เรื่องราวรอบตัวนาย Pallas

<<
ธันวาคม 2551
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
9 ธันวาคม 2551
 

พาคนท้องไปฮันนีมูนที่บาวาเรีย (17-26 ต.ค. 51) ตอน 3

เช้าวันที่ 20 ต.ค. ตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง รีบออกมาที่ระเบียง ดวงดาวเต็มท้องฟ้า พยายามจะนึกว่ามีดาวอะไรบ้าง แต่ก็เยอะเหลือเกินจนจำไม่ได้ ไม่เหมือนที่บ้าน เห็นดาวไม่กี่ดวง ก็พอจำได้ ที่สำคัญลืมพกแผนที่ดาวมาจากเมืองไทย เพราะไม่ได้คิดว่าจะมาเห็นดาวสวยขนาดนี้ที่เยอรมัน ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าสูดอากาศเย็นสดชื่น มีดาวพร่างฟ้า พร้อมปราสาทในเทพนิยายเป็นฉาก ก็มีความสุขสุดๆแล้ว


ชื่นชมความงามได้พักนึก ก็กลับไปนอนต่อ เก็บแรงไว้ วันนี้ต้องขับรถข้ามประเทศอีกไกล ตื่นมาอีกที ฟ้าก็เริ่มสว่าง มองปลายเตียง เห็นปราสาทนอยฯผ่านหน้าต่าง ดูกันจนอิ่ม ตามภาพ



อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากุบกับอยู่หน้าโรงแรม เดินไปดูก็เห็นรถม้ากำลังมาเข้างาน



หลังจากมื้อเช้า เราก็ออกเดินเล่นรอบโรงแรม ช่วงเช้าๆอย่างนี้ อากาศกำลังสบาย คนก็ยังบางตา เดินชมวิวไปทางทะเลสาป Alpsee ซึ่งห่างจากโรงแรมประมาณ 250 เมตร อากาศบริสุทธิ์ เย็นพอดีๆ ฟ้าโปร่ง ไม่มีฝูงชน




ติดกับทะเลสาป มีโรงแรมชื่อว่า Alpsee Hotel ตึกสวยดี ระเบียงห้องพักหันหน้าเข้าหาทะเลสาปพอดี แต่สำหรับเรา ขอมองเห็นปราสาทนอยฯดีกว่า



กลับมาที่โรงแรม เก็บข้าวเก็บของ เดินหาซื้อ souvenier (อีกแล้ว) และก็เริ่มออกเดินทาง วันนี้เราจะไปที่เมือง Hallstatt ประเทศออสเตรีย แต่เราจะไปแวะที่ปราสาทลินเดอร์ฮอฟระหว่างทางก่อน (จริงๆแล้ว เราต้องอ้อมไปพอสมควร)


ระหว่างขับออกมาจากโรงแรม ว่าที่คุณแม่ท้องป่องก็ยังอาลัยอาวรณ์ปราสาทดิสนีย์แลนด์ไม่หาย พยายามเอี้ยวตัวมาถ่ายรูปได้ตามที่เห็น



ทางไปปราสาทลินเดอร์ฮอฟไม่ไกลจากปราสาทนอยฯมาก ประมาณ 50 กิโล แต่เป็นทางเลียบภูเขา และทะเลสาป สวยงามมาก



ไปถึงปราสาทลินเดอร์ฮอฟแล้วก็งงๆ ตรงที่จอดรถไม่ค่อยมีคนมากนัก มองไม่เห็นปราสาท ต้องค่อยๆเดินตามป้ายขึ้นไป เจอต้นไม้ที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเหลืองไปทั้งต้นสวยดี



เดินต่อไป เจอหงส์ขึ้นมาเดินเล่น ตอนแรกไม่ค่อยมั่นใจว่าเป็นหงส์หรือห่าน แต่คิดว่าน่าจะเป็นหงส์ เพราะคอยาวโค้ง ถ้าหันหน้าชนกันจะกลายเป็นรูปหัวใจได้เลย



ปราสาทลินเดอร์ฮอร์ฟ (Lindeholf) เป็นปราสาทขนาดจิ๋วที่พระเจ้าลุดวิกที่ 2 สร้างขึ้น จริงๆแล้วอยากเข้าไปดูข้างใน เพราะในหนังสือนำเที่ยวบอกว่า มีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง เช่น Magic Table โต๊ะกินข้าวที่มีกลไกยกขึ้นมาจากครัวชั้นล่างขึ้นมาที่ห้องเสวยได้เลย แต่เราไม่มีเวลา ต้องรีบขับรถไปเมือง Hallstatt อีกตั้งเกือบ 300 กิโล




ตรงกลางสระน้ำหน้าปราสาท มีรูปปั้นสีทองอร่ามอยู่ตรงกลาง ตอนที่เรากำลังจะเดินกลับ เขาก็เปิดน้ำพุพอดี




เลยน้ำพุไป เป็นบันไดไปยังเนิน (Terraced Hill) และวิหารเทพีวีนัส (Venus Temple) ก็กำลังบูรณะซ่อมแซมอยู่ (อีกแล้ว)



ออกจากปราสาท เริ่มหิว แต่คงไม่มีเวลาทานมื้อเที่ยงในร้าน เลยแวะซื้อไส้กรอกบริเวณที่จอดรถมาทานเป็นมื้อเที่ยง แล้วรีบขับออกไปมุ่งหน้าไปยังออสเตรีย


หลังจากขับบนทางหลวงธรรมดาได้ซักพักใหญ่ ก็เริ่มเข้าออโต้บาห์น รถวิ่งกันเร็วเช่นเคย เราก็ยังรักษาตำแหน่งขับเลนตรงกลางที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยสุด ซักพัก ปรากฏว่าเจอด่านตรวจของตำรวจ เราค่อยๆชะลอ ลดกระจกลง ตำรวจก็เข้ามาทักทาย ถามว่า จะไปไหน เราก็ตอบว่า เราเป็นนักท่องเที่ยว เขาถามว่ามาจากจีนหรือญี่ปุ่น ต้องบอกว่ามาจากเมืองไทย ตำรวจเยอรมันอัธยาศัยดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วอวยพรให้เราขับรถปลอดภัย เที่ยวให้สนุกด้วย


ขับมาได้ครึ่งทาง เริ่มเหนื่อยเลยแวะปั๊มข้างทาง เข้าห้องน้ำ ซื้อไส้กรอกในมินิมาร์ตมากินเอาแรง ดื่มกาแฟเสียหน่อย  จากนั้น เราขับผ่านทะเลสาป Chiemsee ซึ่งจริงๆแล้ว พระเจ้าลุดวิกที่ 2 ก็ได้มาสร้างปราสาทไว้อีกแห่งหนึ่งบนเกาะกลางทะเลสาปนี้ แต่เราไม่มีเวลาแวะแล้ว


ข้ามแดนจากเยอรมันมาออสเตรียไม่ทันรู้ตัว เพราะไม่มีด่านใดๆ รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นป้ายบอกชื่อเมืองในออสเตรียแล้ว ออกจากออโต้บาห์น ขับตาม GPS ไปซักพัก อากาศภายนอกก็เริ่มเย็นลง รถน้อยลง แต่ก็ยังไม่ขาดสาย ทำให้ยังมั่นใจว่าไม่หลงทาง และแล้ว GPS ก็บอกว่าใกล้จะถึงเต็มที ทะเลสาป Hallstatt ก็ปรากฎตัวทางซ้ายมือของเรา และเราก็ขับเข้าอุโมงค์ซึ่งยาวและแคบมาก พอพ้นออกมา ก็เริ่มงงๆ เพราะ GPS บอกว่าเลยแล้ว จึงต้องรีบหาที่จอดรถเพื่อหาทางกันต่อไป



เมื่ออ่านป้ายและดูแผนที่ ก็พบว่า เราขับเลยมาหน่อยนึงแล้ว ไม่เห็นมีหนังสือนำเที่ยวเล่มไหนบอกเลยว่าต้องลอดอุโมงค์ แต่ไม่เป็นไร เราขับกลับไปและถามทางผู้คนดีกว่า ถนนหนทางในฮัลชตัตต์ค่อนข้างแคบ เพราะเป็นเมืองเล็กที่สวยงามมาก เราขับมาถึงพังสิโอนชื่อว่า ฮัลเบิร์ก ซึ่งเป็นพังสิโอนที่คุณพชรเขียนถึงในหนังสือ 12 เมืองเล็กน่าฮันนีมูน แต่ประตูปิด เปิดเข้าไปข้างในก็ไม่เห็นใคร ถามคนขายของข้างๆ เขาบอกว่าให้กดกริ่ง ซักพักก็มีคนลงมา แต่ห้องพักเต็ม เอาล่ะสิ จะไปพักที่ไหน ตอนนี้ก็ 5โมงครึ่งแล้ว ฟ้าก็เริ่มมืด ร้านค้าก็เริ่มปิด


เลยขับไปจอดรถทีลานจอดริมทะเลสาป กำลังเครียดๆเรื่องที่พัก และถนนก็แคบมาก เลยเลี้ยวไปครูดกับขอบทางเข้าที่จอดรถ โชคดีมองไม่เห็นรอย พอจอดรถเสร็จ ก็รีบไปที่ tourist information ของเมือง แต่ก็ปิดไปแล้ว ทำไงดี หันไปเจอฝรั่งผู้หญิงกำลังเข็นรถเด็กเล็กผ่านมาท่าทางใจดี เลยถามว่าพักที่ไหนได้บ้าง เธอแนะนำ พังสิโอนที่อยู่สุดทาง เพิ่งเปิดใหม่ แต่เธอจำชื่อไม่ได้ จำได้แต่ว่าเจ้าของมีนามสกุลว่า Fisher ตอนนั้นไม่มีทางเลือกแล้ว ผมเลยบอกให้ภรรยาท้องป่องนั่งพักอยู่ตรงนั้น แล้วรีบวิ่งไปหาที่พัก ในที่สุดก็เจอพังสิโอนที่เธอแนะนำ กดกริ่งซักพัก ก็มีเสียงดังจากลำโพงหน้าประตู โชคดีมากเพราะเขามีห้องว่างเหลือเพียงห้องเดียว และว่างเพียงคืนนี้เท่านั้น แต่ไม่มีปัญหาเพราะเราก็จะพักคื่นเดืยวอยู่แล้ว เราเลยรีบวิ่งกลับมาหานุช วิวทะเลสาปตอนนี้สวยมาก แต่ไม่มีกะจิตกะใจจะดูแล้ว เพราะต้องรีบเข้าห้องพักก่อน


นุชบอกว่าเมื่อตะกี้เจอกลุ่มคนไทยด้วย พอบอกว่ากำลังหาที่พักอยู่ พี่ๆเขาก็บอกว่า ถ้าหาไม่ได้ ให้ไปหาเขา เพราะห้องพักยังว่าง แต่เป็นห้องน้ำรวม ซึ่งพี่เขาบอกว่ามีแต่คนไทยด้วยกันพักในชั้นนั้น ไม่ต้องกังวล เรารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที คนไทยด้วยกันไม่ว่าจะเจอกันที่ไหน ก็เอื้อเฟื้อกันอยู่แล้ว


พอเราลากกระเป๋ามาถึงที่พักของเรา ชื่อ Pension Haus Sarstein (ผมอ่านไม่ออกครับ) ห้องพักของเราอยู่ชั้นบนสุดห้องตรงกลาง เป็นห้องใหม่ เฟอร์นิเจอร์ยังใหม่เอี่ยมอยู่เลย ที่สุดยอดคือวิวจากระเบียง ติดทะเลสาป สวยงามมากจนบรรยายไม่ถูก คนมาที่ฮัลชตัตต์ ขอแนะนำที่นี่เลย สุดยอด


ถ้าสนใจ ลองเข้าไปที่ www.pension-sarstein.at.tf ผมได้รับนามบัตรของคุณลุงคลอส เจ้าของพังสิโอน หลังจากเข้าไปพักแล้ว เพิ่งได้เข้าไปดูเว็บไซต์หลังจากกลับถึงเมืองไทยแล้ว


พอเข้าที่พัก ฟ้าก็มืด ท้องก็เริ่มหิว ถามเจ้าของพังสิโอนว่าไปทานอาหารเย็นที่ไหน คุณลุงก็แนะนำร้านกลางเมือง ชื่อ Gasthof Zauner แล้วบอกว่าต้องสั่ง ปลา Reinanke เป็นอาหารเด็ดประจำเมือง เพราะเป็นปลาจากทะเลสาปฮัลชตัตต์


มื้อค่ำวันนี้ เราจึงไปทานที่ร้านอาหาร Gasthof Zauner ระหว่างทางเดินไปที่ร้าน ฟ้าก็มืดแล้ว ร้านรวงก็ปิดเกือบหมด แต่อากาศก็เย็น สดชื่น แสนสบาย ไปถึงร้านอาหาร ขึ้นไปชั้น 2 มีคนทานอยู่ประมาณ 6-7 โต๊ะ เราก็เป็นหัวดำอยู่โต๊ะเดียวเช่นเคย รสชาติอาหารดีมาก บริกรก็อัธยาศัยดี มีอารมณ์ขัน เสียแต่ค่าอาหารแพงไปนิด เกินงบที่ตั้งไว้ แต่ก็รู้สึกคุ้มค่า



เสร็จสรรพจากมื้อค่ำ ก็เดินกลับที่พัก ก่อนจะนอนหลับ ก็ออกมาริมระเบียง ดูดาว ชมวิว สูดอากาศบริสุทธิ์ ริมทะเลสาป อย่างสุดแสนจะโรแมนติค แล้วก็นอนหลับฝันดีเช่นเคย






Free TextEditor




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2551
7 comments
Last Update : 9 ธันวาคม 2551 1:11:27 น.
Counter : 1827 Pageviews.

 
 
 
 
ว๊าววววววววววววววววว ลูกในท้องต้องแข็งแรงมากๆๆแน่ๆๆ แถมสวยหล่อเหมือน บรรยากาศที่ไปเยือนเลย
 
 

โดย: zalitalin วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:1:58:44 น.  

 
 
 
กินปลาเยอะๆ ลูกออกมาจะได้ฉลาดๆ (ไม่เคยมีลูกกะเค้าร๊อก ได้ยินมาเฉยๆ)
Pension Haus Sarstein=เพนซิโยน เฮ้าส์ ซาร์สไตน์
 
 

โดย: currywurst วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:2:26:16 น.  

 
 
 
Nice photos ka.
 
 

โดย: CrackyDong วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:2:52:35 น.  

 
 
 
แอบตามไปเที่ยวด้วยคนค่ะ แถบนั้นยังไม่เคยได้มีโอกาสไปเยือนเลย
 
 

โดย: Picike วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:4:14:56 น.  

 
 
 
 
 

โดย: KnightWin วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:17:19:20 น.  

 
 
 
 
 

โดย: KnightWin วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:17:20:00 น.  

 
 
 
น่าไปจังเลยค่ะ น่าอิจฉาจริงๆ ^_^ ขอบคุณที่เอารูปบรรยากาศมาให้ชมกันนะคะ
 
 

โดย: beuwerry วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:17:56:12 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

pallas
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




eXTReMe Tracker
[Add pallas's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com