สิ้นสุดการเป็น..ว่าที่มหาบัณฑิตเสียที
ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง นั่นคือการได้เห็นวิทยานิพนธ์ของตัวเองเป็นเล่มสีน้ำเงินเสียที หลังจากที่มองของคนอื่นมานานเสียเหลือเกิน ต้องบอกว่ากว่าจะมาเป็นเล่มแบบนี้ได้ ต้องทุ่มเทอย่างเต็มกำลังกว่าจะผ่านมาได้จนเป็นรูปเล่มที่เห็น
โดยเฉพาะอาทิตย์ก่อนส่งเล่ม หนึ่งอาทิตย์ที่เข้าใจคำว่า "ถึงเหนื่อยก็ต้องสู้" เพราะด้วยเวลาที่จำกัดกับสิ่งที่ต้องทำมันไม่เท่ากัน เวลาที่เหลือน้อยนิด กับสิ่งที่ต้องทำที่มากมายทุกๆ วันในอาทิตย์นั้น แทบจะทำงานไม่ได้ เพราะใจกังวลกลัวไม่ทัน หากไม่ทัน หมายถึงจะต้องเลื่อนการรับปริญญาออกไปเป็นปีหน้า แค่ฟังแล้วก็หดหู่แล้ว
อาทิตย์สุดท้ายเป็นอาทิตย์ที่เข้าใจว่า "เวลาไม่เคยรอใคร" จริงๆ เพราะรู้สึกเวลามันผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน กำหนดส่งเล่มสุดท้ายคือวันจันทร์ เชื่อไหมว่าวันเสาร์ยังแก้เล่มไม่เสร็จเลย แต่ดีที่อาจารย์เซ็นต์มาให้ 2 ท่านแล้ว ยังขาดลายเซ็นต์อาจารย์อีก 1 ท่าน ต้องมาให้เซ็นต์วันอาทิตย์ แบบเล่มยังไม่ได้เย็บเลย กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมงวันอาทิตย์แล้ว ส่งเล่มเข้าเย็บเล่มก็ตอนบ่ายสอง ใช้เวลา 1 วันเล่มถึงจะเสร็จ เรียกว่าต้องอ้อนวอนพี่ทำเล่มสุดฤทธิ์ขอให้ช่วยเร่งให้หน่อย พี่ที่ร้านบอกว่า อย่ามาหลอกพี่เลย ใครๆ มาก็พูดแบบนี้ล่ะ พี่นะโดนหลอกมาเยอะแล้ว เป็นซะงั้น สุดท้ายพี่เค้าบอกว่าให้มาเอาตอนบ่ายวันจันทร์
คิดว่ามันจะจบง่ายๆ เหอๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเริ่มต้นมันก็วุ่นวาย ตอนสุดท้ายมันจะไม่มีเซอร์ไพส์ได้อย่างไร นั่นก็คือเล่มที่สมบูรณ์ต้องมีลายเซ็นต์คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย ซึ่งอาจารย์เซ็นต์เป็นรอบๆ รอบเช้าผ่านไปแล้วต้องมาลุ้นรอบบ่ายอีกที เวลาผ่านไปหกโมงเย็นแล้ว คณบดีก็ยังไม่เซ็นต์ แต่ยังสบายใจที่อาจารย์ประธานกรรมการบอกว่าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสำหรับเรายังไม่เห็นลายเซ็นต์คณบดีก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
จนเช้าวันอังคารถามเพื่อนว่าเซ็นต์ยัง ก็ได้รับคำตอบสวรรค์จากเพื่อนว่า เห็นเล่มปิดหมดแล้วนิ (เล่มเปิดหมายถึงยังไม่เซ็นต์) เป็นอันเสร็จสิ้นกันทีสำหรับว่าที่มหาบัณฑิต เพราะจากนี้ฉันจะเป็นมหาบัณฑิตเต็มตัวแล้ว ด้วยระยะเวลาเรียน 5 ปี
แต่สิ่งที่ฉันได้รับจากการเรียนครั้งนี้ คือ ฉันได้รับการฝึกฝนการทำวิจัยอย่างเข้มข้น ฝึกความอดทดจากสภาพกดดันทุกสภาพสถานการณ์ ฝึกการส่งผลงานวิจัยตีพิมพ์ซึ่งรูปแบบการตีพิมพ์แต่ละที่เข้มงวดแทบทั้งสิ้น
สุดท้ายสิ่งสำคัญที่ฉันได้เรียนรู้หลังจากส่งตีพิมพ์นั่นคือ บ้านเรายังต้องพัฒนางานวิจัยอีกเยอะ สำหรับประสบการณ์นี้ฉันแทบไม่เชื่อเลยว่า ที่นี่คือมหาวิทยาลัยเอกชน ตอนแรกก็สงสัยตัวเองเหมือนกันนี่ฉันเรียนปริญญาโทหรือปริญญาเอกล่ะเนี่ย แต่อีกมุมหนึ่งมีพี่ที่เรียนปริญญาเอกบอกว่า ดีจังที่เราได้ฝึกแบบนี้ตั้งแต่ปริญญาโทจะได้มีพื้นฐานแน่นๆ ไปเรียนปริญญาเอก เป็นงั้นไป
ผลงานตีพิมพ์
การประชุมเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแห่งชาติ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 10-11 ตุลาคม 2548 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ
The Fourth International Conference on e-Business (NCEB 2005), Assumption University, 19-20 November 2005, Assumption University Bangna Campus, Bangkok
Proceedings of the Fifth International Conference on Electronic Business Enhancing Logistics & Supply Chain Competence through e-Business (ICEB2005), The Chinese University of Hong Kong, 5-9 December 2005, Shangrila Hotel, Hong Kong
The National Conference on Information Technology 2006 (NCIT2006), มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, 2-3 พฤศจิกายน 2549 ณ โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ
นี่คือผลงานวิจัยทั้งหมดที่ได้ตีพิมพ์ แต่ที่ไม่ได้ตีพิมพ์อ่ะมีอีกเกินครึ่งเลยล่ะ ถึงบอกว่า การที่เค้าจะรับ paper เราแต่ละที่นั้นยากมาก ขนาดไม่มีจุด Full Stop อาจารย์ของเมืองนอกยังติกลับมาเลยอ่ะ เรียกว่าส่งแต่ละที่ต้องดู Format ดีมากๆ ละเอียดสุดๆ เลยล่ะ
หลังจากที่พยายามมานาน สุดท้ายก็จบเสียที เหมือนยกภูเขาออกจากอก พลอยทำให้แม่โล่งใจไปด้วย เพราะลุ้นเหนื่อยมานานแล้ว แต่พอเวลาจบแล้ว เวลาว่างๆ มันเยอะดีแฮะ
Create Date : 13 กันยายน 2550 |
Last Update : 7 กรกฎาคม 2554 23:17:52 น. |
|
6 comments
|
Counter : 3971 Pageviews. |
|
|
|
|
แต่อย่าหยุดการค้นคว้านะครับ....
การทำวิทยานิพนธ์เป็นการฝึกทักษะค้นคว้าข้อมูลมาทำงานเท่านั้นครับ
แต่จริงๆ แล้ว งานทุกชิ้นที่ทำให้กับตัวเองในวันข้างหน้า
ต้องทำให้ได้ดีกว่าระดับวิทยานิพนธ์ครับ