บล๊อกของลุง กับป้า ที่ชอบการท่องเที่ยว
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2564
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
2 พฤศจิกายน 2564
 
All Blogs
 

ตอน 12 - เที่ยว Cambridge แล้วต่อไปเมือง Bath



Cambridge อยู่ห่างจากกรุงลอนดอนไปทางเหนือ ราว 60 ไมล์ (96 กม.)  ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Cam --- เคยเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในยุคโรมัน และไวกิ้ง  ได้รับกฏบัตรของเมืองครั้งแรกใน ศต. ที่ 12 

ส่วนสถานะของเมืองสมัยใหม่ได้รับอย่างเป็นทางการในปี 1951 ---  ปัจจุบัน  Cambridge  และเป็นศูนย์กลางการปกครองของ Cambridgeshire 




  ตามแม่เปี๊ยกไปเที่ยว Cambridge ล่วงหน้าได้เลยค่ะ  
(ตอนที่ 17 # ไปเมือง CAMBRIDGE)  https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kapeak&month=05-2016&date=06&group=41&gblog=37
 



เดินทางโดยรถบัสประมาณ 2 ชม. ก็มาถึงเมือง
Cambridge ที่ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยสนามกว้างเขียวขจี  เห็นยอดแหลมของ Holy Trinity Church ด้านหลัง





ป้ายประกาศติดตามรั้ว -- รถจักรยานจอดเป็นแนว





ตู้โทรศัพท์สีแดง



ดอกไม้สีม่วง



ผู้สูงอายุนั่งรับแดดที่หน้า
HolyTrinity Church - Wow !!!  นี่คือเมือง Cambridge ที่เห็น


HolyTrinity Church  เป็นโบสถ์แห่งแรกของเมือง  อยู่ติดกับถนนโรมันสายเก่า เดิมเป็นอาคารไม้มุงจากหลังเล็ก ๆ  หลังจากถูกไฟไหม้ในปี 1174  ก็ได้สร้างใหม่เป็นโบสถ์หิน นับจากปี 1350  มีการพัฒนาโบสถ์และก่อสร้างมาเรื่อย ๆ ---- หากคงมีเพียงกำแพงเก่าด้านตะวันตกที่เหลือมาถึงปัจจุบัน 


Cambridge เป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ของประเทศ  และรู้จักกันมากที่สุด  ด้วยเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของ University of Cambridge ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาขนาดกลาง ค่อนข้างใหญ่ --- "โรงเรียน" แห่งแรกก่อตั้งขึ้น ใน ศต. ที่ 12  โดยนักวิชาการผู้อพยพจากปารีส  และวิทยาลัยแห่งแรกคือ Peterhouse ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1284

University of Cambridge  มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของสหราชอาณาจักร   รองจาก University of Oxford ที่เป็นอันดับ 1 ---  เป็นมหาวิทยาลัย 1 ใน 5 ของยที่ดึที่สุดในโลก 

นอกจากนั้น ม. Cambridge ยังเป็นหัวใจของศูนย์เทคโนโลยีขั้นสูง  รู้จักในชื่อ Silicon Fen และเป็นส่วนสำคัญของเขตอุตสาหกรรมความรู้ (Oxford - Cambridge Arc)  ทั้งยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Russel Group  ซึ่งเป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยที่โด่งดังในทางด้านงานวิจัย

ม. Cambridge ช่วงที่ไป ก็อยู่ระหว่างสอบเหมือนกับ ม. Oxford  แต่ก็ยังอนุญาตให้เข้าไปภายในแบบเดินผ่าน ๆ ค่ะ 





ประตูหลักของ
St. John's College ติดถนนด้าน St. John's street ตกแต่งด้วยรูปตราเครื่องหมายของขุนนางผู้ก่อตั้ง





St. John's College เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาลัยของ ม. Cambridge ก่อตั้งโดย Lady Margaret Beaufort ผู้เป็นพระราชมารดาของพระเจ้า Henry VII แห่งอังกฤษ พระมหากษัตริย์พระองค์แรกในราชวงศ์ Tudor -- 





พระองค์เป็นบุคคลสำคัญในสงครามดอกกุหลาบ ที่เกิดขึ้นในปลาย ศต. ที่ 15  และเป็นผู้มีอิทธิพลต่อราชวงศ์ Tudor 




St. John's College โดยนัยตามรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรการกุศล จัดขึ้นโดยกฏบัตรลงวันที่ 9 เมย. 1511  -- มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการศึกษา ศาสนา การเรียนรู้ และการวิจัย








เดินกันมาเรื่อย ๆ จนถึง
Bridge of Sighs (อย่าลืมอ่านที่แม่เปี๊ยกเขียนไว้ในบล๊อค #17 นะค่ะ)




ม. Cambridge ดูสดใส รื่นรมย์ ร่าเริง เต็มไปด้วยดอกไม้ ลานสนามกว้างใหญ่




อาคารแต่ละหลังใหญ่โตมาก ที่เห็นนี้เป็นอาคารที่อยู่ด้านหลัง ๆ แล้ว




เดินต่อไปจนถึงทางออก  แล้วเรื่อยมาถึง
King's College ที่อยู่ด้านถนน King's Parade




 Professor มายืนหน้าประตู King's College รู้สึกเหมือนมีป้าย
"ห้ามเข้า" ติดมือมาด้วยเลยค่ะ





King's College ก่อตั้งขึ้นในปี  1441 โดยพระเจ้า Henry VI และเป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง





 
King's College Chapel  (โบสถ์ที่ King's College) เริ่มก่อสร้างในปี 1446 แล้วเสร็จในปี 1544 ในสมัยของพระเจ้า Henry VIII มีความงดงามอย่างยิ่ง ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  ของสถาปัตยกรรมแบบ English Gothic ตอนปลาย

ละลานตาไปกับลานไม้ดอกพันธ์ุต่าง ๆ ใน ม. Cambridge แล้ว
(ดูได้ในบล๊อค #17 ของแม่เปี๊ยกค่ะ)




 สัมผัสตัวเมืองกันบ้างค่ะ   ---  Cambridge เงียบสงบ มีเสน่ห์








ภาพนี้ถ่ายผ่านกระจก มานอกร้านค่ะ






จากเมือง
Cambridge และ ม.Cambridge ที่ดูร่าเริงสดใส  เต็มไปด้วยสวนเล็ก สวนน้อย  ดอกไม้นานาพรรณ สนามกว้าง สนามเล็ก แล้ว 
 
เราต่อไป
เมืองบาธ (Bath) กันเลยค่ะ 

 Bath ห่างจากลอนดอนไปทางตะวันตก ราว 115.3 ไมล์ (185 กม.) ใช้เวลาเดินทางโดยรถบัสประมาณ 3 ชม.




เรื่องราวของเมือง Bath ป้าเปี๊ยกเล่าไว้ให้เราแล้วค่ะ 
 (ตอนที่ 18 # ไปเมือง Bath)  https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=kapeak&month=10-2016&date=31&group=41&gblog=38


 Bath  เป็นเมืองในมณฑล Somerset ประเทศอังกฤษ  ปี 2011 มีประชากร 88,859 คน   Bath เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจมากที่สุดของสหราชอาณาจักร   ขึ้นชื่อในเรื่องความมหัศจรรย์ทางโบราณคดี ที่มาของชื่อเมือง คือ โรงอาบน้ำโรมันอายุ 2,000 ปี ที่อยู่ในเมืองนี้

จากที่จอดรถบัส เดินไปเรื่อย ๆ ราว 15 นาที ก็มาถึงสถาปัตยกรรมของเมือง Bath ที่ทำให้เราตื่นตลึงกับความงามของวงแหวนทาวน์เฮาส์ 3 ส่วน ซึ่งประกอบเป็นรูปวงกลม เรียกว่า
The Circus  มีทางเข้า 3ทาง
   



ภาพมุมสูงของ ห้องประชุม และ the Circus โดย Roger Beale วันที่ 21 กย. 2009 
 
Courtesy of Roger Beale, CC BY-SA 2.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=44942471




The Circus เป็นวงแหวนเก่าแก่ของทาวน์เฮาส์ขนาดใหญ่ในเมือง Bath   สร้างเป็นลักษณะวงกลมที่มีทางเข้าสามทาง ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ John Wood -the elder (ผู้พ่อ) 

John Wood - the Elder หรือ Wood แห่ง Bath  (1704 - 1754)  เป็นนักวางผังเมือง และสถาปนิกชาวอังกฤษ ผู้วางผังเมือง Bath ทางกายภาพ โดยปรับผังเมืองให้เป็นแบบแผนโรมัน เน้นให้เห็นถึงลักษณะการดำเนินชีวิตในสังคมสมัยนั้น





สร้างขึ้นระหว่างปี 1754 ถึง 1768 และถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของ Georgian architecture (สถาปัตยกรรมจอร์เจียน) 

 ชื่อ The Circus นี้มาจากภาษาละติน circus หมายถึง แหวน วงรี หรือวงกลม 





สถาปัตยกรรม Georgian  เป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมที่มีความสมส่วนและความสมมาตร (ความงามได้สัดส่วน)  ความสูงของหน้าต่างก็ใช้การคำนวณจากอัตราส่วนง่าย ๆ ระหว่างความสูง และความกว้างหรือกับรูปทรงของห้อง





สำหรับ The Circus นี้ เป็นสถาปัตยกรรม Georgian ที่เน้นความงามด้านหน้าของอาคารที่เรียงรายไปตามถนน ได้สัดส่วนและเป็นระเบียบ  การออกแบบจะวางตามแบบลักษณะ
สถาปัตยกรรมแบบ Classic (มักจะหมายถึง สถาปัตยกรรม ซึ่งได้มาจากหลักการของ กรีก และ สถาปัตยกรรมโรมัน)   วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง มักจะเป็นอิฐหรือหิน  ส่วนสี ก็มักจะเป็นสีแดง ส้ม หรือขาว









The Circus  สวยงามจริง ๆ ต้องขอบคุณ John Wood , ทั้ง the Elder- ผู้พ่อ ที่ออกแบบ และ John Wood - the Younger - ผู้ลูก ผู้สร้างกลุ่มอาคารที่น่าทึ่งและงดงามเหล่านี้ 


จากนั้นก็เดินขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ ราว 15 - 20 นาที ก็จะมาถึง
Royal Crescent

ว่ากันว่า The Circus เชื่อมต่อกับ Royal Crescent  ด้วยเส้น ley (ley-line เส้นในทางทฤษฎี ที่มีความคิดที่จะเชื่อมโยงสถานที่สำคัญ กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วโลก เข้ากับพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า)  และการออกแบบทั้ง the Circus และ Royal Crescent แสดงถึงดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์





Royal Crescent เป็นแนวของบ้านเรือนแถว (ทาวน์เฮาส์)  30 หลัง วางเรียงกันเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว หันหน้าไปทางสวนสาธารณะ ออกแบบโดยสถาปนิก John Wood, the Elder - ผู้พ่อ  และสร้างโดย John Wood - the Younger - ผู้ลูก (1728 - 1782)   ระหว่างปี 1765 - 1775




มีความยาวรวม 500 ฟุต (152 เมตร)  แต่ละอาคารสูงเกือบ 15 เมตร รวมถึงห้องขนาดเล็กใต้ห้องหลังคาด้วย






Royal Crescent เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสถาปัตยกรรม Georgian ที่พบในสหราชอาณาจักร เป็นอาคารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นระดับ I 





Royal Crescent เป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมเมืองของอังกฤษเป็นครั้งแรก และได้รับการลอกเลียนอย่างกว้างขวางต่อมา


เมื่อมาถึง
Bath แล้ว ก็มีคำถามว่า ทำไมชาวโรมันถึงได้มาตั้งหลักแหล่งที่นี่  --- มีคำอธิบายคร่าว ๆ ว่า "เหตุเพราะความเชื่อเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์  ด้วย Bath เป็นเมืองแห่งน้ำแร่ และน้ำพุร้อน ซึ่งเป็นน้ำศักดิ์สิทธ์ของเทพธิดา Sulis ซึ่ง เป็นเทพธิดาแห่งน้ำ และการบำบัดรักษาของอังกฤษโบราณ เธอดูแลบ่อน้ำและน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพธิดาแห่งชีวิต"


 


Roman Bath ตั้งอยู่ติด ๆ  กับ Bath Abbey


ในปี คศ. 43 กองทัพโรมันได้เข้ามาถึงอังกฤษ  และได้รับความเชื่อเกี่ยวกับเทพธิดา Sulis   จนปี คศ. 75 ได้สร้าง โรงอาบน้ำโรมัน  (Roman Bath)  ขนาดใหญ่ รอบ ๆ น้ำพุร้อน  เรียกว่า "Aquae Sulis"  หรือ "The Water of Sulis" (น้ำของ Sulis) 





แถวนักท่องเที่ยวที่รอเข้าชม Roman Bath

ชาวโรมันได้รวมเอา
เทพธิดา Sulis ของท้องถิ่นอังกฤษ กับ เทพธิดา Minerva - เทพีแห่งปัญญา ผู้สนับสนุนศิลปะ การค้าและยุทธศาสตร์ แห่งโรมัน  รวมเรียกว่า เทพธิดา Sulis-Minerva  --- ต่อมาการตั้งถิ่นฐานขยายเป็นศูนย์สุขภาพ และการจาริกแสวงบุญ

ติด ๆ กัน คือ
Bath Abbey 

"Bath Abbey" หรือ “Abbey Church of Saint Peter and Saint Paul”  เป็นมหาวิหารหลักประจำเมือง  มีขนาดใหญ่และสวยงามมาก มีอายุกว่า 1,200 ปี  ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมโกธิกแนวตั้งฉากที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง





ตัวมหาวิหารสร้างขึ้นในสมัย ศต. ที่ 7 มีการปรับปรุงใน ศต. ที่ 10 และปรับปรุงอีกครั้งใน ศต. ที่ 16 





ภายในโบสถ์มีลักษณะรูปร่างเป็นไม้กางเขน มีที่นั่งสามารถรองรับคนได้ถึง 1,200 คน




ลานด้านข้างของโบสถ์ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว

จาก Bath Abbey เราต่อไปที่
Pulteney Bridge กันเลยค่ะ


Pulteney Bridge หนึ่งในตัวอย่างสถาปัตยกรรม Georgian ที่มีการถ่ายภาพมากที่สุดในเมือง  ได้ชื่อจาก Frances Pulteney ภริยาของ William Johnstone Pulteney ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของเมือง 

William Johnstone Pulteney มีแผนการยิ่งใหญ่ ที่จะสร้าง "เมืองใหม่" แข่งกับ John Wood ที่สร้างเมืองทางตะวันตก เขาเล็งเห็นว่า สิ่งสำคัญคือ ต้องมีสะพานที่งดงาม  ที่ทุกคนต้องพูดถึง ดังนั้น  Pulteney Bridge จึงได้รับการออกแบบในปี 1769 โดย Robert Adam









Pulteney Bridge เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Classic โดยมีหน้าจั่ว เสา และโดมตะกั่วขนาดเล็ก ที่ปลายสะพานทั้ง 2 ด้าน  แม้ร้านค้าที่เรียงรายบนสะพานจะมีขนาดเล็ก และถนนบนสะพานก็ไม่กว้าง -- แต่เมื่อสะพานเปิดตัวในปี 1770 ก็เหมือนเปิดโลกทัศน์ใหม่กันเลย 





ปัจจุบัน แน่นอนว่า Pulteney Bridge เป็นหนึ่งในสะพานที่สวยงาม และโรแมนติค ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก




 จุดที่จะมองเห็นสะพานได้สวยงามที่สุด คือจากสวน Parade (Parade Gardens) และฝายเสี้ยว


Pulteney Bridge โด่งดังอย่างมาก จากฉากการฆ่าตัวตายของ Javert (แสดงโดย Russell Crowe)  ใน  Les Misérables  ปี 2012 ที่กำลังต่อสู้กับศึลธรรม และหน้าที่ของตำรวจที่ขัดแย้งกัน




จบวันที่เมือง Bath ด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Bath ร่มรื่นและสวยงาม

 เราต้องนั่งรถอีก 3 ชม. กลับลอนดอน แถมเที่ยวเย็นนั้นรถเสีย ต้องรอซ่อมอีก 1 ชม.  รวมเบ็ดเสร็จนั่งรถไปกลับ 7 ชม. กันเลย 

บล๊อคหน้าเราไม่ไปไหนกันแล้ว อยู่เที่ยวที่ลอนดอนอย่างเดียว  --- ขอบคุณที่มาเที่ยวด้วยกันค่ะ


 




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2564
3 comments
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2564 20:05:00 น.
Counter : 814 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณ**mp5**, คุณKavanich96

 

สวัสดี

ฉันเป็นมุสลิมที่เรียกผู้คนให้เข้ารับอิสลาม

โปรดดูหน้าของฉัน 👇

https://is1t.blogspot.com/2018/04/blog-post.html

ในนั้นคุณจะพบทุกสิ่งที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับอิสลาม

ฉันขอให้คุณมีชีวิตที่มีความสุข .... ขอบคุณ


🔴🔴🔵🔴🔴🔴

🔴"ความหมายของชีวิต"🎬👇

https://youtu.be/yPMpqfoiS4A

⚠️🔴⚠️🔵⚠️

🔴ถ้าเรามีความปรารถนาที่จะทราบว่าศาสนาใดเป็นศาสนาที่แท้จริงหรือจอมปลอมนั้น เราจงอย่านำอารมณ์ ความรู้สึก หรือประเพณีของเราเองมาตัดสิน เราควรนำเหตุผล สติปัญญาของเรามาใช้จะดีกว่า

⚠️ เว็บไซต์แห่งนี้ จะเป็นการตอบคำถามที่สำคัญบางเรื่องซึ่งมีผู้สนใจสอบถามมา ดังนี้:

1- พระคำภีร์กุรอานที่มาจากพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้นั้น นำมาเปิดเผยโดยพระองค์เองใช่หรือไม่?

2- พระมูหะหมัด คือพระศาสดาที่แท้จริง ที่ประทานมาโดยพระผู้เป็นเจ้าใช่หรือไม่?

3- ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงใช่หรือไม่? 👇

🔻หลักฐานบางประการที่บอกถึงความเป็นจริงของศาสนาอิสลาม 🔻

https://goo.gl/rYBqHe

⚠️🔴⚠️🔵⚠️

⚠️ ตัวอย่างพระดำรัสของพระศาสดามูหะหมัด

🔴 {ยิ้มให้แก่พี่น้องของพวกเจ้าเป็นการทำบุญกุศล...}

🔵 {การกล่าวดีเป็นการทำบุญกุศล}6

🔴 {ผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าและวันสิ้นโลก (วันพิพากษา) ควรกระทำความดีต่อเพื่อนบ้านของตนด้วย}

🔵 {จ่ายค่าแรงคนงานก่อนที่เหงื่อของเขาจะแห้ง}

 

โดย: islam IP: 51.36.92.107 3 พฤศจิกายน 2564 13:59:22 น.  

 

แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ

 

โดย: **mp5** 3 พฤศจิกายน 2564 16:00:05 น.  

 

ขอบคุณที่แบ่งปัน

 

โดย: Kavanich96 5 พฤศจิกายน 2564 4:26:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สมาชิกหมายเลข 1920579
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 1920579's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.