ตุลาคม 2552

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
15
16
17
18
22
23
24
25
26
27
28
30
31
 
13 ตุลาคม 2552
Dr.Jacob
ได้รับ fw. mail มาเห็นว่าเนื้อหาน่าเผยแพร่จึงมาโพสต์ไว้ค่ะ

เมื่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเสถียรธรรมสถาน ในวันนั้นแม่ชีศันสนีย์ ได้เชิญคุณหมอ Jacob ซึ่งเป็นหมอประเทศอินเดีย ที่รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด มาบรรยายให้พวกเราฟัง ซึ่งคุณหมอมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง ทำให้เราอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ฟังบ้าง

ประวัติ Dr. Jacob Vadakkanchery N.D.

Dr.Jacob เป็นคุณหมอในประเทศอินเดีย เป็นเจ้าของโรงพยาบาลธรรมชาติบำบัดอยู่ 3 แห่ง ซึ่งคุณหมอจะเน้นการรักษาให้กับคนยากจน ประมาณ 80% คุณหมอเป็นนักต่อต้าน, นักอนุรักษ์นิยม, นักพูด ฯลฯ คุณหมอใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติบำบัดกับตัวเองมาประมาณ 30 ปี ปัจจุบันคุณหมอแข็งแรงมาก ผู้แนะนำบอกว่า “คุณหมอสามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไปกลับ ภายใน 15 นาทีได้

คุณหมอเล่าให้ฟังว่า คนเราส่วนใหญ่ มักนิยมกินยาพิษในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
1. ยารักษาโรค (พาราเซตามอล, ทิฟฟี้)
2. อาหารเสริม
3. อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น McDonald, KFC, Pizza
สิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักและเป็นบ่อเกิดโรคต่างๆ

คุณหมอบอกว่าร่างกายเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก มันสามารถเปลี่ยนแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกายออกเป็น 5 ทางคือ
1. ทางลมหายใจ
2. ทางเหงื่อ
3. ทางปัสสาวะ
4. ทางอุจจาระ
5. ทางประจำเดือน
และร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นหวัด คือ ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก แต่คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีอาการเหล่านี้ ก็มักจะกินยา เพื่อรักษาอาการโรคเหล่านี้ ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำให้โรคต่างๆ ยังคงอยู่ในร่างกายเราต่อไป

คุณหมอบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ เวลาที่ปวดหัว จะกินยาพารา 1 เม็ดแล้วกินน้ำตาม แต่วิธีการของคุณหมอจะแตกต่างจากคนทั่วไป คือ คุณหมอจะใช้ยาพารา 2 เม็ดบดให้ละเอียดคลุกกับข้าว แล้วไปตั้งที่ห้องครัว 2-3 วัน เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง จะพบหนูตายประมาณ 10-15 ตัว นี่แสดงว่า ยาพาราเซตามอลเป็นยาฆ่าหนูชนิดหนึ่ง เมื่อเราเป็นไข้ แล้วกินยาพารา แสดงว่าเราได้กินยาพิษเข้าไปในร่างกายด้วย

ยาพิษอีกตัวหนึ่งที่คุณหมอกำชับหนักหนากับพวกเราที่นั่งฟังอยู่คือ น้ำตาลทรายขาว ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คุณหมอถามพวกเราว่า เคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลทรายขาวมาจากไหน? ทุกคนก็ตอบว่ามาจาก “อ้อย” ซึ่งคุณหมอบอกว่า “ใช่” แต่ก่อนที่มันจะเป็นน้ำตาลทรายขาว ผู้ผลิตได้นำอ้อยที่มีประโยชน์ ไปใช้ในขบวนการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เรียบร้อยแล้ว นำน้ำตาลส่วนที่เหลือซึ่งมีสีดำและไม่มีประโยชน์ ไปผ่านการฟอกสี จนกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวที่เรากินอยู่ทุกวัน น้ำตาลทรายขาวนี้จะเข้าไปทำร้ายร่างกายเรา ตั้งแต่ลำคอ ผ่านไปกระเพาะ ลำไส้ ดังนั้น คุณหมอจึงอยากให้ทุกคนเลิกกินน้ำตาลทรายขาว และหันมากินน้ำตาลทรายแดงซึ่งมีประโยชน์มากกว่า

คุณหมอถามพวกเราอีกว่า เคยใช้ยาสีฟันหรือเปล่า พวกเราก็บอกว่า “เคย” คุณหมอบอกว่ายาสีฟันก็เป็นสารซักฟอก เช่นเดียวกับสบู่ทีเราใช้อาบน้ำนั่นแหละ เพราะเมื่อเราแปรงฟันจะมีเศษของยาสีฟันตกลงไปอยู่ในท้องของเรา อาจทำให้เรามีปัญหาอาจเป็นโรคกระเพาะได้ คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ใบมะม่วง หรือผงสมุนไพรในการแปรงฟัน คุณหมอก็ใช้แปรงสีฟันธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มาแล้ว (นั่นคือ นิ้วชี้ของคุณหมองัย) คุณหมอแปรงด้วยวิธีนี้มานาน 28 ปีแล้ว ฟันของคุณหมอยังขาวและแข็งแรงอยู่เลยนะ

มีผู้ฟังถามคุณหมอว่า “เราควรจะบริโภคนมวัวหรือเปล่า” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกวัวหรือเปล่าล่ะ ที่ต้องกินนมแม่(แม่วัว) ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ควรกิน มีนมอยู่อย่างเดียวที่เรากินได้คือนมแม่ของเราเอง ซึ่งเป็นนมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราจริงๆ นอกนั้นเมื่อนมอื่นๆ นั้นไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเราเลย” คนฟังก็ถามต่อว่า “แล้วเราจะกินนมอะไรได้บ้าง หรือเปล่า กินนมแพะได้ไหมคะ” คุณหมอบอกว่า “แล้วเราเป็นลูกแพะหรือเปล่าล่ะ ถึงไปกินนมแพะนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรกิน แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างนมวัวและนมแพะ นมแพะจะมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่านมวัวนะ” และมีผู้ฟังถามเรื่องโยเกิร์ต (เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้เท่าไหร่) คุณหมอบอกว่ากินได้บ้าง แต่ไม่ควรจะบ่อยๆ เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์และไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้นะคะ

การรักษาแบบธรรมชาติบำบัดของคุณหมอ สามารถรักษาโรคได้หลายๆ โรค เช่น โรคผิวหนัง, ภูมิแพ้ต่างๆ, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไมเกรน ฯลฯ มีบางโรคที่รักษาหายขาด และมีบางโรคที่ช่วยให้ทุเลาลงได้มาก หากใครสนใจติดต่อ เสถียรธรรมสถาน พี่สมบูรณ์ 084-115-1114 ได้นะคะ เค้าจะมีจัดอบรมการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดในเดือนนี้ (สิงหาคม) และเดือนหน้า ตามจังหวัดต่างๆ หรือขอคำปรึกษาได้นะคะ

วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด

สิ่งที่ควรรู้ก่อน
1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้าและหลัง 4 โมงเย็น
2. น้ำมะพร้าว คือน้ำมะพร้าวสดแต่ไม่ต้องทานเนื้อ (ไม่ใช่มะพร้าวเผา) และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว เนื่องจากยังไม่ผ่านการใช้สารฟอกให้เป็นสีขาว
3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) คือการกินผลไม้ 2 ชนิด โดยให้มีรสชาติเดียวกัน เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง
4. น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว นำมาสับและปั่นแล้วคั้นน้ำออกมา
5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ, และการเล่นโยคะ
ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ก่อน 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน

การดำรงชีวิตประจำวัน
1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า
2. ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง
3. ไปนั่งถ่าย แปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร นวดเหงือกและฟันประมาณ 10 นาที
4. ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่)ที่ศีรษะ, หน้าตาและร่างกาย หลังจากนั้น ให้นวดศีรษะ, นวดหน้า (เป็นการนวดขึ้น เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ พร้อมทั้งพูดคุยกับอวัยวะของตนเอง ประมาณ 15-20 นาที แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที รอให้น้ำมันซึมเข้าผิวประมาณ 15-20 นาทีแล้วค่อยล้างออก
5. กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมงควรเป็นผักหรือผลไม้
6. เวลาเที่ยง 12.00 ให้ทานอาหารมื้อหลัก
7. เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง
8. อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว
9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด หากเลยเวลานี้ร่างกายเราจะดึงพลังงาน แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น

การรับประทานอาหารที่ดี คือ
ให้ทานผลไม้ 2 มือ คือมื้อเช้าและมื้อเย็น
ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือมื้อเที่ยง

วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด

โรคปวดท้องประจำเดือน
วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ กินไปประมาณ 3-4 วันประมาณ 3 เดือนจะหายปวดท้อง และดีต่อการคลอด

โรคปวดหัว
ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที

โรคสิว
ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, กินของทอด, กินพวกน้ำมัน, กินอาหารเผ็ด, กินแป้งขัดสี, กินน้ำตาลทรายขาว ควรกินแต่ผัก, ผลไม้ และน้ำมะพร้าว

โรคปวดเมื่อย
ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชั่วโมง (ไม่ให้เกินนี้)

ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง
1. ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้
2. ให้ตากแดดวันละ 1 ชั่วโมง ทั้งเช้า 0.30 ชม. และเย็น 0.30 ชม.

โรคผิวหนัง
ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น

โรคหัวใจ
ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน และไปตากแดดเช้า 1 ชม. และเย็น 1 ชม. กินน้ำเปล่า, น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ

โรคไมเกรน
ใช้นำราดศีรษะวันละ 5 ครั้งๆ ละ 5 นาที และกินผลไม้ทั้งวัน 3 มื้อ ประมาณ 1-2 วัน

คนสายตาสั้นหรือยาว
ใช้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา
1. จากบนลงล่าง
2. จากขวาไปซ้าย
3. บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย
4. บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา
5. บน ซ้าย ล่าง ขวา
6. บน ขวา ล่าง ซ้าย
แล้วใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งมองพระอาทิตย์ตอน 7 โมง และตอน 6 โมงเย็น และไม่ให้กินอาหารเย็น และให้กินผลไม้, ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น

โรคเหน็บชา
ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ

โรคเบาหวาน
กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้

ความดันโลหิตสูง
เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้

โรคสะเก็ดเงิน
กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด

โรคคลอเรสเตอรอล
กินผักและผลไม้

โรคกระเพาะ
กินผักและผลไม้

โรคหวัด
กินแต่ผลไม้

ท้องเสีย
กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ

โรคนอนไม่หลับ
ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที

การเตรียมตัวตั้งครรภ์ และการคลอดให้ราบรื่น
1. ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ
2. การตากแดด (เช้า-เย็น)
3. รักษาจิตใจ ให้มีความสุข
จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด (คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้นะคะ)



Create Date : 13 ตุลาคม 2552
Last Update : 13 ตุลาคม 2552 14:13:34 น.
Counter : 1410 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

patnaja
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




Puangpeth Jang

สร้างลิงค์ของโปรไฟล์ในแบบที่เป็นตัวคุณเอง