บล๊อกของลุง กับป้า ที่ชอบการท่องเที่ยว
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2559
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
25 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
ตอน 11 - อลัปปูจา (Alapphuza), Kerala


หนังสือหน้าต่างสู่โลกกว้าง ฉบับอินเดีย หน้า 338 กล่าวถึง "รัฐเกรละ" ว่า เป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ งดงาม และรุ่มรวยไปด้วยตำนาน ประวัติศาสตร์ ขนบประเพณี และวัฒนธรรม แหล่งท่องเที่ยวของเกรละส่วนใหญ่ จะซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขากระวานและชายฝั่งมะละบาร์  ร้อยเรียงอยู่ระหว่างแม่น้ำ 41 สาย  ป่าสัก สวนพริกไทย และสวนยางที่เขียวชอุ่มอยู่ชั่วนาตาปี  เพราะอิทธิพลของลมมรสุม"  

ความงามและความหลากหลายทั้งของธรรมชาติ วัฒนธรรม และประเพณีต่าง ๆ เหล่านี้ ได้หลอมหลวมจนทำให้รัฐเกรละ ได้รับนามว่า "เมือง - บ้านของพระเจ้า - สถานที่ที่พระเจ้าเลือกที่จะอยู่"  (God's Own Country)  .....จากข้อมูลมีหลายสถานที่ในหลายประเทศ ที่มีชื่อว่าเป็น God's Own Country เช่น ไอร์แลนด์ ยอร์คเชียร์ - อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซึแลนด์ และโรดีเซีย



รัฐเกรละตั้งอยู่ทางใต้ ด้านตะวันตกของประเทศอินเดีย ริมฝั่งทะเลอาเบียน   ด้านตะวันออก คือ รัฐทมิฬนาฑูที่เราเพิ่งไปแว๊บ ๆ กันมา  ชื่อรัฐมาจากภาษามาลายาลัม แปลว่า "ดินแดนแห่งต้นมะพร้าว " 

ภาษามาลายาลัมนี้ เป็นภาษาราชการของรัฐ จัดอยู่ในตระกูลภาษาดราวิเดียน ใกล้เคียงกับภาษาทมิฬ   คำว่า "มาลายาลัม" หมายถึง "บริเวณภูเขา"  มาจากคำในภาษาทมิฬสองคำ คือ "มาไล" แปลว่าภูเขา และ "อาลัม" แปลว่าบริเวณ  

ประชาชนเกินกว่าครึ่งในรัฐนับถือศาสนาฮินดู ตามด้วยศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์  มีวัฒนธรรมผสมผสานกันระหว่างอารยันและดราวิเดียน ซึ่งพัฒนามานานนับพันปี  และยังมีอิทธิพลจากภาคอื่น ๆ ของอินเดีย และจากนอกประเทศด้วย  

รัฐเกรละมีการเปิดรับสื่อมากที่สุด มีหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์เป็นภาษาต่าง ๆ ถึง 9 ภาษา  หลัก ๆ คือภาษาอังกฤษ และมาลายาลัม มีประชากรที่รู้หนังสือมากที่สุดของประเทศ  เกรละเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวหนึ่งที่โดดเด่นของอินเดีย ที่พร้อมทั้ง backwaters ชายหาด อายุรเวท และความเขียวชอุ่มของพื้นที่เขตร้อน

ชายฝั่งมะละบาร์เป็นเขตปลูกพริกไทยคุณภาพดีที่สุดในโลก  ถึงกับทำให้ยุโรปกว่าครึ่งทวีปต่างแก่งแย่งชิงดีกัน เพื่อให้มีอำนาจควบคุมการค้าพริกไทยเม็ดเล็ก ๆ เหล่านี้  ผลผลิตจากพริกไทย และยาง เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศ  ส่วนพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สำคัญ ก็มีมะพร้าว ชา กาแฟ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และเครื่องเทศ ประมงเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของรัฐ


ติรุวนันทปุรัม (Thiruvananthapuram) หรือ ตริวันดรัม (Trivandrum) ซึ่งเป็นชื่อเดิมในสมัยอาณานิคม   เป็นเมืองหลวงของรัฐ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ ... คร่าว ๆ กันแค่นี้ก็แล้วกันนะคะ 

สำหรับ อลัปปูจา (Alappuzha)  ที่เราอุตสาห์ดั้นด้น ทั้งนั่งรถไฟมา กว่า 5 ชม.  รอเรือ 3 ชม. กว่า  แล้วก็นั่งเรือมาอีกร่วม 3 ชม. นั้น เป็นเมืองหนึ่งและใหญ่เป็นอันดับ 6  ในรัฐเกรละ  มีผู้รู้หนังสือมากที่สุดเป็นอันดับ 3 .... กล่าวว่าเมืองอลัปปูจาเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในแคว้นนี้ ที่มีการวางผังเมือง  ทั้งประภาคารที่ชายฝั่งของเมือง 

อลัปปูจาอยู่ระหว่างตริวันดรัมและโกชิ  เหนือตริวันดรัมมา 155 กม. และใต้โกชิ 62 กม. เป็นเมืองท่าที่รู้จักกันดีแห่งหนึ่งของชายฝั่งมะละบาร์  เป็นเมืองที่งดงามไปด้วยคูคลอง ที่ลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน เรือกสวนและไร่นา มีบึงน้ำกร่อย backwaters และชายหาด ...

Lord Curzon อุปราชแห่งอินเดีย ได้พูดถึงอลัปปูจาว่าเป็นเมืองหนึ่งที่เป็น "เวนิสแห่งตะวันออก" (Venice of the East)  ปัจจุบันยังคงใช้การคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก  อลัปปูจาเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของอินเดีย

เช้าวันนี้เราตื่นขึ้นมาที่เวนิสตะวันออก แห่งเกรละ โดยได้ความอนุเคราะห์จากคนท้องถิ่นที่หาที่พักให้  





K.T.C. มีทั้งที่พักในเมือง และ houseboat ค่ะ 

houseboat ส่วนใหญ่มีอายุนับร้อยปี เป็นเรือที่ดัดแปลงมาจาก เรือเกตตุวัลลัม (Kettuvallams - หมายถึงเรือผูก)  ในภาษามาลายาลัม "kettu" หมายถึง "ผูกเข้าด้วยกัน" และ "vallam" หมายถึง "เรือ"  ... เรือทั้งลำทำจากแผ่นไม้ที่ได้จากต้นไม้จำพวกขนุน  และผูกติดกันด้วยเชือกที่ทำจากกาบมะพร้าว  โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ดอกเดียว  .... ในอดีต เรือ Kettavallams เป็นเรือขนาดใหญ่ที่ขนส่งข้าวสาร เครื่องเทศ และสินค้าอื่น ๆ  จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง  และที่ที่ห่างไกลออกไป 

เมื่อมีการใช้ยานพาหนะสมัยใหม่ การขนส่งทางน้ำลดน้อยลง  จึงได้ดัดแปลงเรือดังกล่าวมามาเป็นที่พักสุดหรูที่ใช้ในการท่องเที่ยวแทน  



เราสำรวจบริเวณท่าเรือ และถนนในเมืองเก่า ดูบรรยากาศสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ ไม่จอแจ



  บางอาคารร้านค้าก็เก่าถึง 100 กว่าปี








 เมืองอลัปปูจา หรือเรียกอีกชื่อว่า อัลเลปปี้ ตั้งอยู่ริมสองฝั่งคลอง และล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าว เป็นศูนย์กลาง backwaters ของเกรละ เพราะมีเส้นทางน้ำที่โยงใยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ มี houseboat นับพัน และเป็นศูนย์กลางของการล่องเรือใน backwaters ซึ่งมักจะล่องไปกลับจากโกลัม (Kollam) และกัตตะยัม (Kottayam)




บริเวณท่าเรือที่มาถึงวันก่อน


การคมนาคมทางน้ำเป็นอีกทางเลือกหลักของการเดินทาง ... เส้นทางเดินเรือของ SWTD (State Water Transportation Department) ที่ออกจากอลัปปูจามีถึง 52 เส้นทาง  มีเรือออกตั้งแต่ 5.30 น. ถึง 21.30 น.   //swtd.kerala.gov.in/pages-en-IN/bsfromalappuzha.php




ส่วนเส้นทางที่ออกจากเมืองอื่น ๆ มีทั้งหมด 13 เมือง  แต่ละเมืองก็มีเส้นทางย่อยไปยังเมืองอื่น ๆ  ตารางเวลา และเส้นทางที่ผ่าน ตามเว๊บนี้ค่ะ //swtd.kerala.gov.in/pages-en-IN/boatschedules-index.php






ราวตากแหริมคลอง


เดินไปเรื่อย ๆ ไม่ไกล ก็มาถึง Mullakkal Devi Temple


 Mullakkal Devi Temple  หรือ  Mullakal Bhagavathi Temple ตั้งอยู่ใจกลางเมืองอลัปปูจา มีอายุราว 500 ปี สร้างตามแบบดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมเกรละ  เป็นอาคารชั้นเดียว  หลังคาลาดต่ำมุ่งด้วยกระเบื้อง  เป็นตัวอย่างหนึ่งของเทวาลัยทีี่มีสถาปัตยกรรมแบบโบราณ  ที่ยังคงมีอยู่หลาย ๆ แห่งทั่วรัฐเกรละ 


มีตำนานว่าเจ้าแม่ภควตีได้ปรากฏองค์ เพื่อมาดูแลต้นมะลิ  ณ ที่นี้หลายครั้งหลายหน ... 




เมื่อผ่านเข้าไปในบริเวณเทวาลัย  ก็จะเห็นวิหารศักดิสิทธิ์  ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ไม่มีหลังคา เปิดโล่ง  ทำให้รับทั้งแสงแดดและฝน   วิหารนี้จะดูเรืองรองยิ่งในตอนเย็นจากตะเกียงน้ำมันที่อยู่รายล้อมที่ถูกจุดขึ้นมา 



จากทางเข้าสถานที่บูชา จะมี พื้นที่ประมาณ 50 - 60 ตร. เมตร ที่มีหลังคา  .. ตามธรรมเนียมปฏิบัติและประเพณีดั้งเดิม  อาคารที่มีหลังคานี้เป็นที่พักของช้าง เพื่อใช้ในการเฉลิมฉลองพิเศษ




 นักดนตรีฝีมือดี แสดงดนตรีประกอบระหว่างพิธีบูชา 




เทวาลัยเปิดให้เข้าได้ทุกวันตลอดสัปดาห์  ส่วนพิธีบูชาตอนเช้า จะเริ่มตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง ถึง 10 โมงครึ่ง  ตอนเย็นตั้งแต่ 5 โมง ถึง 2 ทุ่ม



 ระหว่างการทำพิธีบูชา จะนำช้างออกมาเดินรอบเทวาลัย เสร็จแล้วก็กลับไปที่เดิม



ที่ Mullakkal Devi Temple มีการเฉลิมฉลองที่สำคัญยิ่ง 2 งาน คือ นวราตรี (Navarathri)  เฉลิมฉลอง 9 วัน   2 วันสุดท้ายเป็นวันที่มีฤกษ์งามยามดีทีี่สุด มีขบวนแห่ตอนเย็น พร้อมช้าง 9 เชือก ตกแต่งอย่างสวยงามร่วมขบวนพร้อมกับศาสนิกชนนับพัน และยังมีการแสดงบนเวทีทางวัฒนธรรมอีกหลายรายการ

อีกหนึ่งงานที่สำคัญ มีระหว่างเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม คือ งาน "Mullakkal Chirappu"  มีการเฉลิมฉลองกันยาวนานถึง 41 วัน ทั้งเมืองจะตกแต่งอย่างสวยงาม กลางคืนจะงดงามด้วยแสงไฟ  10 วันสุดท้ายจะเป็นช่วงเวลาที่มีกิจกรรมมากที่สุด




 นอกจากอาคารของเจ้าแม่ภควตี  ยังมีอาคารอื่นภายในเทวาลัย เช่น อาคารของหนุมานสวามิ  พระคเณศ  ศรีกฤษณะ อีกด้วย




 เราอยู่ที่อลัปปูจาเพียงครึ่งวัน ได้เพียงสำรวจเมืองไปร่วมพิธีบูชาที่ Mullakkal Devi Temple  แล้วก็ออกเดินทางต่อด้วยรถบัสเหมือนเดิม ไปโกจิ (Kochi) ที่อยู่ห่างไปทางเหนือประมาณ 60 กว่า กม. นั่งรถกินลมไปสักชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว  แล้วก็เที่ยวต่อได้เลยในบล๊อคหน้าค่ะ 


ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียและเว๊บไซด์

https://www.quora.com/Why-is-Kerala-called-Gods-Own-Country-1
https://in.answers.yahoo.com/question/index?qid=1005121600868
//wol.jw.org/th/wol/d/r113/lp-si/102008128
//www.alleppey.info/city/alleppey/listing/mullakkal-devi-temple/
https://en.wikipedia.org/wiki/God%27s_Own_Country




Create Date : 25 มีนาคม 2559
Last Update : 30 มีนาคม 2559 15:12:38 น. 0 comments
Counter : 2236 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 1920579
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 1920579's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.