ความเป็นไปของท่านผู้วายชนม์ ใครจะรู้ได้เล่าว่า จะสุขจะทุกข์นั้นอย่างไร การบำเพ็ญกุศลศพของท่านนั้น เป็นภารกิจที่ บุตร ภรรยา หลานๆและญาติๆ พึงกระทำตามประเพณี และเป็นการตอบแทนพระคุณให้แก่ท่านผู้จากไปเป็นครั้งสุดท้าย และเป็นธรรมดาที่บุตรหลานของท่านผู้วายชนม์และบรรดาญาติมิตรทั้งหลาย จะต้องมีความโศกาอาลัย เพราะการจากไปในครั้งนี้ เป็นการจากไปแบบธรรมดา จากไปตามกาลเวลาสิ้นสุดของสังขาร เป็นการจากไปแบบไม่มีวันกลับ การสวดพระอภิธรรมทุกบททุกตอนที่พระสวดนั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดความสุขแก่ผู้วายชนม์แต่ประการใดเลย เพระท่านนั้นล่วงลับไปแล้ว ยากที่จะเป็นการรู้ว่า ท่านจะได้รับสิ่งใด แต่เป็นบทสวดที่เป็นการบอกกล่าว "ความจริง" แก่บุตรหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งสิ้น เพื่อให้ได้รับรู้ว่า ผู้ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ จะต้องดำเนินชีวิตไปในแนวทางอย่างไร พระท่านบอกว่า
ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล อกุศลธรรม และที่เป็นธรรมครึ่งๆกลางๆ ระหว่างกุศลกับอกุศล คือไม่จัดเป็นกุศลหรืออกุศล (อัพยากฤต) ธรรมใดที่เป็นกุศล ในสมัยใด กามาวจรกุศลจิตที่สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุคด้วยญาณเกิดขึ้น ปรารภอารมณ์ใดๆ จะเป็นรุปารมณ์ก็ดี สัททารมณ์ก็ดี คันธารมณ์ก็ดี รสารมณ์ก็ดี โผฏฐัพพารมณ์ก็ดี ธรรมารมณ์ก็ดี ในสมัยนั้น ผัสสะ ความฟุ้งซ้านย่อมมี อีกอย่างหนึ่งในสมัยนั้น ธรรมเหล่าใดแม้อื่น มีอยู่ เป็นธรรมที่ไม่มีรูป อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล.
"กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อัพฺพยากะตา ธมฺมา กตเม ธมฺมา กุสลา ยัสฺมิงฺ สมเย กามาว จรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปันนํ โหติ โสมนัสฺ สสหคตํ ญาณสัมฺปยุตฺตํ รูปารมฺมณํ วา สัทฺทารมฺมณํ วา คัณฺธารมฺมณํ วา รสารมฺมนํ วา โผฏฺฐัพฺพา รมฺมณํ วา ธมฺมา รัมฺมณํ วา ยํ ยํ วา ปนรัพฺภ ตัสฺมิงฺสมเย ผัสฺโส โหติ อวิเข โป โหติ เย วา ปน ตัสฺมิงฺ สมเย อัญฺเญปิ อัตฺถิ ปฏิจฺจ สมุปฺปันฺนา อรูปิโน ธมฺมา อิเม ธมฺมา กุสลา" ซึ่งก็เป็นการบอกกล่าวให้ทราบถึง ดีชั่ว แม้กระทั่งวาระสุดท้าย ที่เชิงตะกอน หรือเมรุก็แล้วแต่ ร่างของผู้วายชนม์ ที่นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงศพ ไม่มีโอกาสรับรู้สิ่งใด พระท่านก็ยังบอกกล่าว เพื่อให้เราผู้ยังอยู่ ได้รับรู้ไว้ว่า "อนิจฺจา วต สงฺขาราอุปฺปาทวยธมฺมิโน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโขติ " ซึ่งก็หมายความว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดาเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป การที่สังขารเหล่านั้นสงบระงับ เป็นสุข จนกระทั่งถึงตอนเก็บกระดูก พระท่านก็ยังบอกกล่าวอีกว่า "อะจิรํ วตยํ กาโย ปฐวิงฺ อธิเสสฺสติ ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ นิรัตถํ ว กลิงฺครํฯ" ซึ่งหมายความว่า ร่างกายนี้อีกไม่ช้าไม่นานนักก็จะถูฝังทับด้วยผืนแผ่นดิน อย่างปราศจากวิญญาณและความรู้สึก เปรียบประดุจท่อนไม้และท่อนฟืน มิอาจะทำอะไรได้
บทสวดทั้งหลายนั้น ไม่ได้อวยพรอะไรแก่ผู้วายชนม์ หรือญาติผู้วายชนม์แม้แต่น้อยเลย แต่ที่ล้วนๆ บอกให้ผู้อยู่ ได้รับทราบว่า ความจริงนั้นเป็นอย่างไร คล้ายๆจะบอกให้ทราบเป็นแนวๆว่า
ปลงซะเถอะแม่จำเนียร
ในช่วงก่อนที่จะดำเนินการประชุมเพลิง พิธีกรที่เจ้าภาพเชิญมา ก็จะกล่าวถึงประวัติของผู้วายชนม์ครับ ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการถือกำเนิด การมีครอบครัว การสร้างชีวิต มีบุตรหลานสืบสกุล ความเจริญก้าวหน้าของครอบครัวและบุตรหลาน เพื่อเป็นการย้ำเตือนครั้งสุดท้ายแก่บรรดาญาติมิตรที่เคารพรัก แล้วผมก็ได้ "กลอน" มาครับ หลายครั้ง หลายงานที่ผมมีโอกาสได้ไปร่วมพีธี ก็มีบทกลอนที่แตกต่างกันไป วันนี้เอามารวมๆ แล้วดัดแปลงครับ
ขึ้นขี่คอ พ่อพา สู้ชีวิต
ให้ลูกรู้ ถูกผิด คิดอ่านเขียน
ให้ลูกหมั่น ฝันใฝ่ ตั้งใจเรียน
ให้พากเพียร อย่างพ่อ หนอ ทำดู
.
ชีวิตพ่อ ล่วงลับ ดับลงแล้ว
แต่ดวงแก้ว ยังผ่องใส ในใจอยู่
น้ำตาลูก ไหลหลั่ง ลงพร่างพรู
ให้พ่อรู้ พ่อลูกอยู่ ในดวงมาน
.
ทุกคำสอน ของพ่อ ลูกขอรับ
ให้ประทับ ในใจลูก ทุกคำขาน
เดินทางถูก ลูกขอ ปฏิญาณ
ให้คำมั่น จากนี้ จนชีพวาย
.
ขอจงสู่ สุคติ เถิดหนอพ่อ
กุศลก่อ พ่อสร้าง ไม่ห่างหาย
บันดานดล พ่อพ้นทุกข์ สุขสบาย
ยังที่หมาย สรวงสวรรค์ ชั้นวิมาน
..
หากชาติหน้า มีใหม่ ให้พานพบ
ขอประสบ พันผูก เป็นลูกหลาน
เพื่อตอบแทน พระคุณพ่อ หนอตราบนาน
เป็นคำขาน กราบขอ ต่อเทวา
พันวัตต์
๐๗๐๓๕๖