|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
*@*ผีเด็กตกตึกที่สิงคโปร์*@*
ตอนที่ฉันและครอบครัวยังอยู่สิงคโปร์ เมื่อประมาณปี 1997 ลูกสาวคนโตไปเรียนว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำในคอนโดที่อยู่ ซึ่งอยู่ข้างๆตึก B คอนโดนี้มีตึกแบ่งตามตัวอักษรตั้งแต่ Aไปเรื่อยๆ
วันนั้นลูกสาวเรียนไปได้สักพัก ก็เห็นพนักงานของคอนโดเดินลงมาจากตึกสำนักงาน ซึ่งอยู่ที่สปอร์ตคลับของคอนโด ตรงสระว่ายน้ำน่ะแหละ หลายคน... เดินไป เดินมา ทำท่าเหมือนมีเรื่องร้ายแรง...แล้วก็มีจำนวนคนเดินกันไปมาเพิ่มขึ้นอีก ฉันก็เลยเดินไปดูมั่งสิ...(ความเจือกเป็นเหตุ)...
พอดีตอนนั้นลูกชายอายุเพิ่งขวบเศษๆ จะเอาทิ้งไว้คนเดียวก็ไม่ได้ ก็เลยเอาใส่กะเอวไปด้วย พอไปถึงตึก B เท่านั้นแหละ...ได้เรื่อง....
พนักงานคอนโดที่คุ้นหน้าคุ้นตาฉันดี ก็ถามฉันว่า "Do you know this boy?" ไหนล่ะจ๊ะ...อ๋อ...ที่นอนบนพื้นหญ้าเอียงคอ...หัวบุบๆ...มีเลือดออกปากนิดหน่อย คนนั้นน่ะเหรอ... อะหยา...อีตกลงมาจากชั้นไหนเนี่ยะ....แล้วแม่ล่ะอยู่ไหน? ฉันเข้าไปดูหน้าใกล้ๆ....ลืมไปว่าอุ้มลูกชายอยู่ด้วย ก็ความที่อยากช่วยเค้าหน่ะนะตอนนั้น...
เด็กผู้ชายอายุขวบเศษ...รุ่นเดียวกับลูกชายเราเลย...หน้าตาจีนๆ...ม่ายรู้ญี่ปุ่นหรือสัญชาติไหน เพราะไม่เคยรู้จัก...ก็แหม...คอนโดนี้มีคนเป็นร้อยๆอาศัยอยู่นะท่าน...มะใช่แคบๆ...แล้วก็สารพัดชาติด้วย
อีกสักพักรถพยาบาลมา...หมอลงมาตรวจจับชีพจร...เพราะก่อนหน้านั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง...ก็แหม..ตกลงมาจากที่สูงเนี่ยะ กระดูกตรงไหนเคลื่อนไปบ้าง ขืนไปจับผิดจับถูก แทนที่จะช่วย...จะกลายเป็นคนป่วยซวยหนักไม่รู้เรื่องแทนซะ...
หมอที่มากับรถพยาบาลส่ายหน้า...แล้วบอกว่าม่องเท่งเรียบร้อยไปแล้วล่ะเกลอเอ๋ย...อื๋ยยส์...ชักเริ่มขนลุกแล้ววุ๊ยตอนนั้น...แต่ก็ยังยืนอยู่...เพราะไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร พนักงานเลยเรียกตำรวจ...เพราะมีคนตายเกิดขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
คอยจนเบื่อ...อีกสักพัก...ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ลงมาจากตึกB นั่นแหละ บอกว่าสงสัยว่าลูกหายไปไหน เลยลงมาดูข้างล่าง ไปๆมาๆเลยรู้ว่าเป็นลูกตัวเอง....อ้าวววว....แล้วกัน...เศร้าไปเลย...
พอดีลูกสาวฉันกำลังจะเรียนว่ายน้ำเสร็จ ฉันก็เลยเดินกลับไปที่สระน้ำ เตรียมตัวพาลูกกลับบ้าน เพื่อนคนญี่ปุ่นที่ลูกเค้าก็อยู่ในกลุ่มเรียนว่ายน้ำกับลูกของฉัน เดินหน้าละล่ำละลั่กเข้ามาหา...
บอกว่าเด็กที่ตกลงมาตายนั่นน่ะ เป็นลูกของเพื่อนซี้เธอเองอาศัยอยู่ชั้นเก้า...อีทีนี้ตำรวจอยากสอบสวนเรื่องอุบัติเหตุ แต่เพื่อนคนญี่ปุ่นคนนี้ดันพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้...เพื่อนซี้เธอนี่ไม่ต้องพูดถึง...ทั้งงง...ทั้งตกใจ...ภาษาญี่ปุ่นที่เป็นภาษาของตัวเองยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลยตอนนั้น...
เค้าเห็นฉันที่พอจะคุยได้ทั้งสองภาษาในตอนนั้น...เพราะขี้เกียจไปหาคนเก่งกว่านี้ในสถานะการณ์คับขัน...ก็เลยมาวานให้ช่วยเป็นล่ามระหว่างแม่กับตำรวจให้หน่อยได้บ่...
ฉันก็เลยต้องย้อนกลับไปตรงนั้นอีกทีละสิ...แต่ตอนนี้ตำรวจเอาผ้าพลาสติกมาคลุมศพเอาไว้กันอุจาดตา...แต่ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายศพไปไหน
ก็ไปช่วยคุยกับเค้าไม่กี่ประโยค...แค่เค้าอยากรู้ว่าเป็นไงมาไง...ฉันก็เลยได้รู้ตามไปด้วยเลย...ว่า...แม่เด็กน่ะเป็นหวัด กินยาแก้หวัดแล้วง่วง พอเอาลูกชายคนเล็กนอนกลางวันในห้องได้ ตัวเองก็ไปนอนหลับอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ลูกชายคนโตกลับมาจากรร.แล้วก็ไปเล่นบ้านเพื่อนซะ เลยไม่มีใครอยู่บ้านอีก...
ห้องนอนของลูกชายเป็นเตียงสองชั้น วางชิดกับกำแพงติดหน้าต่าง ที่เปิดรับลม...ไม่มีลูกกรงหรอก คอนโดที่นั่นส่วนใหญ่เน้นสวย ไม่เน้นป้องกันเด็กตก แล้วลูกชายเธอก็ไม่เคยเล่นปีนป่ายให้เห็น...เลยไม่เคยระวังในข้อนี้ (ชะล่าใจมากเลย)
ห้องเธออยู่ชั้นเก้า....ชั้นเก้านะ....แค่มองลงมาเฉยๆก็เสียวแล้ว...นี่ดันเอาเตียงลูกไปตั้งตรงนั้น แล้วเปิดหน้าต่างอีกตะหาก ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นแม่ เลยจะปีนลงเตียงเอง หรือว่าอยากลองของปีนเล่นก็ไม่รู้...เลยลอยละลิ่วตกลงมา...ไปสวรรค์เลย...
ตอนหลังฉันได้ยินจากหมอประจำที่รักษาไข้ในครอบครัวฉัน และอาศัยอยู่ในคอนโดเดียวกันแต่ตึกตรงข้ามกับตึกนั้นบอกว่า....มีแหม่มฝรั่งคนหนึ่ง เอาหมามาเดินเล่นตอนเด็กตกลงมา แกเห็นไกลๆเหมือนมีตุ๊กตาตกมาจากตึก ไม่รู้ว่าเป็นเด็ก...แต่ทีนี้สัญชาตญาณหมามันคงดี มันเห่า...แล้วก็เข้าไปดูที่เด็ก แกก็เลยตามไปดู...พอรู้ว่าเป็นคนเท่านั้นแหละ...ตั้งแต่นั้นมา...แกช็อคนอนไม่หลับ ต้องให้หมอคนนี้ไปดูแล ให้ยานอนหลับเป็นเดือนๆกว่าจะนอนเองได้...
กลับมาที่ฉัน...พอช่วยเค้าสื่อสารกันพอรู้เรื่องรู้ความ ก็ขอตัวกลับบ้าน เพราะมันเริ่มเย็นแล้ว ต้องไปทำกับข้าวกับปลา ก็เลยไปรับลูกสาวคนโตที่ยังเล่นน้ำอยู่กับเพื่อนๆที่สระ กลับบ้านกัน...
พอกลับมาถึงบ้าน ตกค่ำลูกชายที่เอาใส่เอว ไปดูเด็ก ไปเป็นล่ามเจรจากับตำรวจให้เค้าตลอดนั้น เกิดอาการผิดปรกติขึ้นมาทันที ไม่เหมือนกับทุกวัน
ร้องไห้อย่างไม่มีสาเหตุ...พอสามีกลับมาบ้าน ก็เลยเล่าให้ฟัง สามีก็บอก...สงสัยคงจะรู้สึกหดหู่ และเสียใจมั้ง อาจจะกลัวด้วย แต่เด็กยังเล็กมากพูดไม่ได้ก็เลยต้องร้องไห้แทน...แล้วก็ตำหนิฉันนิดหน่อย...ว่าไม่น่าพาลูกไปดูเลยนี่
ฉันก็ไม่ได้เอะใจอะไร ไม่ได้กลัวผีด้วยตอนนั้น เพราะคิดว่าตัวเอง เป็นคนมีศีลธรรม ไหว้พระทุกวัน สวดมนต์เป็นนิจ ทุกศุกร์ก็จะชวนเพื่อนคนไทยไปวัดตอนเย็น ไปสวดมนต์นั่งวิปัสสนา (เล็กๆ แบบไม่บรรลุกะเค้าหรอก) ที่วัดไทยแห่งหนึ่งเป็นประจำ (ประจำไม่นานหรอกค่ะ... เพราะหลังจากนั้นเปลี่ยนจากไปสวดมนต์นั่งวิปัสสนา กลายเป็นไปแหกปากร้องคาราโอเกะเพลงญี่ปุ่น กับเพื่อนแทน ไอ้ที่นั่งวิปัสสนาก็กลายเป็นไปนั่งๆลุกๆขึ้นไปส่ายสะโพก ตามรร.มั่ง ตามบาร์ดังๆในสิงคโปร์มั่ง กับพวกอ๊อกซังเวลาคุณสามีออกไปปาร์ตี้งานบริษัท คุณภรรยาก็พากันเที่ยวมั่งเพลินไปเลย...อ้อ...ลูกเหรอคะ...ก็มี Maid ประจำ จ้างกันเป็นรายช.มน่ะสิ)
อ้าว...นอกเรื่อง...ไปโน่น... อีทีนี้...อาการลูกไม่หาย...ร้องไห้ซ้ำซาก...ไม่เหมือนลูกคนเดิม วันดีคืนดี ก็นั่งเล่นมืดๆคนเดียวในห้องเด็ก เหมือนมีคนมาเล่นด้วย มันมีหลายห้อง บางทีฉันทำงานบ้านอย่างอื่นอยู่อีกห้องหนึ่งก็ปล่อยให้ลูกเล่นเอง พอเดินไปดู....
ลูกปีนหีบหวายสำหรับใส่ของเล่นหีบใหญ่ๆที่ฉันวางไว้ชิดหน้าต่าง (แต่หน้าต่างนั้นปิดตลอด เพราะเปิดแอร์ที่บ้านประจำ ไม่ค่อยได้เปิดหน้าต่างห้องนั้น) เอาผ้าม่านคลุมหัวตัวเอง มองออกไปนอกหน้าต่าง ยืนจ้องอะไรก็ไม่รู้ อยู่เป็นนาน...เอ...ชักแปลกๆวุ๊ย...
ฉันไปเล่าให้เพื่อนคนญี่ปุ่นคนอื่นๆฟัง...เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า ฉันควรจะไปบ้านเด็กคนนั้น และไปไหว้บอกกล่าวเสีย จะได้สบายใจขึ้น...แต่อย่าว่าแต่ไปบ้านเด็กคนนั้นเลย...แม้แต่ตึกนั้น ฉันก็ไม่เคยเข้าไปใกล้อีก ถ้าไม่จำเป็น...แบบมันกลัวขึ้นมาตะหงิดๆยังไงก็ไม่รู้
พอลูกอาการไม่ดี...ฉันก็ตระเวณไปไหว้พระ ขอสายสิญจ์จากพระที่เคยไปทำบุญที่วัดบ่อยๆ แล้วก็ไหว้พระในทุกที่ที่คิดว่าคนสิงคโปร์นับถือ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูก
แต่ลูกก็ยังร้องไห้ผิดปรกติ...เที่ยงคืนตีหนึ่งตีสอง...นอนหลับไปแล้วก็ตื่นมาร้องจ้าทุกคืน จนสามีฉันที่ไม่เชื่อเรื่องผี เป็นคนเอ่ยปากเองว่า บ้านเรามีผีมาวุ่นวายแน่ๆอย่างนี้
บางวันเป็นเอามาก ถึงขนาดฉันต้องอุ้มลูกไว้ตลอดเวลา และต้องเดินทั่วบ้าน ถ้าหยุดลูกก็จะร้องไห้เหมือนมีคนมาฉุดขาให้ลงมาเล่นด้วย วันนั้นจำได้ดีเลย...สามีไปเล่นกอล์ฟ กลางวันแสกๆนี่แหละ...อุ้มลูกสามสี่ช.มเดินไปเดินมา อยู่ในบ้าน งานการไม่เป็นอันได้ทำ...
มีอยู่วันหนึ่ง ไปวัดอีกและได้ไปเจอะพี่สาวคนหนึ่ง เธอมีสามีเป็นคนสิงคโปร์ ตัวเธอเองนั่งสมาธิเป็นประจำและเข้มงวด แนะนำให้ดิฉันนั่งสมาธิสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้เด็ก
เธอสอนว่า อย่ากลัว...และให้คิดว่าเด็กคนนั้นเหมือนลูกหลานของเรา ให้มีจิตสมาธิแน่นๆ ให้สวดเป็นประจำและให้บทสวดมนต์มาบทหนึ่ง
พระที่ฉันไปไหว้ ไปทำบุญด้วยในวันนั้น ได้ให้พระพุทธชินราชมาบูชาด้วยหนึ่งองค์ ฉันเลยนำมาตั้งไว้ในห้องนอน โดยวางบูชาไว้บนโต๊ะสูง ปลายที่นอน (ห้องนอนตอนนั้นไม่มีที่วางที่อื่นอีก)
คืนสุดโหดมาถึงจนได้...ตอนนั้นเป็นเวลาผ่านไปได้หนึ่งเดือนเต็มๆของเหตุการณ์แปลกๆ และการร้องไห้ของลูกทุกคืนแบบนันสต๊อป...สามีฉันไม่อยู่ ไปประชุมที่โตเกียว เป็นคืนแรกตั้งแต่เหตุการณ์เด็กตกตึก ที่ฉันต้องนอนอยู่บ้านตามลำพังกับลูกๆ
คืนนั้นเหตุการณ์ราบเรียบในตอนค่ำ ลูกนั่งเล่นคนเดียวไม่มีทีท่าว่าจะอยากเข้านอน พอสักสี่ทุ่มกว่าๆฉันจึงชวนลูกทั้งสองคนเข้านอน ลูกคนเล็กเริ่มร้องไห้... แต่ไม่นานก็หลับไปหลังจากดื่มนม
ตีหนึ่งเศษๆ อยู่ๆลูกชายก็ตื่นร้องไห้ ฉันก็เอานมให้เพราะคิดว่าเค้าคงอยากดื่มนม แต่ในใจอีกหนึ่งน่ะ...คิดว่าเอาแล้วกรู...อยู่คนเดียวเนี่ยะนะ...อย่ามีอะไรเลย...
ลูกสาวก็หลับสนิท...ลูกชายยิ่งแหกปากร้องไห้...อุ้มยืนก็หาย แต่ถ้านั่งกับที่นอนเมื่อไหร่ก็เอาอีก...จนฉันรู้สึกเหมือนว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเฉพาะฉันกับลูกๆเท่านั้นแล้ว...
จนกระทั่งตีสอง ฉันรู้สึกเหนื่อยอยากนอนแล้ว กลัวก็กลัว..ไม่รู้จะทำไงดี เพราะอุ้มลูกสวดมนต์ไปไม่รู้กี่บทแล้วก็ยังไม่หายซะที เลยเปลี่ยนความคิดใหม่...
อุ้มลูกชายไว้ที่อก...ลงนั่งสวดมนต์ครั้งสุดท้าย และเริ่มภาวนา จากที่กลัวกลายเป็นโกรธ จากที่โกรธกลายเป็นสงสารเวทนา จิตใจเหมือนล่องลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันเกิดขึ้นเองจากสมาธิในตัวเรา แล้วฉันก็เริ่มคุยกับเด็กนั้นในใจ...
ฉันพยายามพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะรู้สึกว่าผีเด็กนั่นถ้าจะฟังภาษาอื่นไม่รู้เรื่องซะแล้วมั้ง...เอาว่ะ...ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อยู่คนเดียวตอนนี้ ไม่มีใครมาช่วยเราแล้วนอกจากตัวเราเอง
ฉันพูดว่า...ฉันรู้ว่าเธอหนาว เธอหิว เธอเจ็บและทรมานแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ฉันไปวัด ฉันก็ได้เอาอาหาร เอาขนม เอานม ทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้ทุกครั้ง...เธอจงไปรับสิ่งที่ฉันมอบให้และอย่ามารบกวนฉันอีกเลย ฉันรู้ฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจความรู้สึกเธอแล้ว...
ฉันพูดอะไรอีกก็ไม่รู้จำไม่ได้แม่นนัก พูดไปในใจแล้วก็คิดแผ่เมตตา ตอนนั้นจะเป็นภาษาอะไรก็ไม่สนใจแล้วเพราะมันเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความสงบ ความมีสมาธิในใจ เกิดขึ้นเองโดยที่ฉันก็ไม่รู้ตัวมาก่อน และไม่เคยทำได้อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากวันนั้น
พออาการในใจสงบ ไม่กลัว มีแต่ความเมตตาสงสาร ส่งใจไปให้วิญญาณน้อยๆนั้น สักพักหนึ่งฉันรู้สึกว่าลูกชายหลับสนิทแล้ว เลยเอาลูกวางลงที่ที่นอน และก้มลงกราบพระอีกครั้งก่อนล้มตัวลงนอนตอนตีสองกว่าๆ...แต่ไม่กล้าปิดไฟนอนเลยคืนนั้นจนเช้า
พอรุ่งเช้า..ฉันโทร.ไปเล่าให้พี่สาวคนนั้นฟัง ช่วงกับจังหวะพี่สาวคนนั้นก็แนะนำฉันว่า ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง มีพระเก่งทางวิชาอาคมหลายรูปมาจำศีลอยู่ จะลองดูไหม...
ฉันเลยตกลงและทำการขอร้องฝากพี่สาวนัดติดต่อให้ทันที ซึ่งพระได้ให้คำตอบมาว่า ให้ฉันไปรับที่สำนักสงฆ์เวลาสามโมงเย็น
ฉันวานเพื่อนคนไทยที่สนิทที่สุดตอนนั้นให้ไปเป็นเพื่อนด้วย...เราหลงทางกับแท็กซี่ไปผิดวัด ไปทราบเอาเมื่อถึงวัดแล้ว และวัดนั้นอยู่บนเขา ไม่มีแท็กซี่ขึ้นมาบ่อยนัก ฉันเริ่มวิตกเพราะเกรงว่าเลยเวลานัดไปมาก พระกับพี่สาวที่คอยอยู่ที่สำนักสงฆ์จะไม่คอยเรา
แต่เหมือนมีบุญมาช่วย เหมือนมีพระมาเปิดทางสว่างให้ สามีภรรยาสิงคโปร์คู่หนึ่งที่ไปไหว้พระที่วัดนั้น ได้ฟังเรื่องราวของฉันและเห็นใจอยากช่วยเหลือ สามีภรรยาคู่นั้นจึงกรุณาขับรถพาเราไปส่งที่สำนักสงฆ์ และอวยพรให้ลูกชายเราพ้นจากเรื่องร้ายๆโดยไว
เมื่อไปถึงสำนักสงฆ์ ได้คุยกับพระแล้ว พระท่านให้ฉันเตรียมของสำหรับอุทิศส่วนกุศล เป็นพวกอาหาร ขนม นม ของเล่นต่างๆที่เด็กๆชอบ เพื่อจะไปทำพิธีบังสุกุลให้ที่บ้านของฉัน
พระที่มาทำพิธีที่บ้านของฉัน มาทั้งหมดเจ็ดรูปแทบจะหมดสำนักเลย พระรูปหนึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ ได้ยินมาว่าเคยธุดงค์บำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่าเป็นปีๆลำพังผู้เดียว แก่กล้าวิชาไสยศาสตร์ เรื่องภูตผีปีศาจท่านบอกว่าไม่ต้องกลัว...
พระทั้งเจ็ดรูปมาจัดพิธีสวด เขียนชื่อเด็กแล้วเผา เหมือนกับทำงานศพให้เขาแทนตัว พระผู้ใหญ่ท่านนั้นได้พรมน้ำมนต์ทั่วบ้าน และเขียนตัวอักษรเป็นยันต์ไว้ที่ประตูบ้าน ประตูห้องนอน และมอบผ้ายันต์ไว้ให้ฉันอุ่นใจหลังทำพิธี
ท่านบอกว่ายังไม่เสร็จ เพราะต้องไปที่ๆเด็กตาย วิญญาณเด็กยังอยู่ที่นั่น ไปไหนไม่ได้ ไม่มีใครพาไป...ต้องให้ฉันพาลูกไปที่นั่นด้วย ไปอโหสิให้เค้าด้วยตัวเอง และท่านจะพาวิญญาณเด็กไปเพื่อแนะนำให้ไปสู่ที่สุขคติ
ฉันพาลูกไปตามที่พระบอก ตอนนั้นเริ่มพลบค่ำแล้ว ไม่ค่อยมีคนอยู่บริเวณนั้น ทำให้พิธีเป็นไปอย่างสะดวก แต่ฉันก็กลัวๆกล้าๆ...ดูพระทำพิธีตรงนั้น ท่านเอาของกินของใช้ที่ฉันได้เตรียมไว้ให้มาวางไว้ที่ตรงนั้น สวดมนต์ และกรวดน้ำลงดิน พระท่านบอกว่า ไม่ต้องกลัวแล้ว...เสร็จเรียบร้อยแล้ว อาตมาจะพาเค้าไปเอง
ฉันกลับมาบ้าน นั่งสนทนากับพระสักพัก ก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งท่านที่สำนักสงฆ์
คืนนั้นสามียังไม่กลับมาจากญี่ปุ่น แต่ดูเหมือนบ้านเราจะดูน่าขลังกว่าคืนก่อน...เพราะเพิ่งทำพิธีเสร็จมาหมาดๆ ฉันก็กลัวๆกล้าๆยังไม่สบายใจเต็มที่เพราะไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก...
คืนนั้นฉันเอาลูกเข้านอน แล้วตัวเองก็สวดมนต์แต่ไม่กล้าปิดไฟนอนทั้งคืน ลูกชายฉันไม่ร้องไห้สักแอะ...เป็นไปได้อย่างไร...ร้องมาทุกคืนตลอดเดือน จะมาหยุดเอาดื้อๆแบบนี้น่ะเหรอ...แล้วไม่ให้ฉันเชื่อได้อย่างไรว่า ทุกสิ่งที่ผ่านมาเกิดจากการที่มีภูตผีปีศาจมารบกวนเรา
แล้วตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งย้ายมาอยู่ญี่ปุ่น ลูกชายก็ไม่เคยมีอาการร้องไห้ประหลาดๆแบบนั้นอีกเลย
มิหนำซ้ำ...สามีที่เคยซื้อลอตเตอรี่สิงคโปร์ไม่ถูก...งวดนั้นกลับถูกลอตเตอรี่ขึ้นมาซะอีก...เหมือนกับมีคนมาให้โชค..ฉันคิดเข้าข้างตัวเองว่า...เป็นเพราะฉันได้ช่วยให้วิญญาณเด็กคนนั้นพ้นทุกข์ เค้าเลยอาจจะอยากมาขอบคุณพวกเราละมัง...
นี่แหละ...เรื่องที่ทำให้ค้างคาอยู่ในใจมาตลอด....ว่าผีมีจริงในโลกหรือเปล่า...
ใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ....เรื่องนี้...ฉันยอมเป็นบ้า...ขอเชื่อจนตาย...ใครจะว่ายังไงก็ช่าง...ไม่เจอะเองก็แล้วไปเหอะ...
Create Date : 10 มีนาคม 2548 |
|
6 comments |
Last Update : 29 กันยายน 2548 21:46:36 น. |
Counter : 3030 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: [[[tes]]] IP: 61.91.158.30 11 มีนาคม 2548 10:59:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: *NeverEnd IP: 58.9.137.15 23 พฤศจิกายน 2548 21:05:01 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Tokyo&Ibaraki Japan
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ฉันเคยแต่งงานกับคนญี่ปุ่น...สิบห้าปี...มีลูกที่แสนรักสองคน...มาบัดนี้...ฉันหย่าแล้ว...
ฉันยอมสละลูกๆไว้ให้เขา เพื่อเห็นแก่อนาคตอันมั่นคงของเด็กทั้งสอง แลกกับคำสบถและคำครหาต่างๆนานา ว่าฉันทิ้งลูก...ทิ้งครอบครัว...เพราะเราไม่สามารถใช้ชีวิตสามีภรรยาร่วมต่อกันไปได้...ในวิถีชีวิตอันแสนเก็บกด เคร่งเครียดของญี่ปุ่น...
บล็อกเก่าๆของฉันยังคงอยู่เหมือนเดิม เพื่อรำลึกถึงวันเก่าๆ...และจะเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆในชีวิตลงไป หากมีเวลา...สู้ต่อไป...กับชีวิตของฉัน...นี่แหละ...ปาน...ล่ะ...
|
|
|
|
|
|
|