ไอร์แลนด์ตอน 4
แหะ แหะ กะจะเอารูปวันที่สี่มาลงตั้งแต่คริสมาสต์ แต่ช่วงที่ผ่านมานี้ทั้งยุ่งทั้งขี้เกียจ ความจริงวันนี้ก็ขี้เกียจแต่มีคนถามเรื่องเที่ยวไอร์แลนด์ เลยได้โอกาสปิดเรื่องเที่ยวไอร์แลนด์เสียทีวันถัดมาป้าตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เพราะเย็นนี้จะจับรถกลับดับบลิน เลยต้องจัดของทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วชะแว๊บออกไปเก็บรายละเอียดเมือง Galway เมื่อวานนี้ไปทัวร์ คอนเนอร์มาร่าทั้งวัน ฟ้ามืดตั้งแต่ออกจาก แดรี่แคลร์ได้ไม่เท่าไหร่ สรุปแล้วคือตั้งแต่มาถึง กาลาเว ป้ายังไม่ได้สำรวจเมืองเลย วันนี้เลยต้องแหกขี้ตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จัดของเสร็จก็เอาของไปฝากที่ห้องเก็บของ แล้วก็จัดการหาของเช้าใส่ท้อง หลังจากนั้นก็เป็นอันพร้อมเที่ยวเหอ เหอ เห็นฟ้าใสๆ แต่อากาศติดลบอ้ะ ตอนก่อนออกเดินทางจากเกาะแก้วนั้นอากาศยังอุ่นอยู่เลย แวะกดนั่นกดนี่ไปเรื่อย ตั้งมือถือไว้ตอนเก้าโมง เพราะต้องไปจัดการเรื่องทัวร์ (ทัวร์เริ่ม เก้าโมงครึ่ง ใจเย็นซะไม่มี บริษัททัวร์อยู่ไหนก็ยังไม่รู้ มีแต่ที่อยู่กับแผนที่หนึ่งแผ่น)คนไปเที่ยวเยอะเหมือนกัน ต้องนั่งรถไปขึ้นเรือที่ Rossaveal ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็มาถึง Inis Mor ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของ Aran Islands (มีอยู่สามเกาะมั้ง) ที่เกาะลมแรงและหนาวมากจนต้องรื้อเอาเสื้อหนาวมาใส่เพิ่มป้าแวะศูนย์ท่องเที่ยวของเกาะเพราะตั้งใจจะขอแผนที่ละเอียด แต่ที่เขามีแจกนั้นมันแย่กว่าแผนที่ที่ป้ามีอยู่ ไอ้ที่ละเอียดกว่านั้นต้องซื้อ เลยใช้ของเก่าเสียงั้น อิอิ...งกอ้ะจากนั้นป้าก็เดิน เดิน และเดิน....จุดหมายของวันนี้คือ Dun Aengus คนอื่นๆเขาขึ้นรถไปเป็นส่วนใหญ่ ป้ามารู้เอาตอนไปถึง ดูนแองกัสแล้วว่ามีคนเดินไปประมาณ 5-6 คน แต่ออกก่อนป้า (เพราะป้ามัวแต่แวะศูนย์ท่องเที่ยว) แล้วเขาใช้ทางคนละเส้นกับป้า พอพ้นเขตชุมชน ถนนบนเกาะก็มีแต่ป้าคนเดียว (บนเกาะมีถนนสองหลักสองเส้น)ชอบหินที่นี่ แตกได้เรียบและเป็นระเบียบจริงๆแล้วก็มาถึง Dun Aengus Baseซื้อตั๋วเข้าชมแล้วก็เดินต่อ อิอิ...เก็บกดอยากเดินตั้งแต่วันที่ไปวิกโลว์ วันนี้เลยเดินอึดตะพึดอึดตะพือDun Aengus เป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนบีซี ป้าชอบมาก เพราะป้าเดินไป คนที่ไปด้วยรถเขาเที่ยวเสร็จแล้ว ด้านบนนั้นมีคนอยู่ไม่เกินหกคน ตัวดูนแองกัสมีกำแพงสี่ชั้นเป็นรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบหน้าผา ด้านหน้าเป็นแอตแลนติก ถ่ายรูปเสร็จก็จัดการของเที่ยง แล้วก็นอนหลับตาฟังเสียงคลื่นและลมอย่างมีความสุขมัวแต่เถลไถลอยู่บนนั้นเสียนาน ขากลับเลยเดินแบบตะบี้ตะบัน เพราะกลัวตกเรือ ตอนนั่งเรือกลับเห็นพระอาทิตย์ดวงโต๊ โต สีก็แด๊ง แดง แต่ถ่ายรูปแล้วไม่สวย เพราะกระจกเรือมันสกปรก ตอนทำรูปพระอาทิตย์ตกดินรูปนี้ เกิดอารมณ์ศิลปิน เอ๊ย ศิลเปรอะ เขียนกลอนบทนี้ไว้...อิอิ...อาทิตย์ลับแสงฟ้าแดงแก่ก่ำดวงดาวเริงระบำประดับฟ้ายามราตรีรอนรอนตะวันลับฟ้า....................ไกลไกลค่อยค่อยลับเลื่อนไป...................จากฟ้าเงียบเงียบสวยสะกดใจ.................สะกดจิตดึกดึกดาวเจิดจ้า.........................ทั่วฟ้าสุกสกาวระยิบดาวพราวพร่างฟ้า.................ระยับพรายกระพริบหลั่นเต้นเรียงราย..............แต่งฟ้า พริ้วไหวส่องเฉิดฉาย....................สวยเด่นค่อยค่อยเคลื่อนช้าช้า...................ระยิบฟ้าระยับดาวกลับมาถึงกาลาเวก็มืดแล้ว แวะหาอะไรกินก่อนจะกลับไปเอากระเป๋า แล้วจับรถกลับดับบลิน กว่าจะไปถึงก็เลยเที่ยงคืนแล้ววันรุ่งขึ้นแวะไปเดินแถวๆThe Four Courts แล้วหลังจากนั้นก็หลบเข้าไปดูรูป ที่ แนชั่นแนลแกเลอรี่เกือบครึ่งวัน แล้วก็ตาลีตาเหลือกกลับไปเอาของที่โฮสเทลแล้วต่อรถเมล์ไปสนามบิน วันนั้นเกือบตกเครื่อง เพราะเขาปิดเช็กอินไปแล้ว แต่กราวน์เขาคงเห็นว่ายังพอมีเวลา เลยยอมให้เช็คอิน เสร็จแล้วก็วิ่งเสียขาแทบขวิด เอาน่า ดีกว่านอนสนามบิน 555ส่งท้ายด้วย Ha'penny Bridge
//www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E4579180/E4579180.html