Paradesi (White Jew) Synagogue ที่ป้อมโคชิ ซึ่งเป็นโบสถ์ยิวที่ยังประกอบพิธีกรรมอยู่ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ สร้างในปี 1567 เป็นหนึ่งในเจ็ดโบสถ์ยิวของชุมชนยิว ที่อาศัยในโคชิน
จากที่คำว่า Paradesi ซึ่งหมายความว่า "ชาวต่างชาติ" จึงได้นำมาเรียกโบสถ์ยิวแห่งนี้ เพราะสร้างโดย Sepharadic หรือ ชาวยิวที่พูดภาษาสเปน ทั้งยังหมายถึง โบสถ์ยิวแห่งโคชิน (Cochin Jewish Synagogue) หรือ โบสถ์แห่งมัตตันเชอรี่ (Mattancherry) อีกด้วย โบสถ์สร้างอยู่ใกล้กับพระราชวังมัตตันเชอรี่ (Mattancherry Palace) เคยถูกทำลายโดยชาวโปรตุเกส และสร้างใหม่ในปี 1664 โดยชาวดัทช์
ภายในไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูป ก็ขอรูปมาจาก internet เหมือนเดิมค่ะ
ภายในตกแต่งสวยงาม เช่น แชนเดอร์เรียร์จากเบลเยี่ยม ธรรมมาสน์ทองเหลือง พื้นปูด้วยกระเบื้องพอร์ซเลน ศต. ที่ 18 จากจีน แต่ละแผ่นไม่เหมือนกันเพราะวาดด้วยมือทุก ๆ แผ่น นอกจากนั้น ปัจจุบันยังเป็นที่เก็บรักษาของมีค่า และของโบราณ เช่น กฏบัตรโบราณ จานทองแดงจากศต. ที่ 10 นาฬิกาจาก ศต. ที่ 18 และอื่น ๆ
ออกมาด้านนอก มีคนมาขอถ่ายรูปกับลุง สังเกตุว่าผู้คนเป็นมิตรและมีอัธยาศัยดีมาก ๆ เลยค่ะ
พระราชวังมัตตันเชอรี่ (Mattancherry Palace)
จากโบสถ์ยิว ก็ไปชม Mattancherry Palace หรือ Dutch Palace เป็นอาคาร 2 ชั้น สร้างโดยชาวโปรตุเกส เมื่อปี 1557 เพื่อมอบให้แก่ราชา Vira Keralavarma (คศ. 1537 - 1561) แห่งโคชิ ได้รับการปรับปรุงโดยชาวดัทช์ ในปี 1663 พระราชวังนี้มีรูปแบบเหมือนคฤหาสน์เกรละ ที่เรียกว่า Nalukettu - (ที่พักอาศัยของขุนนางผู้ใหญ่ หรือชั้นสูง) แยกออกเป็นสี่ปีก เปิดสู่ลานตรงกลาง ซึ่ง ณ ลานนี้ ที่มีเทวาลัยภควตีตั้งอยู่
พระราชวังเป็นอาคาร 2 ชั้น สร้างตรงจุดที่จะเห็นทัศนียภาพแบบพาโนรามาของ backwaters ของโคชิ
มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่งดงามรอบอาคารพระราชวังที่ยาวกว่า 300 เมตร หลัก ๆ ก็เป็นเรื่องราวมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ของอินเดีย คือ รามายนะ และมหาภารตะ ทั้งยังมีตำนานเกี่ยวกับเทพในศาสนาฮินดู รวมทั้งงานของกวีสันสกฤต Kalidasa ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงสิ่งของอื่น ๆ อีก เช่น อาวุธ เครื่องใช้ และเครื่องตกแต่ง ทำให้เราได้เห็นภาพวิถีชีวิตบางส่วนของราชวงค์ (ภายในห้ามถ่ายรูป รูปข้างต้นจาก internet ค่ะ )
หลังจากสัมผัสกลิ่นไอยุคโคโลเนียลบริเวณ Jew town ได้รู้ได้เห็นประวัติศาสตร์บางส่วนของโบสถ์ยิว และพระราชวังมัตตันเชอรี่แล้ว ก็ไปตามหาพริกไทยค่ะ ไปตามหาจริง ๆ ด้วย
ด้วยตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องไปซื้อพริกไทยที่โคชิ .... จริง ๆ ก็เห็นมีขายบริเวณ boat jetty และร้านที่ถนน Synagogue แต่เพราะอยากจะซื้อจากร้านขายที่ไม่ได้ขายนักท่องเที่ยว จึงถามคนแถวนั้นว่าหาซื้อเครื่องเทศได้ที่ไหน เขาบอกว่าต้องไปที่ "KC" ทั้ง 3 สว. เดินกันเหงื่อตก (เพราะอากาศร้อนมาก ขนาดเป็นกลางเดือนตุลาคมเข้าไปแล้วนะ) ถึง "KC" ปรากฏว่า "ปิด" (Closed) ค่ะ .... ลืมไปว่าวันอาทิตย์ร้านปิด
แค่ร้านปิดวันอาทิตย์จะไปย่อท้ออะไร ... ขนาดต้องข้ามทะเล มหาสมุทร รอนแรมมากันเป็นเดือน ๆ ผ่านอะไรต่อมิอะไรเพื่อตามหาเครื่องเทศชั้นดี ชาวยุโรปก็ยังมากันเลย
วันรุ่งขึ้นก่อนกลับ เราก็ไปกันอีกครั้งค่ะ วันนี้ร้านเปิดแล้ว
ในอดีตที่เกรละ "พริกไทย" เป็นเสมือน "karuthuponnu" หรือ "black gold - ทองคำสีดำ" หมายถึง "พริกไทย" เป็นกระดูกสันหลังของการค้าเครื่องเทศทั้งในประเทศ และต่างประเทศของรัฐนี้
แม้การค้าเครื่องเทศจะไม่รุ่งเรืองเท่าอดีต แต่วิธีการคัดเลือก การเก็บรักษา และการประมูล ก็ยังคงดำเนินอยู่ที่ป้อมโคชิ อย่างที่เป็นตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา
แล้วก็ได้พริกไทยชั้นดีจากแหล่งผลิตพริกไทยที่ดีที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง มีพริกไทยดำ พริกไทยขาว และพริกไทยเขียว คนขายบอกว่าพริกไทยเขียวจะเผ็ด และหอมกว่าอีก 2 ชนิด แพงกว่าด้วย เหมือนจะ 800 รูปี ต่อกิโลกรัมค่ะ
ได้พริกไทยแล้วก็มีแรงเดินต่อ ผ่านย่านอาคารที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยเครื่องเทศนานาชนิด แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
จากนั้นก็เดินไปเรื่อย ๆ จนใกล้จตุรัสวาสโก ดา กามา ..ก็มีรถตุ๊ก ๆ มาจอดพรืดอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเสียงทักทายมาจากในรถ นายบาบูนั่นเอง "ขึ้นรถมาเลย เดี๋ยวจะไปส่ง" "ไม่เป็นไร เดินไปก็ได้" "ไม่เป็นไร ขึ้นมา ๆ" หลวมตัวขึ้นไปแล้ว ก็ตามฟอร์ม "แวะร้านนี้ ๆๆ หน่อยนะ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร ไปดูก่อน"
บาบูไม่ได้สังเกตุนักท่องเที่ยวแบกเป้อย่างเราเลยหรือ !!?? เฟอร์นิเจอร์ติดตัวสักชิ้นก็ไม่มี รองเท้าก็รองเท้าแตะฟองน้ำแถมกางเกงชาวเลอีกต่างหาก แต่ก็เห็นใจบาบูนะคะ บาบูจะไปถามคนที่แต่งตัวหรูได้อย่างไร เฟอร์รารี่ ตุ๊ก ตุ๊ก เนี่ย !!!
สุดท้ายก็ได้แวะร้านหรูที่บาบูพาไปส่ง (แต่สภาพเรามันตรงกันข้ามกับร้านเลย) ได้ของที่ระลึกมากันคนละชิ้น ออกมาก็เห็นบาบูยังรออยู่หน้าร้าน ก็เลยถ่ายรูปกันเอาไว้
ใครไปถึงโคชิอยากอุดหนุนบาบู ก็ตามนามบัตรนี้ค่ะ
ตกลงก็ไม่ได้ให้บาบูไปส่งตามที่เขาบอก เดินไปเรื่อย ๆ ดูอะไร ๆ ไปเรื่อย ๆ เย็นแล้ว อากาศสบาย ๆ ไม่ร้อนมาก
ถึงเวลาที่ต้องกล่าวคำอำลา จากป้อมโคชิไปสนามบิน มีรถตลอดทั้งวัน เที่ยวแรก 8.00 น. เที่ยวสุดท้าย 18.55 น รถจะมาก่อนเวลาประมาณ 10 นาที จอดที่มุมจตุรัสวาสโก ดา กามา รายละเอียดอื่น ๆ ดูตามลิงค์นี้ได้เลยค่ะ //m.cial.aero/Pages/Bus-Timings
ที่สนามบินโคชิน มีเก้าอี้นั่งรอ 2 แบบ เป็นเก้าอี้เหล็กอะไรสักอย่างสีเงิน ดูสะอาดสะอ้าน แล้วก็มีเก้าอี้นวม แอบคิดเอาเองว่าเหมือนเก้าอี้ราชายังไงไม่รู้ ..
รูปสุดท้ายลุงนั่งสบายมาก