:: คือทุกครั้งที่รักของเธอส่องใจ ฉันมีปลายทาง ::
|
|||
Review ชีวิต..สอบสัมภาษณ์แบบแย่ๆ 18 พ.ค. 54 18 พฤษภาคม 2554 (บันทึกย้อนหลังเมื่อ 19 พ.ค. 54 - 9.43 น.) สำหรับวันนี้จะขอบันทึกเรื่องราวการไปสอบสัมภาษณ์และสอบข้อเขียนเพื่อคัดเลือกเข้าทำงานในตำแหน่ง นักจัดการความรู้ ณ องค์กรการเรียนรู้แห่งหนึ่ง ซึ่งจำได้ว่างานนี้เคยสมัครไปนานแล้ว ประมาณหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ใช้เวลารอการติดต่อกลับอยู่นานพอสมควร จนถึงวันที่ประกาศผู้มีสิทธิ์เข้าสอบ และได้รับนัดหมายการสอบในเวลาต่อมา เช้าวันนี้เป็นวันนัดหมาย ณ ที่อาคารที่ทำการขององค์กรนี้ เวลานัดหมายรายงานตัวคือ 8.45 น. ซึ่งผมก็ไปตามเวลานัดหมาย ในเช้าวันเปิดเทอมวันแรกของนักเรียนและเช้าวันทำงานวันแรกหลังจากหยุดยาวห้าวันในช่วงวันวิสาขบูชาของปีนี้ เช้านี้ฝนตกปรอยๆ รถติด.. คนบนรถไฟฟ้าบีทีเอสเต็มแน่นเอี้ยดตั้งแต่สถานีวงเวียนใหญ่... ลงที่สถานีสยามพบว่าคนทำงานและนักเรียนนักศึกษาล้นหลามจนแทบจะไม่มีที่เดิน.. ผมเข้าไปรายงานตัวตามเวลานัด และใช้เวลาที่เหลือนั่งรอเวลา รอผู้เข้าสอบคนอื่นๆ และรอกรรมการสัมภาษณ์อีกหนึ่งคนที่คาดว่าคงมาไม่ทันเวลานัดสัมภาษณ์ (เริ่มทำให้ผมรำคาญใจแล้ว) ...ดังนั้นจึงทำให้ล่าช้าไปประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อผู้เข้าสอบมาครบและกรรมการครบเป็นที่เรียบร้อย ผมได้รับการสัมภาษณ์เป็นคนแรกจากทั้งหมด 7 คนที่มาในวันนี้ ในตำแหน่งนี้รับเพียงแค่คนเดียว (ซึ่งก็ตามเคยว่าผมไม่คาดหวังว่าจะได้หรอก) การสัมภาษณ์ประกอบด้วยกรรมการสัมภาษณ์สามคนและเจ้าหน้าที่ HR ผู้หญิงอีกหนึ่งคนเข้ามานั่งฟังด้วย ใช้เวลาสัมภาษณ์เพียงประมาณสิบห้านาทีก็เรียบร้อย ซึ่งก็เป็นคำถามทั่วไปในการสัมภาษณ์เข้าทำงาน ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ถ้าจะมีเรื่องให้น่ารำคาญใจอีกครั้ง ก็ตรงที่เจ้าหน้าที่ HR คนดังกล่าว แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมในที่ประชุมนั้น ผมสังเกตเห็นว่าหลังจากที่เธออ่านประวัติและดูเอกสารของผมแล้ว เธอดูเอกสารใบปริญญาบัตร คงคิดในใจว่าหน้าอย่างผมไม่น่าเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เธอเห็นแบบนั้นแล้วทำหน้าทำตาแบบที่ไม่ควรจะแสดงในที่สาธารณะ อาการหน้าตาดังกล่าวบิดเบี้ยวในทำนองดูถูก (ผมคิดว่างั้น) ซึ่งเป็นกิริยาที่ส่อไปในทางการคิดแง่ลบกับผู้อื่น (คุณคงนึกภาพออก ภาพของผู้หญิงที่แสดงออกทางสีหน้าด้วยความอิจฉา ริษยา ดูถูกฯ เหมือนนางอิจฉาในละครไทยทั่วไป) ซึ่งทำหมดนี้ผมสังเกตเห็นระหว่างที่การสัมภาษณ์ดำเนินไป แ่ต่ผมก็มิอาจแสดงสิ่งใดออกมาได้ ปล่อยให้ผมผ่านไป.. มันก็เป็นเรื่องของเค้าที่จะทำแบบนี้ ... กับอีกเรื่องหนึ่งเป็นกรรมการสัมภาษณ์อาวุโส นั่งตรงกลาง ซึ่งผมสังเกตจากพฤติกรรมอาการที่เค้าถาม สายตา น้ำเสียง และคำถาม.. ผมเดาว่ายัยป้าคนนี้คงจะคิดว่าผมโง่เง่ามาก หรือคงคาดว่าผมมีคุณสมบัติไม่มากพอ ไม่เหมาะสมหรือไม่ถึงกับตำแหน่งงานนี้ มิหน่ำซ้ำยังคงคิดว่าผมโง่ภาษาอังกฤษอีกด้วย หารู้ไม่.. ดังนั้นยัยป้าคนนี้จึงให้กรรมการอีกคนสัมภาษณ์ผมเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแน่นอนผมจะยอมได้ซะที่ไหน ผมมั่นใจจึงตอบแบบภาษาอังกฤษออกไปอย่างที่คิดว่าน่าจะสามารถลบพฤติกรรมดูถูกเหยียดหยามผมได้ (ลืมบอกไปว่าเช้านี้ผมยังง่วงเบลอๆ ไม่ได้ิกินอะไรตอนเช้า ไม่ได้กินกาแฟเลย แถมยังปวดอึหน่อยๆด้วย ดังนั้นอาการจึงเหมือนคนเฉื่อยๆ แต่ผมก็เก็บอาการ ผมเพียงแค่นิ่งกับทุกสิ่งเท่านั้นเอง) และแน่นอนว่าหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เริ่มลด ละ เลิกพฤติกรรมเยี่ยงที่เคยทำ.. กรรมการคนเดิมยังถามเป็นอังกฤษต่อไปเกี่ยวกับหนังสือที่ผมชอบอ่าน และตามด้วยคำถามเด็ดที่ทำให้พวกเค้าปิดการสัมภาษณ์ในทันที กรรมการ: "Which book are you reading now?" ผม: "Now?, yes I'm now reading a book about Siamese history and evolution" กรรมการ: "Siamese history?, OK, who is the writer?" ผม: "Professor Srisak Wanliphodom" กรรมการทั้งสามคน: "โอ้วว...จริงหรอ... มีใครอยากถามอะไรอีกไหม" (ต้องนึกภาพหน้าตาประหลาดใจของกรรมการทั้งสามคนประกอบด้วย) หลังจากนั้นทุกคนก็เงียบ และการสัมภาษณ์ก็จบลงในแบบที่ผมก็งง ไม่คิดว่าจะจบแบบขาดตอนเช่นนี้... และผมก็ไม่แน่ใจว่าพวกเค้าคิดอะไรหลังจากนั้น อาจจะมองผมได้หลายแง่ แต่ก็ช่างเถอะ จบสักที... ผมอยากรีบให้มันจบเหลือเกิน.. หลังจากนั้นก็เป็นการทำสอบข้อเขียนด้วยหนึ่งคำถามเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ความรู้ความสามารถในตำแหน่งงาน เขียนตอบไม่เกินหนึ่งหน้ากระดาษ.. ใช้เวลาเขียนตอบเพียงสิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย... การสัมภาษณ์วันนี้จึงจบลงในแบบที่ผมก็ค่อนข้างงง และประหลาดใจ ยังคงมานั่งนึกถึงคำตอบสุดท้ายที่ผมตอบไปและท่าทีของกรรมการสัมภาษณ์หลังจากที่ได้ยินคำตอบสุดท้ายของผม.. ก็ไม่รู้ว่าพวกเค้าจะตีความและสื่อนัยยะไปในทางไหน.. ก็สงสัยอยู่ แต่ก็ช่างเถอะ.. ไม่คิดอะไรมาก.. เวลาที่เหลือทั้งวันหลังจากนั้น ผมจึงกลับไปเยี่ยมที่มหาวิทยาลัยเพื่อดูสันทนาการการรับน้องใหม่ของภาควิชา ซึ่งนั่นทำให้ผมย้อนกลับไปคิดถึงตัวเองเมื่อสมัยเป็นเด็กเฟรชชี่ปีหนึ่ง.. แม้ว่าเวลาคงจะย้อนกลับมาไม่ได้ก็ตาม.. |
Passepartout
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] คนธรรมดาคนหนึ่งบนโลกใบนี้ ซึ่งกำลังก้าวข้ามผ่านกาลเวลา เพื่อไปสู่อนาคต... พยายามเข้าใจกับคำว่า "ตราบใดที่มีรัก..ย่อมมีหวัง" All Blog
Friends Blog Link
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ยังไงก็จะติดตามอยู่เรื่อยไปนะคะ