Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2549
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
26 พฤศจิกายน 2549
 
All Blogs
 
คนแปลกหน้ากับเวลาช่วงหนึ่ง

คนแปลกหน้ากับเวลาช่วงหนึ่ง

“ท่าทางเราคงต้องติดอยู่ในนี้ด้วยกันอีกสักพักแล้วล่ะ” เขาหันมาบอกด้วยสีหน้าขอโทษขอโพยไปในตัว
จริงๆ ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะแสดงอาการแบบนั้น ก็เขาเป็นเจ้าของตึกนี่นะ แม้ว่าการที่ลิฟท์ค้างจะไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ด้วยความที่เขาเป็นเจ้าของตึกก็คล้ายๆ จะทำให้เขารู้สึกเหมือนต้องเป็นคนรับผิดชอบเหตุการณ์นี้ไป

ตอนนี้ช่างประจำลิฟท์ตัดสายที่ใช้คุยกันผ่านอินเตอร์คอมภายในลิฟท์ไปแล้วพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะแก้ไขลิฟท์ให้เร็วที่สุด (ก็แน่ล่ะ เจ้าของตึกติดอยู่ด้วยนี่นา) เขาหันมายิ้มให้ฉันอีกครั้ง แล้วเช็ดเหงื่อที่โทรมอยู่บนใบหน้าเล็กน้อยด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่แบบผู้ชาย ก่อนจะตัดสินใจถอดเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มนั้นออก และทรุดตัวลงนั่งที่อีกมุมหนึ่งของลิฟท์

เขาดูต่างออกไป ฉันคิดขณะลอบมองเขาอย่างเงียบๆ

แต่แน่ล่ะ เมื่อคุณเปรียบเทียบคนสักคนกับรูปที่คุณมีเมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว คุณคงพบข้อแตกต่างมากมาย

เขา...ในตอนนี้ดูเหนื่อยล้ามากกว่าเดิม ผมก็บางลงไปเยอะ ผิวที่น่าจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ก็ดูจางลง

จริงสินะ การนั่งทำงานอยู่ในห้องปรับอากาศนานๆ บวกกับการไม่ค่อยออกแดดคงทำให้เขาขาวขึ้น เขา...ไม่เหมือนในรูปเลย แทบจะไม่มีอะไรที่เหลืออยู่เลย ไม่แม้กระทั่งรอยยิ้มที่ดูสดใส... ฉันชะงักเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ แล้วก็อดที่จะยิ้มหยันสมเพชในความคิดของตัวเองไม่ได้

หึๆ สดใสงั้นหรือ จากรูปสีจางๆ เก่าเก็บนั่น ฉันมองเห็นอะไรด้วยหรือ ทั้งๆ ที่เวลาก็ผ่านมานานแล้ว และคงไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องรื้อฟื้นแท้ๆ แต่เมื่อได้รู้เรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมา...มาดูให้เห็นกับตา

จริงๆ ฉันก็ไม่ได้คาดหวังมากไปกว่าการได้เห็นที่ทำงานของเขาสักนิด ก็ได้ๆ ฉันอาจจะแอบคาดหวังไว้เล็กๆ ว่าบางทีอาจจะได้เจอเขา มันก็กึ่งลุ้นๆ ไปในตัว ใจหนึ่งก็บอกว่าอยากเจอแต่อีกใจก็ไม่อยาก

ตลกดีนะ คนเรา สับสนมันได้ทุกเรื่องสิน่า มีแบบนี้ก็อยากได้แบบโน้น ตอนที่กำลังคิดอยากเจอ แทบจะท้าทายสวรรค์ด้วยซ้ำว่าหากเจอเขา แล้วฉันจะทำจะพูดอะไรบ้าง แต่พอได้เจอตัวเป็นๆ ตอนนี้ กลับนิ่งเป็นเบื้อใบ้ พูดอะไรไม่ออก

ขี้ขลาด...ฉันนี่มันแย่จริงๆ

เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นขัดความคิดของฉันเมื่อเขากดโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้วไม่มีสัญญาณตอบรับ เขาหันมายิ้มเหนื่อยๆ ให้ฉันที่กำลังมองอยู่ พลางเอ่ยว่า “โทรศัพท์มือถือนี่ เวลาไม่มีสัญญาณหรือแบตฯ อ่อน เหมือนมันจะมีค่าแค่ก้อนพลาสติกก้อนหนึ่งจริงๆ นะ”

“เพื่อนหนูบอกว่ามีไว้ทับกระดาษกับไว้ขว้างใส่หัวหนูค่ะ” ฉันยิ้มและอดที่จะแปลกใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันที่ทำตัวทำเสียงได้เป็นปกติ แถมยังพูดเล่นโต้กลับไปได้ด้วย

แล้วเมื่อฉันได้รับรอยยิ้มที่สดใสมากขึ้นเป็นการตอบแทน ปากที่ฉีกจนเป็นรอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วของฉัน มันก็กว้างขึ้นโดยอัตโนมัติ เป็นเพราะอะไรก็ไม่รู้ จะดีใจอะไร เขายิ้มให้ฉันในฐานะคนแปลกหน้าที่พูดถูกใจก็เท่านั้น จะดีใจอะไรเล่า...

เราเงียบกันไปอีกพัก ก่อนที่เสียงถอนหายใจของเขาจะดังขึ้นแทรกอีกครั้ง ฉันมองเขาถอนใจสลับกับจ้องมองเข็มนาฬิกาเรือนแพงบนข้อมือแล้วทำให้อดถามไม่ได้ว่า
“คุณ...” จะเรียกว่าอะไรดีนะ แต่เราก็แค่มาดูลาดเลานี่นะ ใช่มั้ย เราไม่ได้ต้องการอะไรนี่ แค่...มาดูลาดเลา ท่องไว้ละกัน แค่มาดูลาดเลา ดังนั้นคำเรียกขานที่ออกจากปากจึงเป็น “…อาจะรีบไปไหนหรือเปล่าล่ะคะ”

เขาหันมาส่งยิ้มน้อยๆ แบบผู้ใหญ่ใจดีให้ และเอ่ยว่า “นัดลูกสาวไว้น่ะ วันนี้วันเกิดของแก” ท่าทางที่ติดจะดูขัดเขินของเขา ทำให้ฉันอดส่งยิ้มกลับไปให้ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืดเฝื่อนก็ตาม

ลูก...จริงสินะ ลูก ให้ตายเหอะ นี่ฉันหวังอะไรของฉันกันนี่ ของแบบนี้ก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ได้แต่งงานใหม่นี่สิแปลก ก็คนขนาดเขานี่นะ

แต่ทั้งที่คิดแบบนั้น ในใจกลับรู้สึกแปลบปลาบ ไม่อยากจะยอมรับว่าตัวเองกำลังอิจฉา แต่ก็เหมือนจะเป็นการโกหกตัวเอง...โกหกเหมือนถ้อยคำที่ใช้แก้แทนเขาเรื่อยมา ใช้ปลอบใจในยามที่ตัวเองต้องนั่งเงียบอยู่มุมห้องในวันพ่อแห่งชาติที่เพื่อนๆ พาพ่อมา ดอกพุทธรักษาที่เก็บไว้ในกล่องกระดาษเก่าๆ สิบสองดอกแทบจะผุดขึ้นมาในห้วงสำนึก แต่ฉันก็สลัดหน้าไล่ความรู้สึกนั้นออกไป และเถียงแทนเขาไปโดยที่รู้ว่าตัวเองจะต้องเจ็บมากขึ้น

ก็เขาไม่รู้นี่นา นั่นสินะ เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสักหน่อย แม่ก็ไม่เคยบอกเขา เพราะฉะนั้น ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด

ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ฉันย้ำกับตัวเองซ้ำๆ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ความรู้สึกขื่นๆ กลับแล่นมาจุกที่ลำคอ ดวงตาก็เริ่มร้อนผ่าวแบบไม่มีสาเหตุ ฉันพยายามบังคับและเกร็งกระบอกตาเอาไว้ จะให้น้ำตาไหลไม่ได้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ท่องไว้ ...เขาไม่รู้ว่ามีฉันอยู่ เขาไม่รู้

แต่แล้วความรู้สึกบ้าๆ อีกอย่างกลับแทรกเข้ามา ทำไม...ทำไมเขาไม่รู้ล่ะ ทำไมไม่รู้ ทำไม...เค้าหน้านี่ไม่ได้บอกอะไรเลยเหรอ จำไม่ได้แม้แต่นิดเลยเหรอ ทำไมที่ไหนๆ แม้แต่ในความทรงจำของเขาก็เหมือนจะไม่มีที่ว่างพอให้ฉันเข้าไปอยู่ ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่ที่นี่ แต่ก็นั่นสินะ มันไม่เคยมีที่ว่างสำหรับฉันอยู่แล้ว ก็น่าจะรู้ ก็สมควรจะรู้ ว่ามันไม่มี ไม่เคยมี

แม้ความคิดกึ่งสมเพชกึ่งเยาะหยันความตั้งใจอันแสนโง่เขลาที่พยายามตามหาพ่อของตัวเองจะแฝงเข้ามาเป็นระยะๆ แต่ปากก็ยังถามเขา...ถาม ‘พ่อ’ ต่อไปถึงครอบครัวที่เขา ‘มี’ ในตอนนี้

“ลูกสาวอายุเท่าไหร่แล้วคะคุณ...อา” ฝืนทำเป็นยิ้มแย้มได้แล้วก็หันไปส่งยิ้มนั้นให้เขาทีหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจใช้โอกาสที่ยังเหลือ... อาจจะแค่สิบนาทีหรือหนึ่งชั่วโมงอันแสนมีคุณค่านี้ ได้คุยกับพ่ออย่างที่ใฝ่ฝันมาตลอด แม้การคุยนั้นจะเป็นการคุยถึง...ครอบครัวของเขาก็ตาม

“สิบขวบแล้วล่ะ” รอยยิ้มน้อยๆ จุดขึ้นที่มุมปาก ท่าทางเขาดูผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อคุยถึงลูกสาว
“ทั้งซนทั้งดื้อเลยล่ะสิคะ” เมื่อฉันเอ่ย เขาก็พยักหน้าเร็วๆ และเสริมว่า “มากๆ เลยล่ะ เดี๋ยวนี้ก็ชักจะตามไม่ทันซะแล้วด้วย ไอ้เรามันก็แก่แล้วด้วยนี่นะ” ว่าพลางก็หัวเราะเบาๆ อย่างสบายอกสบายใจ

“ทั้งเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์ อะไรของเขาก็ไม่รู้ปังย่ง ปังย่า ไหนจะสารพัดศัพท์ที่สรรหาเอามาใช้อีกล่ะ วันก่อนมีกีฬาสี เขาได้เป็นลีดด้วยนะ แต่พอผมบอกว่าติดงาน ไปดูเขาเต้นไม่ได้ งอนอาละวาดใหญ่” เขาจบประโยคด้วยการหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“คุณอามีลูกคนเดียวหรือคะ”

“ไม่หรอก มีอีกสองคนแน่ะ คนสิบขวบนี่น่ะ คนเล็ก” เขาหันไปล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่อยู่ด้านหลัง พลิกๆ อยู่ครู่หนึ่งก็ดึงรูปใบเล็กๆ ออกมา

“นี่ไง” เขายื่นรูปมาให้ดู “คนโตปีนี้สิบแปด กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย” เขาชี้ให้ฉันเห็นเด็กผู้ชายในเสื้อยืดสีแดงกับกางเกงยีนซึ่งกำลังยิ้มตาหยีให้กับตากล้อง

“ส่วนคนนี้” เขาชี้ไปที่เด็กผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ด้านขวาของเด็กผู้ชาย “คนนี้คนกลาง เพิ่งสิบห้า กำลังเตรียมจะเข้าม.4 จริงๆ ใจผมอยากให้เรียนสายวิทย์นะ แต่ไม่รู้แกเหมือนกัน ดูแกก็มีหัวทั้งทางศิลป์ทางวิทย์ ก็เลยไม่รู้ว่าแกจะตัดสินใจเลือกด้านไหน ต้องแม่เขานั่นแหละที่รู้ดี เพราะเขาสนิทกัน ผมบางทีก็เหมือนอยู่วงนอกเรื่อย เวลาเขาคุยกันกุ๊กกิ๊กๆ ก็คุยกันเฉพาะสามสาว” เขาเล่าพลางหัวเราะไปพลาง ทำให้ฉันต้องฝืนใจผสมโรงหัวเราะไปด้วยทั้งๆ ที่อยากร้องไห้มากกว่า

“นั่นสินะคะ ผู้หญิงก็แบบนี้ล่ะค่ะ” เมื่อเอ่ยตอบโต้ไป แม้ว่าจะด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเช่นไร แต่ดูเหมือนเขาก็พอใจแล้ว เขาพยักหน้าและเริ่มเล่าเรื่องต่อไปเรื่อยๆ

ฉันนิ่งฟังเสียงทุ้มๆ ของเขา ทำราวกับตั้งใจฟังเรื่องที่เขาเล่าเสียเต็มประดา แต่ภายในใจ ฉันรู้ดีว่ากำลังรับเอาอะไรที่รับได้ในตอนนี้ เก็บอะไรก็ได้ที่มี เพราะเขาแทบจะเป็นความอบอุ่นที่ดูเหมือนใกล้ แต่กลับไกลเกินเอื้อม ฉันคงไม่อาจคว้ามันมาได้

นิ้วที่ชี้ชวนให้ดูรูปลูกสาวคนเล็กซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนโปรด ดึงให้ฉันกลับมามองเด็กผู้หญิงที่ยืนขนาบกับพี่ชายของเธอ

ถ้าฉันมีพ่อ ชีวิตฉันจะเป็นแบบไหนนะ

ถ้าฉันมีพ่อ ชีวิตจะดีเพียงใด

แต่ ‘ถ้า’ ...มันก็คือ ‘ถ้า’ มันเป็นได้แค่นั้น มันเป็นเหมือนความฝัน ที่เราได้แต่เฝ้าฝัน เฝ้าคาดหวังถึง มันไม่มีวันเป็นความจริงขึ้นมาได้

แล้วจากเรื่องหนึ่งก็นำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง ฉันนั่งฟังเขาเล่าเรื่องครอบครัวของเขาไปเรื่อยๆ ยิ้มและพยักหน้าเออออตามไปตอนที่เขาหยุดพักหายใจ แล้วฉันก็จะได้รางวัลเป็นรอยยิ้มอบอุ่น ฉันซึมซับเก็บภาพนั้นไว้อย่างเต็มที่ และพิมพ์ภาพเขาในตอนนี้ไว้ในใจ พยายามเก็บรายละเอียดไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ ที่จะได้เจอเขา

ขณะเพ่งพิศเก็บรายละเอียดของเขาเอาไว้ ทั้งเสื้อเชิ้ตยับๆ ไรหนวดที่ขึ้นหรอมแหรมแล้วในตอนนี้ เหงื่อที่เริ่มชื้นตามแผ่นหลังและหน้าผาก ฉันสังเกตว่าฉันได้คิ้วบางๆ และลักยิ้มที่จะกดลงบนแก้มทุกครั้งที่เขายิ้ม มาจากเขา มันทำให้ฉันรู้สึกดีเหมือนกันที่อย่างน้อย ฉันก็มีบางส่วนที่ได้มาจากเขาบ้าง ไว้ให้ระลึกถึง...ยามที่ไม่ได้เจอกันอีก โครงหน้านั่นก็ด้วย...โครงหน้าก็เหมือนกันอีก ดีจังเลยนะ ดีจริงๆ...

เสียงแกร๊กตามมาด้วยการกระตุกของลิฟท์สองสามครั้ง ฉันก็พบว่าไฟสีแดงบนแผงหน้าปัดลิฟท์กลับมาใช้งานได้ตามปกติ เขาหยุดบทสนทนาลงและพุ่งตัวไปที่อินเตอร์คอมทันที เมื่อเขากดสัญญาณพูดและได้รับเสียงการแจ้งยืนยันจากเจ้าหน้าที่ เขาก็หันมาส่งยิ้มให้ด้วยท่าทางโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

“ลิฟท์ใช้ได้แล้ว” เขาเอ่ย

ฉันยิ้มและลุกขึ้นยืนพลางปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนกางเกงสีน้ำตาลตัวโปรดไปด้วย

“เอ่อ...” เขาติดจะดูขัดเขินอีกครั้งเมื่อเอ่ย “แหม...ฉันก็เล่าแต่เรื่องตัวเองให้หนูฟังซะยาว”

“ดีค่ะ เรื่องของคุณอาสนุกดี ครอบครัวของคุณอาก็น่ารักมาก”

เขายิ้มปลื้มกับคำพูดนั้น พลางหยิบเสื้อสูทขึ้นมาถือไว้ในมือ

ในขณะที่ลิฟท์เคลื่อนตัวลงสู่ชั้นล่างช้าๆ ฉันเลื่อนตัวมายืนอยู่เบื้องหลังเขา เก็บภาพเขาเป็นครั้งสุดท้าย ฉันรู้ดีว่านี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ฉันจะได้มองเขา ฉันคิดว่าฉันไม่ควรมาที่นี่อีก และไม่ควรพบเขาอีก เขามีความสุขกับครอบครัวของเขา มันก็ดีแล้ว

จริงๆ ฉันก็แค่อยากมาดูว่าเขาสบายดีมั้ย มันก็เท่านั้นเองไม่ใช่หรือ

ก็นี่ไง เห็นกับตาแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาสบายดี วัตถุประสงค์ครบถ้วนสมบูรณ์ในตัวของมันแล้ว และเป็นอีกครั้งที่ฉันยิ้มแบบสมเพชให้กับตัวเอง เมื่อนึกถึงอาการตื่นเต้นแบบแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อจะได้มาพบกับเขา รวมทั้งความคาดหวังโง่ๆ ที่ว่าบางทีเมื่อเขาเห็นฉันแล้ว เขาอาจจะจำอะไรได้

แล้วก็ไอ้ความคาดหวังนี่แหละ ที่ย้อนกลับมาให้ต้องเจ็บอีกครั้งเมื่อนึกถึง

จะให้เขามาจำอะไรได้กับเด็กที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีตัวตน มารหัวขนซึ่งหัวแข็งพอที่จะยังมีชีวิตอยู่

เมื่อลิฟท์เคลื่อนมาถึงชั้นล่างและเปิดออกในที่สุด ฉันก็ตัดสินใจได้ว่าไม่ควรเอาเรื่องยุ่งยากเข้ามาเพิ่มเติมกับชีวิตของพ่อ...ของเขาอีกต่อไป ในเมื่อมันไม่ควรมีฉันอยู่ตั้งแต่ต้น ก็อย่าให้เขารู้ว่ามีเลยจะดีกว่า เพื่อความสุขของการไม่รู้ของพ่อ ให้เราเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่มาอยู่ด้วยกันในเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้นก็พอ ฉันยกมือไหว้เขาจากทางเบื้องหลัง พึมพำเบาๆ พลางกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล “ลาก่อนค่ะ พ่อ จากลูกอีกคน”



Create Date : 26 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2549 8:24:48 น. 0 comments
Counter : 259 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

surudee
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add surudee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.