Blogger's Bootcamp By CP All สาระดีๆ ที่มีให้บล็อกเกอร์ ช่องทางนั้นสำคัญหรือเปล่า?
จากสัปดาห์แรกของการเข้าแคปม์ Blogger's Bootcamp By CP All สัปดาห์ที่ 1 มาถึงสัปดาห์ที่สองของการอบรม สำหรับสัปดาห์นี้พวกเราอบรมกันแค่ครึ่งวัน ดังนั้นวันนี้ก็จะมีวิทยากรเพียงแค่สองท่านที่มาให้ความรู้พวกเราในวันนี้ วิทยากรท่านแรก คุณเนม ธีรนัย สิทธิจำลอง Content Manager แห่งเว็บไซต์วงใน ในหัวข้อ "มีบล็อกช่องทางเดียวพอไหม?
ความเปลี่ยนแปลงของวงใน แต่ละปีมี content ที่มานำเสนอเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะเห็นพัฒนาการของวงในมี content ใหม่ๆ ทุกปี 2016 เริ่มจากอาหารจุดเริ่มต้นของวงใน 2017 มีคนสองคนเป็นคาเรกเตอร์ นายฮ้อยชวนชิม 2018 ทำ How to ต่างๆ เป็น VDO ประกอบกับรูปภาพที่แชร์กันอยู่ขณะนี้
ช่องทางการทำ content ที่มี YouTube ไม่สามารถซื้อ like ได้ ส่วนใหญ่ใช้ SEO ทำ Content ให้ตรงกับ SEO Twitter เป็นการโพสปกติ content และรูป IG โพสรูปอย่างเดียว Line ใช้ Line@ ทำให้สามารถโต้ตอบทาง line ได้
การทำงานของวงในในปัจจุบัน แบ่งเป็นทีมมีพนักงานที่ทำ Content 200 คน วัดผลกันเป็น KPI จากยอดวิว แต่ละทีมมีทั้งดีไซน์เนอร์และกราฟฟิค ทีมจึงมีความสำคัญมากในการทำ content แต่ละชิ้นออกมา
การทำคอนเทนต์ คิดแบบเป็ด? (DUCK) คอนเซ็ปต์ของวงใน D = Define your target audience คือการคิดกลุ่มเป้าหมาย ช่องทางไหน? ตัวอย่างเช่น Content Facebook VDO ตอนนี้ดีที่สุด แต่จะเปลี่ยนแปลงเร็ว ดังนั้นจึงต้องมีคาเรคเตอร์ Line เน้น Timeline จะดีในช่วงนี้ ปัจจุบัน Line@ ทำให้ยอดของวงในดีขึ้น ส่วนใหญ่แพลตฟอร์ม เน้นการสร้าง Content แนวตั้ง
U = Useful คือเนื้อหาเป็นประโยชน์แก่ใคร Keyword ต้องดี มีอารมณ์ร่วมกับคนได้ เน้นคอนเทนต์ที่ช่วยแก้ปัญหา เช่น เดินสำเพ็งอย่างไรให้ได้ของถูก เป็นต้น การดู Keyword ค้นหาคำยอดฮิตใน Google แล้วก็มาเขียนคอนเทนต์แนวนั้น ดูจากไหน google Adword หรือ google trend จากนั้นมาเขียนคอนเทนต์ให้สนุกสร้างคาเรคเตอร์ให้คนจดจำ และต้องเร็วเพราะความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ ต้องซื้อเวลาให้คนมาหยุดดูคนเทนต์ของเรา และที่สำคัญคอนเทนต์ต้องสร้าง "แรงบันดาลใจ" เช่น คอนเทนต์เราทำให้คนออกเดินทางอยากมีชีวิต หรือคอนเทนต์ที่เล่าประสบการณ์ เช่น กระเป๋า 10 ใบ ที่ผู้หญิงต้องมี เป็นต้น
C = Consistency คือ ความสม่ำเสมอมีความสำคัญมาก คอนเทนต์ต้องต่อเนื่อง ต้องสร้างคอนเทนต์อย่างมีเป้าหมายและวัดผลได้ โดยใช้หลัก OKR ย่อมาจาก Objective & Key result คือวิธีการตั้งเป้าหมายให้แต่ละคน โดยเป้าหมายของทุกๆคนสอดคล้องกัน Key Result ที่ดีต้องมีคุณสมบัติดังนี - Measurable :: ต้องวัดผลได้ อยู่ที่ 0100% - Achievable :: สามารถทำได้ (ไม่ตั้งเป้าเวอร์จนเกินตัว) - Relevant :: มีความสอดคล้องกับ Objective ที่เราตั้งไว้ - Time-bound :: มีกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับ OKR จะสิ้นสุดทุกๆ Quarter (3 เดือน)
K = Keep Feedback คือ การเช็ค Feecback ว่าคอนเทนต์ที่เราปล่อยไปนั้น มันไปในทิศทางไหนดีหรือไม่ดี 100,000 View หรือ 2,000,000 View ซึ่งต้องเช็คทุกครั้งหลังจากปล่อยคอนเทนต์ เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุง
ผลการคิดแบบเป็ดดังที่กล่าวมา ทำให้บทความของวงในโต้ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลักการง่ายๆ จากวงในที่จะมาพัฒนาเส้นทางการทำคอนเทนต์ของเรานั่นก็คือ 1. ทำคอนเทนต์ให้ใครดู 2. ทำสม่ำเสมอ 3. ทำ Feedback ให้ตัวเอง
วิทยากรท่านที่สอง คุณเอม นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ บรรณาธิการข่าวออนไลน์แห่ง Workpoint News
คุณเอมเล่าให้พวกเราฟังว่า ความแตกต่างของทีวีกับออนไลน์ ปัจจุบันทีวี Rating ละคร 30 ในทางกลับกันที่ข่าวนั้น Rating 1 สำหรับข่าวที่พึคๆ และ 0.5 สำหรับข่าวทั่วไป เวลาดูทีวีเบื่อก็เปลี่ยนช่อง แต่ถ้าดูบนมือถือยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไรพอเบื่อก็ก็เปลี่ยนแล้ว ดังนั้นการทำคอนเทนต์บนมือถือจึงยากกว่าทีวีมากนัก ตัวอย่างคลิปยาชุด ที่ Workpoint ประสบความสำเร็จในการทำ content
คลิปชุดนี้ทำเป็นอัตราส่วน 1:1 จะได้ดูบนมือถือ โดยมีการเขียนสคริปต์ก่อนออกไปถ่ายจริง จากคลิปจะเห็นว่าหากปล่อยยาวไปมันจะน่าเบื่อก็ต้องหาอะไรดึงกลับมา เช่นตัวอย่าง คลิปจะเห็นว่ามีนักข่าวคั่นเป็นช่วงๆ มีการย้ำ message เรื่อยๆ เช่น หยุดกิน หยุดซื้อ จะพูดบ่อยๆ ในคลิป เป็นต้น
หากการทำคอนเทนต์ที่มีกระแสแล้วเราทำได้สำเร็จจะดีกับเพจมาก เช่น ตัวอย่างเรื่องข่าวโจ้บอยสเก๊าท์หัวใจวายบนเวที จากนั้นก็ออนคลิปเรื่องหัวใจวายให้ความรู้ต่อเลย เป็นต้น จะเห็นการเกาะกระแสข่าวนั้นจะช่วยทุ่นแรง การว่ายน้ำทวนกระแสไปไม่มีประโยชน์ทำไปก็เหนื่อยเปล่า พอเปลี่ยนมาเป็นออนไลน์อย่าคิดว่าเกาะกระแสแล้วไม่ดี หลายคนที่ทำสื่ออาจติดกับคำว่า "เกาะกระแส" รู้สึกไม่อยากทำตามคนอื่น แต่จริงๆ แล้ว การที่เราเลือกเรื่องราวที่คำอื่นกำลังสนใจมาพูด มันช่วยทุ่นแรงเราได้ถึง 50% เราอาจจะต้องเลือกมุมมองที่ไม่เหมือนคนอื่น หรือหาโอกาสที่คนอื่นกำลังสนใจในเรื่องนั้นๆ มาให้ความรู้เขาก็ได้
เวลาทำงานแล้วมีเงิน การมีเงินมันคือการพัฒนางาน ไม่มีเงินจะเอาที่ไหนมาพัฒนางาน แต่ละแพลตฟอร์มเราต้องดูว่าเราจะเล่นคอนเทนต์รูปแบบไหน แต่ละแพลตฟอร์มจะมีวิธีการโพสต์ที่ต่างกัน เช่น Twitter เน้นเร็ว ดังนั้นต้องถูกต้องภาษาทางการ เป็นต้น
สำหรับความรู้ใน Week 2 นี้ทำให้เราได้มองภาพใหญ่การทำอะไรคนเดียวมันโตช้า การทำงานกันเป็นทีมมันดูแข็งแรงกว่า ถามจริงตอบจริงนะทำงานคนเดียวมันมีไอเดียแต่มันไม่มีแรงเพราะเราไม่ได้ทำเป็นอาชีพหลัก สิ่งที่เราทำนั้นเป็นความรักความชอบส่วนบุคคล แต่จะทำยังไงให้ความชอบมันกลายเป็นเงินเพื่อพัฒนางานนั่นแหละประเด็น อย่างที่เค้าให้ Workshop ร่วมกัน ก็ทำให้เห็นการทำงานเป็นทีมที่เข้าขากัน มันทำให้งานเสร็จแล้ว จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมวงในถึงมาไกลมา 200 คนแค่ทีมคอนเทนต์ มี KPI ยอดวิวเป็นตัววัดอีก ยังไงก็ต้องมีทีมปัง!!
ในห้องเรียนวันนี้มีตัวแทนจากเพจดังๆ หลายคนเป็นหนึงในทีมงานซึ่งดูเหมือนหลายๆ คนเริ่มมีความเป็นทีมมาก เว็บดังในปัจจุบันแทบจะไม่มีใคร On process คนเดียวหรอก ส่วนใหญ่เป็นทีมงานทั้งนั้น จึงเป็นเรื่องค่อยข้างยากหากเรายังไม่มีคำว่า "ทีม" ดังนั้นก็ต้องย้อนกลับไปดูวันที่ 1 ที่เรียนมาสิ่งเดียวที่จะทำให้บล็อกเกอร์ที่ทำคนเดียวไปต่อได้ ก็คือ content ที่ทรงพลัง เราต้องหามุมนั้นให้เจอ เชื่อสิมันต้องมีแนวทางของมันโดยส่วนตัวมองมุมนั้นมาพอสมควรแล้ว และก็หามันเจอแล้วแต่ยังไม่มีเวลาที่จะทำมันอย่างต่อเนื่อง
เวลาได้มาเรียนรู้มันจะทำให้เราได้เกิดความมั่นใจ ว่าสิ่งที่คิดมันมีแนวทางต่อไปได้ ไว้ติดตามนะจ๊ะ โดยส่วนตัวยังไงก็ไม่มีทีมแน่นอนเลยต้องมุ่งไปที่ Content เป็นหลัก และจากที่ได้ทบทวนบนเรียนทำไมเมื่อก่อนเราเขียนได้ดีกว่านี้ พอมาหลังๆ คนตามน้อยลงเป็นเพราะว่าเรานั่นแหละที่หลงประเด็น การปั่นไม่ได้ทำให้งานดีขึ้นมันทำให้เราเหนื่อยเกินไปจนล้าและโนไอเดีย ดังนั้นต้องเปลี่ยนเป็นช้าๆ แต่ได้พร้าคมๆ จะดีกว่า คุณว่าไหม!!
Photo and Story By Patthanid C.
Create Date : 03 กันยายน 2561 |
Last Update : 3 กันยายน 2561 0:57:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1406 Pageviews. |
|
|
|