##### รีวิววัดคิโยมิสึ วัดน้ำใส ณ เกียวโต #####
สวัสดีค่ะ เอนทรี่ล่าสุด รีวิวร้านอาหาร อยุธยา - ต้นน้ำริเวอร์วิว บางปะอิน วิวสวย อาหารโอ บริการไม่ดี (คลิกเพื่ออ่าน) หลังจากรีวิวที่พัก ที่ช็อปปิ้ง และสายการบินมาแล้วดังนี้โรงแรม Nikko Osaka - ทำเลดีค่ะ (คลิกเพื่ออ่าน) Nikko Hotel Osaka - อาหารเช้า (คลิกเพื่ออ่าน) รีวิวสายการบิน JAL เส้นทางกรุงเทพฯ - คันไซ โอซาก้า และการผ่านด่านตม. (คลิกเพื่ออ่าน) รีวิวย่านชินไซบาชิ โอซาก้า - ของกินและช็อปปิ้งค่า (แนะนำชีสทาร์ตเจ้าอร่อยด้วยนะคะ) (คลิกเพื่ออ่าน) รีวิววัดไทโดจิแห่งเมืองนารา (คลิกเพื่ออ่าน) รีวิวปราสาททองคินคาคุจิ เกียวโต (คลิกเพื่ออ่าน) วันนี้ก็จะมาพาไปเที่ยวอีกวัดหนึ่งที่ขึ้นชื่อของเกียวโตนะคะ นั่นก็คือวัดคิโยมิสึหรือวัดน้ำใสนั่นเองค่ะ ซึ่งรูปก็เหมือนเดิมนะคะ ยำจากหลายๆ รอบที่ไปค่ะ มีทั้งกันยา พฤศจิกาและมีนาคมค่ะ แหะๆ ข้อมูลวัดนี้จากวิกิฯ นะคะ (เราไม่ได้แก้การสะกดนะคะ เค้าว่าไงก็ยกมาทั้งอย่างนั้นค่ะ) วัดคิโยะมิซุ (ญี่ปุ่น: 清水寺 Kiyomizudera) ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองเคียวโตะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัด ประวัติของวัดย้อนหลังไปได้ถึงปี 798 แต่อาคารต่างๆที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2176 ชื่อของวัดซึ่งมีความหมายว่าน้ำบริสุทธิ์ มีที่มาจากน้ำตกที่ไหลผ่านเนินเขาลงมาบริเวณวัด เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2549 วัดคิโยะมิซุได้รับการเสนอชื่อเข้าร่วมพิจารณาคัดเลือกให้เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และอาคารหลักของวัดนี้ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นอีกด้วย การไปที่นี่นะคะ รถจะจอดที่ลานจอดรถด้านล่างค่ะ จากนั้นก็ต้องเริ่มเดินขึ้นเนินไป ซึ่งถนนขึ้นเนินนี่ สองข้างทางก็เต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ มากมายเลยค่ะ ยั่วยวนกิเลสก่อนขึ้นวัดเป็นอันมาก (และยากสำหรับไกด์ที่จะต้องพยายามบอกให้ลูกทัวร์ขึ้นไปที่วัดก่อนด้วยค่ะ ฮา) ถนนสายนี้เรียกว่า คิโยมิซึซากะ (清水坂) นะคะ พวกร้านขายของที่ระลึกต่างๆ บางส่วนนะคะ แต่ก็มีของกินด้วยหละค่ะ อย่างถ้าใครอยากได้คิตตี้ในชุดกิโมโน ก็เห็นมีจำหน่ายที่นี่ด้วยนะคะ เดี๋ยวยังไงในส่วนของพวกของน่าซื้อ (และน่ากิน) จะแนะนำอีกทีหลังชมวัดแล้วกันนะคะ แผนที่ของวัดให้ดูก่อนนะคะ จะได้พอนึกภาพตามออกค่ะ จากเว็บไซต์ของวัด //www.kiyomizudera.or.jp/lang/01.html หลังจากเดินจนสุดร้านขายของแล้ว ก็จะเป็นบันไดและประตูค่ะ เหมาะสำหรับการถ่ายรูปหมู่ (ฮา) ประตูนี่ถ้าตามรูปแผนที่วัดก็คือที่เรียกว่าประตูเทวะนั่นแหละนะคะ ซึ่งมีรูปของเทพเจ้า (ประมาณทวารบาล) ด้วย แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาง่ะ ขออภัยค่ะ หลังจากผ่านการขึ้นบันไดและประตูแรกมาแล้วก็จะเป็นทางเดินมุ่งสู่อาคารหลังหนึ่งแบบนี้นะคะ เราก็ต้องเลี้ยวขวาไปค่ะ อาคารหลังนี้น่าจะเป็นหอพระเรียกว่า หอซุยกุ (隋求) ที่นี่มีประดิษฐานพระอวโลกิเตศวรที่สร้างขึ้นในชั้นหลังไว้อีกหนึ่งองค์ค่ะ เครดิต - //www.j-plan.co.th/index.php?op=jlife-detail&cid=14&id=145 อ้อๆ ระหว่างทางจะผ่านเจดีย์เล็กๆ แบบนี้ ตัวศาลาระฆังและอื่นๆ ตามภาพนะคะ ขึ้นบันไดแล้วก็เดินลอดระหว่างอาคารนี้ไปนะคะ จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายไปข้างๆ อาคารแบบนี้ค่ะ (อาจจะมีสับสนบ้างนะคะ เพราะรูปหลายรอบจัด งงว่าอันไหนก่อนอันไหนอ้ะ แง) ก็จะเจออาคารขายตั๋วตรงขวามือตามภาพนะคะ หน้าตาตั๋วเข้าค่ะ ซึ่งแต่ละฤดู ตั๋วก็จะแตกต่างกันไปนะคะ เอามาให้ดูระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูใบไม้ผลิ ถ่ายย้อนกลับไปนะคะ จะเห็นอาคารที่เราเดินเลาะเลียบมา กับตัวเจดีย์ค่ะ จากตรงมุมที่ขายตั๋วเราเลี้ยวซ้ายแล้วก็เลี้ยวขวาอีกทีเพื่อไปยังตัวอาคารที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ค่ะ ทางเดินตัวนี้นี่ แตกต่างจากตอนที่เราไปเมื่อเดือนกันยานะคะ คงเพราะกำลังมีการก่อสร้าง ก็เลยทำให้มีการเปลี่ยนเส้นทางการเดินไปบ้างน่ะค่ะ เอาประวัติของวัดนี้จากอีกที่มาให้อ่านนะคะ //www.j-plan.co.th/index.php?op=jlife-detail&cid=14&id=145 ในปี ค.ศ. 778 พระภิกษุ เอ็นจิง (延鎮) เกิดนิมิตเห็นว่าตนได้เดินทางไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง มีผู้คนจาริกแสวงบุญที่บ่อน้ำนี้มาหลายร้อยปีแล้ว จนหลงเหลือคำพูดของนักจาริกว่า เราจะไปยังแดนตะวันออก เรื่องที่เหลือฝากด้วยนะ (自分はこれから東国へ旅立つので、後をむ) ซึ่งเมื่อเอ็นจิงได้เดินทางไปตามนิมิตนั้น ก็ได้พบกับบ่อน้ำและได้ใช้ท่อนไม้ที่พบในบริเวณนั้นแกะสลักเป็นองค์พระอวโลกิเตศวรขึ้น และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดวัดน้ำใส ต่อมาใน ปี ค.ศ. 780 ซากะโนะอุเอะ ทามุระมาโร (坂上田村麻呂) ได้ตามกวางมาจนได้พบกับพระภิกษุเอ็นจิง ได้ขอบิณฑบาตชีวิตกวางไว้ แต่ทามุระมะโรก็มีความจำเป็นต้องใช้เลือดกวางสดๆในการรักษาโรคร้ายที่ภรรยาเป็น ในที่สุดพระภิกษุเอ็นจิงก็ได้ขอพรจากพระอวโลกิเตศวร แล้วภรรยาของทามุระมะโรก็หายจากโรคร้าย แล้วก็เกิดเป็นศรัทธา ต่อจากนั้นทามุระมะโรได้ขึ้นเป็นเซย์อิไตโชกุน (征夷大将軍) คนแรก ก่อนออกปราบปรามชาวเอมิชิ (蝦夷) ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มากราบขอพรจากพระอวโลกิเตศวรที่นี่ แล้วก็สามารถปราบ อะเทรุอิ (阿弖流為) ลงได้ จึงได้สร้างพระกษิตครร์โพธิสัตว์ (地蔵菩薩) กับ ท้าวเวสสุวรรณ (毘沙門天) ขึ้นเป็นที่ระลึก ในปี ค.ศ. 798 จากเรื่องราวดังกล่าว บางตำนานก็อ้างว่า วัดน้ำใสเริ่มเป็นวัดขึ้นเมื่อทามุระมะโรชนะศึกกลับมา บางตำนานก็ว่า ภิกษุเอ็นจิง เดินทางมาจากแม่น้ำคิซึ (木津川) แล้วก็ล่องน้ำมาจนพบกับที่ตั้งของวัดในปัจจุบัน แต่ตามหลักฐาน เอกสารในประวัติศาสตร์ วัดน้ำใสได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัดในปี ค.ศ. 805 โดยทามุระมะโรขอขอพระราชานุญาติจากองค์จักรพรรดิซางะ (嵯峨天皇) แล้วให้วัดน้ำใสอยู่ภายใต้การดูแลของวัดโคฟุกุ (興福寺) มาอย่างยาวนาน ตัวโบสถ์ที่ทำจากวัสดุไวไฟทำให้เกิดอัคคีัยอยู่หลายๆครั้ง จนในที่สุด ในปี ค.ศ. 1633 โตกุกาวะ อิเอะมิซึ (徳川家光) ได้สร้างขึ้นเป็นอาคารอย่างที่เห็นในปัจจุบัน อาคารหลังแรกที่เจอ ทางฝั่งขวามือจะมีกระบองเหล็กแบบนี้อยู่ค่ะ ข้อมูลจากเว็บเดิมนะคะ บอกดังนี้ค่ะ กระบองเหล็กสองแท่งกับเกี๊ยะเหล็กวางอยู่ อันนี้แหละที่ว่ากันว่าเป็นของเบงเคอย่างแท้จริง กระบองเหล็กนี้อันหนึ่งใหญ่อันหนึ่งเล็ก ใช้เสี่ยงทายความสำเร็จ ผู้ชายให้ใช้สองมือกอบกระบองอันใหญ่ ผู้หญิงให้ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดยกกระบองอันเล็ก หากยกขึ้นได้ คำอธิษฐานนั้นก็จะสำเร็จดังประสงค์ แต่หากยกไม่ขึ้น ผู้เสี่ยงทายก็จะต้องเพิ่มความพยายามเข้าไปในเรื่องนั้นๆอีก แต่แม่บอกว่า ตอนที่แม่เคยไปเมื่อเกือบสามสิบปีโน้น ไกด์บอกว่า ถ้าผู้หญิงคนไหนยกกระบองขึ้น แสดงว่าสามีกลัวค่ะ เพื่อนแม่ก็ยุให้แม่ยกใหญ่เลย แต่แม่ไม่ยก ฮา เราก็เลยไปหาข้อมูลเบ็งเคต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็ไปเอามาจากเว็บนี้นะคะ //www.marumura.com/webboard/index.php?topic=5829.0;wap2 เบ็งเคย์ นั้นมีตัวตนจริงอยู่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นโบราณครับ ชื่อเต็มๆคือ ซาโต้ มุซาชิโบะ เบ็งเคย์ เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่นำมาทิ้งไว้ที่วัดในป่า (บางตำนานก็ว่าเกิดจากพ่อซึ่งเป็นคนในวัดข่มขืนแม่ซึ่งเป็นลูกสาวช่างตีเหล็กแถวนั้น) เบ็งเคย์ถูกชุบเลี้ยงมาโดยเหล่าพระในวัด มีลักษณะแตกต่างจากคนอื่นทั่วไป คือรูปร่างใหญ่โตตั้งแต่เด็ก (ตอนที่โตเป็นหนุ่ม 17 ปี น่ะ สูง 2 เมตรกว่าเลยนะครับ) ซึ่งสำหรับคนญี่ปุ่นสมัยนั้น ถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดผิดมนุษย์ ยิ่งประกอบกับท่าทางที่แข็งแรงดุดันและชาติกำเนิดที่น่าเศร้าของเบ็งเคย์ แล้ว ชาวบ้านละแวกนั้นจึงหวาดกลัวปนรังเกียจ และมักเรียกเขาว่า โอนิวากะ(เจ้าลูกยักษ์) ...เบ็งเคย์ บวชเป็นพระนักรบพร้อมกับฝึกวิชาการต่อสู้ไปด้วย และเติบโตขึ้นมาเป็นพระนักรบที่เก่งกาจแข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น เรื่องราวตำนาน ความซื่อสัตย์ของเบ็งเคย์ เริ่มจากตรงนี้ครับ ... เบ็งเคย์ ออกจากวัดไปตอนอายุ 17 ปี ด้วยเหตุผลใดไม่เป็นที่แน่ชัดหลังจากนั้น เบ็งเคย์ได้กลายเป็นนักบวชนอกรีตอยู่ที่ สะพานโกะโจคอยดักปล้นฆ่าเหล่าทหารและซามูไรที่ผ่านไปมาและยึดอาวุธของคน เหล่านั้นไว้ เบ็งเคย์รวบรวมดาบไปได้ถึง 999 เล่ม แต่ที่สุดแล้วเขาก็ต้องพ่ายแพ้แก่คู่ต่อสู้คนที่ 1,000 นั่นก็คือ มิยาโมโตะ โยชิสึเนะ เด็กหนุ่มวัยเพียง14 ปี ทายาทคนรองของตระกูลเก็นจิ ซึ่งมีความมุ่งมั่นจะรวบรวมญี่ปุ่นเป็นปึกแผ่นให้จงได้ เบ็งเคย์ยอมรับในความพ่ายแพ้และเห็นความตั้งใจจริงของชายผู้เอาชนะตนคนนี้ แม้จะอายุน้อยกว่า จึงได้ปฏิญาณตัวขอเป็นข้ารับใช้ องค์รักษ์ ผู้ซื่อสัตย์ต่อ โยชิสึเนะ นับตั้งแต่บัดนั้นตราบจนวันตาย ความซื่อสัตย์ ของเบ็งเคย์ ต่อโยชิสึเนะนั้น เป็นที่กล่าวขานกันมาก เบ็งเคย์ เป็นทั้งสหายร่วมรบและขุนพลเอกผู้ปกป้องนายเหนือหัวอย่างไม่เสียดายชีวิต ทั้ง 2 คนเชื่อใจกันมากเสียจนไม่ว่าจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็จะเชื่อใจโดยไม่ต้องถามเหตุผลเลยสักคำ แต่น่าเสียดายครับ ที่สุดแล้วความฝันของทั้งคู่ที่จะฟื้นฟูตระกูลและรวบรวมญี่ปุ่นก็ไปไม่ถึงฝั่ง เพราะหลังจากโยชิสึเนะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่ชาย จนพี่ชายได้ขึ้นเป็นใหญ่แล้ว โยชิสึเนะกลับถูกพี่ชายกล่าวหาว่าเป็นกบฏ และต้องจบชีวิตด้วยการคว้านท้องตัวเองในตำหนักด้วยวัยเพียง 20ปี โดยขณะที่โยชิสึเนะกำลังทำพิธีคว้านท้องตนเองนั้น เบ็งเคย์ ก็ยืนปักหลั่นเป็นป้อมปราการเฝ้าอยู่หน้าประตู ไม่ยอมให้นายเหนือหัวถูกลบหลู่เกียรตินักรบจบชีวิตด้วยน้ำมือทหารของพี่ชายที่บุกเข้ามา และเขาก็ทำสำเร็จ.....เพียงแต่ต้องแลกด้วยชีวิต เบ็งเคย์สิ้นใจด้วยลุกธนูที่ระดมยิงเข้ามาทั่วร่าง ทั้งที่อยู่ในท่ายืนจังก้าเฝ้าหน้าประตูนั่นเอง ส่วนจากเว็บนี้ //atcloud.com/stories/114941 มีเรื่องราวที่แตกต่างออกไปหน่อยหนึ่งค่ะว่า (รูปตรงส่วนนี้ก็เอามาจากเว็บนี้นะคะ) ไซโตะ มุซาชิโบ เบงเค เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อกับแม่นำมาทิ้งไว้ โดยบางตำนานกล่าวไว้ว่า เบ็งเคเป็นเด็กปีศาจมีผมรุงรังและฟันยาว แต่ถึงอย่างนั้นเค้าก็ถูกชุบเลี้ยงจากพระในวัดและบวชเรียนตั้งแต่อายุยัง น้อย อีกทั้งได้เดินทางไปยังวัดหลายแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น ทำให้เบ็งเคได้รับการฝึกสอนวิชาการรบ เมื่ออายุได้ 17 ปี กล่าวกันว่า เค้าสูงถึง 2 เมตร(O_O!) ด้วยเหตุนี้เบ็งเคจึงออกจากวัดไปบำเพ็ญตนกับพระภูเขาที่เรียกว่า ยามาบูชิ (Yamabushi) ครั้งหนึ่งเบ็งเคได้อยู่ที่สะพานโกโจในเกียวโต เพื่อรวบรวมดาบจากพวกนักดาบที่ข้ามสะพานนี้ให้ได้ 1000 เล่ม โดยเค้าเชื่อว่า หากรวบรวมดาบได้ครบ 1000 เล่มแล้ว จะทำให้ฆ่าตัวตายได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นในช่วงวัยเด็กเป็นต้นมา เบ็งเคพยายามฆ่าตัวตายเพราะเกิดอาการน้อยใจที่ตัวเองไปที่ไหนก็โดนล้อว่า เป็นลูกปีศาจ แต่ทำยังไงก็ไม่ตายซักที เลยมีพระนักบวชท่านหนึ่งแนะนำให้รวบรวมดาบ 1000 เล่ม แล้วจะสามารถฆ่าตัวตายได้ (อารมณ์ประมาณองคุลีมาลเลยแฮะ) ทว่าเมื่อเขารวบรวมดาบได้ถึงเล่มที่ 999 เบ็งเคก็ไปท้าโยชิซึเนะต่อสู้ เพื่อที่จะยึดดาบของโยชิซึเนะเป็นเล่มที่ 1000 แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่โยชิสึเนะ หลังจากนั้นเขาก็ขอเป็นผู้ติดตามโยชิสึเนะ เขาได้ร่วมต่อสู้กับโยชิสึเนะในสงครามเกนเป หลังสงครามก็ถูกโยริโทโมะที่เป็นพี่ชายของโยชิซึเนะไล่ล่า เบ็งเคกับโยชิสึเนะได้หลบหนีเป็นเวลาถึง 2 ปี ในฐานะคนนอกกฎหมาย ท้ายสุดเมื่อปราสาททาคาดาจิถูกล้อมโดยพวกของโยริโทโมะ และการโดนล้อมครั้งนี้ ทำให้โยชิสึเนะตัดสินใจกระทำฮาราคีรี(คว้านท้องตัวเอง) โดยมีเบ็งเคคอยยืนเฝ้าด้านนอก ไม่ให้ทหารของโยริโทโมะเข้าไปทำลายพิธีอันทรงเกียรติของโยชิสึเนะ เบ็งเคได้ต่อสู้และถูกธนูจำนวนมากยิงเข้าใส่ แต่ถึงอย่างนั้น เบ็งเคก็ยังคงยืนเฝ้าจนวินาทีสุดท้าย ก่อนจะสิ้นใจไปในท่ายืนเฝ้าแบบนั้น จนเป็นที่กล่าวขานกันต่อมา อีกด้านหนึ่งก็จะเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าแห่งโชคลาภหรือความร่ำรวยค่ะ เคยอ่านจากเว็บหนึ่งบอกว่าท่านคือ เทพอิปิสึ ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย มั่งคั่งน่ะค่ะ ก็เลยไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเทพเจ้านี้เพิ่มเติม จากเว็บนี้ //www.oknation.net/blog/ebisu/2009/01/28/entry-1 EBISU えびす อ่านว่า"เอบิสึ" เป็นชื่อของ 1ใน 7เทพเจ้าแห่งความสุขของญี่ปุ่น เอบิสึ จะเป็นเทพแห่งการค้า การประมง โชคลาภ และความสุขสมบูรณ์ (ไม่เกี่ยวกับ เอบิ ที่แปลว่ากุ้งนะครับ) เอกลักษณ์คือมือข้างหนึ่งถือเบ็ดตกปลาและมืออีกข้างหนึ่งจะอุ้มปลาไว้ ใส่หมวก หน้าตาจะยิ้มมีความสุข 7เทพเจ้าแห่งความสุข 七福神(ShichiFukuJin)มีชื่อตามด้านล่างนี้.. เอบิสึ, ไดฟูคุ, เบนเทน, บิจามอน, โฮเทย์, ฟูคุหลกคุจุ, จุโลจิน แต่บางท่านก็บอกว่าท่านคือ Daikoku (大黒天) เทพไดโกกุเป็นลักษณะเป็นชายอ้วนลงพุงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสสวมหมวกแบนๆพระหัตถ์ถือค้อนตะลุมพุกและพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งจะแบกถุงใส่สมบัติใบใหญ่ ว่ากันว่าถ้าท่านสั่นตะลุมพุกเมื่อไหร่เงินทองไหลมาเทมา มีผู้วิเคราะห์ว่าเดิมท่านน่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธมหายาน คือ พระมหากาล แต่ท่านดูจะใจดีกว่าพระมหากาลมาก ท่านก็เป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งและร่ำรวย บางครั้งปรากฎรูปเทพไดโกกุยืนอยู่บนฟ่อนข้าวที่กำลังถูกหนูแทะก็มี แต่ท่านประทับอยู่ในอาการที่มีความสุขไม่เดือดร้อน เพราะความมั่งคั่งร่ำรวยนั่นเอง จึงทำให้หลายๆบ้านเอารูปท่านไปติดไว้ในครัวเพื่อให้กำราบหนู แถมลักษณะภาพที่มีก็ใกล้เคียงกับองค์นี้อยู่นะคะนี่ ใกล้ๆ กันก็จะมีเทพเจ้าจำลองให้บูชากลับไปด้วยนะคะ เราบูชาตัวใหญ่มาตัวหนึ่ง ไปเป็นของรางวัลมอบให้ลูกทัวร์ ทำจากยางค่ะ แต่ผ่านการปลุกเสกเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็จะเป็นระเบียงใหญ่แล้วค่ะ สำหรับระเบียงนี้ก็เป็นระเบียงไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนไหล่เขาด้วยเสาไม้ต้นมหึมาจำนวน 139 ต้น (บางเว็บบอก 138 ค่ะ) และการก่อสร้างนี้ใช้สลักยึดอาคารแทนการใช้ตะปู โดยอาคารนี้ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสมบัติประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วยนะคะ สำหรับวิกิฯ ก็บอกไว้ว่า อาคารหลักของวัดคิโยะมิซุเป็นที่รู้จักจากระเบียงขนาดใหญ่สูง 13 เมตร มีเสาไม้กว่าร้อยต้นรองรับ สร้างยื่นออกจากด้านข้างของเนินเขา จากระเบียงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเกียวโตะได้ วลีที่กล่าวว่า "กระโดดจากระเบียงวัดคิโยะมิซุ" ซึ่งหมายความว่า ตัดสินใจกะทันหัน หรือกล้าตัดสินใจ วลีนี้มีที่มาจากความเชื่อในสมัยเอะโดะที่ว่า หากผู้ใดสามารถกระโดดจากระเบียงวัดแล้วสามารถรอดชีวิตได้ ความปรารถนาของผู้นั้นจะสัมฤทธิ์ผล คำอธิบายที่น่าจะเป็นไปได้ในการรอดชีวิตจากการกระโดดระเบียงคือ ด้านล่างของระเบียงมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่น ซึ่งอาจจะชะลอแรงจากการตกได้บ้าง ในปัจจุบันทางวัดห้ามมิให้มีการกระโดดระเบียง แต่ในสมัยเอโดะมีการบันทึกไว้ว่า มีผู้มากระโดดถึง 234 คน และรอดชีวิตได้คิดเป็นร้อยละ 85.4 ของทั้งหมดจากรูปนี้คนส่วนใหญ่ยืนอยู่บนระเบียงนะคะ เดี๋ยวจะมีรูปที่ให้เห็นเสาเป็นต้นๆ ด้วยค่ะ ส่วนไกลๆ ในรูปนี้ก็คือตรงที่คนสามารถจะไปยืนเพื่อถ่ายรูปมาที่ระเบียงให้เห็นเสาที่ค้ำอยู่ข้างใต้ได้นั่นแหละค่ะ ตรงระเบียงจะมีเชือกยักษ์กับฆ้อง (หรือเปล่า?) แบบนี้นะคะ หาไม่เจอว่าคือสิ่งใดค่ะ ขออภัยท่านผู้อ่านด้วยนะคะ แหะๆ ตรงข้างๆ ก็จะมีที่จำหน่ายเครื่องรางนะคะ แล้วก็มีที่เสี่ยงเซียมซีแบบที่ต้องเขย่ามาจากกระบอกยักษ์ด้วยค่ะ ก่อนจะเดินต่อ ขอเอาวิวจากระเบียงมาให้ดูก่อนแบบหลายๆ ฤดูนะคะ แฮ่... จะเห็นว่าสายน้ำทั้งสามสายอันเป็นที่มาของชื่อวัดน้ำใสก็จะอยู่ด้านล่างโน้นนะคะ เดี๋ยวเราค่อยไปกันเนาะ ดูจากตรงนี้คนตอนนั้นยังต่อคิวกันไม่เยอะค่ะ ไปบางรอบนี่คิวยาวเวอร์อ้ะ ก่อนอำลาจากระเบียงนี้ไป ที่จริงถ้ามาตอนเย็นๆ เป็นอีกจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามนะคะ เดินต่อไปทางซ้ายก็จะเจอทางแยกแบบนี้ค่ะ ถ้าเดินเลาะระเบียงที่เห็นในรูปไปเป็นรูปตัวยูตะแคง ก็จะไปยังจุดที่จะถ่ายรูประเบียงที่มีเสาได้นะคะ ส่วนตรงบันไดที่มีคนใส่เสื้อโค้ทสีน้ำตาลยืนอยู่นั่นก็จะเป็นทางลงไปที่น้ำสามสายค่ะ แต่ถ้าเรายังไม่ไปตรงบันไดกับระเบียง แต่มองไปทางซ้ายมือ ก็จะเจอทางขึ้นศาลเจ้าเทพเจ้าแห่งความรักหรือที่เรียกกันว่า ศาลเจ้าเทพเจ้าจิชูหรือกิชูกันแล้วหละค่ะ รูปนี้ทางซ้ายมือคืออาคารหลักนะคะ ทางขวามือนี่ก็คือทางขึ้นไปศาลเจ้าจิชูค่ะ (ถ่ายจากทางลงไปน้ำสามสายค่ะ) ศาลเจ้าจิชู Jishu-jinja สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพแห่งความรักและเนื้อคู่ ชื่อว่า โอคุนินุชิโนะ มิโคโระนะคะ พอลอดซุ้มประตูมาก็จะเจอภาพแบบนี้หละค่ะ จะเห็นทางซ้ายมือมีรูปปั้นสีเทาๆ อยู่ บางเว็บก็บอกว่านี่หละค่ะเทพเจ้าที่ว่า (ขออภัยถ่ายมาเต็มๆ ไม่ได้ คนเยอะมาก) แต่ตอนเราไป เค้าบอกว่าเป็นอีกองค์นะคะ เดี๋ยวจะพาไปดูค่ะ ถ่ายย้อนกลับไปที่ซุ้มประตูค่ะ จะเห็นว่ามีที่จำหน่ายเครื่องรางด้วยนะคะ เดินขึ้นต่อไปอีกหน่อย ก็จะเจอก้อนหินก้อนแรกแล้วค่ะ (จากสองก้อน) จากวิกิฯ บอกว่า ภายในศาลเจ้ามี"ก้อนหินแห่งความรัก" 2 ก้อน ตั้งอยู่ห่างกัน 18 เมตร เชื่อกันว่า หากสามารถหลับตาเดินจากก้อนหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งได้ จะสมปรารถนาในความรัก ระหว่างหินก้อนแรกที่เจอกับก้อนที่สอง (ที่จะโพสต์รูปต่อไปนะคะ) ก็จะมีอาคารแบบนี้อยู่ และหน้าอาคารนี้ก็จะมีองค์เทพเจ้าที่ไกด์บอกว่านี่คือเทพเจ้าจิชูนะคะ เนี่ยค่ะ องค์เทพเจ้าแห่งความรักที่ว่านะคะ (งง ทำไมข้อมูลไม่เหมือนกัน แถมหน้าตาท่านเหมือนเทพเจ้าโชคลาภอีกต่างหาก) ส่วนนี่คือหินก้อนที่สองที่อยู่ด้านในกว่าค่ะ เราพยายามจะถ่ายให้เห็นความห่างระหว่างหินสองก้อน แต่...อย่างที่เห็นค่ะ ให้รอยังไงก็ไม่โล่งพอจะถ่ายให้เห็นทั้งสองก้อนสักทีค่ะ เอาหละค่ะก่อนจะเดินลงไปชมแม่น้ำสามสาย ขอแว้บไปที่ระเบียงที่สามารถถ่ายรูปให้เห็นเสาระเบียงกันก่อนแล้วกันนะคะ ที่จริงถ้าจะเดินไปที่ระเบียงนี่ มันจะเป็นวันเวย์นะคะ คือต้องเดินต่อไปจนสุดระเบียง เดินยาวอ้อมไปลงอีกทาง ก็จะไปบรรจบกับน้ำสามสายได้อีกเช่นกันค่ะ ภาพถ่ายบางส่วนนะคะ ที่จริงเดินไปข้างหน้าอีกได้ค่ะ แต่เราไม่มีเวลาแล้ว ได้แต่รีบๆ เก็บภาพมาง่ะ จากนั้นเราก็ทำตัวไม่ดีด้วยการเดินย้อนทางมาค่ะ กลับไปลงบันไดเพื่อไปที่น้ำสามสายกันนะคะ ระหว่างทางเดินลง จะเห็นเสาค้ำยันระเบียงอยู่บ้างเหมือนกันนะคะ ตรงนี้ถ้าเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสีก็จะเห็นตามภาพเลยค่ะ โอ้วว น้ำสามสาย แบบว่า..คิวยาวอีกแล้วง่ะค่ะ เหอๆ จากบล็อกหนึ่งบอกว่า น้ำสามสายนี่เป็นน้ำซับธรรมชาติไหลลงมาจากยอดเขามานานนับพันปีแล้ว โดยมีความเชื่อว่า น้ำสายที่ 1 ถ้าใครได้ดื่มจะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา น้ำสายที่ 2 จะสมหวังในความรัก น้ำสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง แต่ถ้าวิกิฯ และไกด์ท้องถิ่นบอกจะบอกดังนี้ค่ะ น้ำตกโอตะวะ ซึ่งเป็นสายน้ำ 3 สายไหลลงสู่บ่อน้ำ ผู้มาเยี่ยมชมวัดมักจะมาดื่มน้ำจากน้ำตกนี้ด้วยถ้วยโลหะ ด้วยความเชื่อว่าสามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ และยังเชื่อกันว่าการดื่มน้ำจากสายน้ำตกทั้ง 3 นี้ มีความหมายถึงสุขภาพ อายุยืนยาว และความสำเร็จในการศึกษาค่ะ กระบวยที่ใช้รองน้ำ เขามีวิธีการฆ่าเชื้อที่รวดเร็วหลังจากรองน้ำดื่มแล้ว ก็ให้นำกระบวยเข้าช่องฆ่าเชื้อด้วยแสงอุลตราไวโอเลต (UV) แต่ก็มีแก้วจำหน่ายด้วยนะคะ แบบเอาแก้วรองแล้วก็สามารถนำแก้วกลับไปได้ด้วยค่ะ เห็นคนไทยบางท่านเอาขวดน้ำไปรองเก็บกลับบ้านด้วยหละค่ะ ซึ่งเรื่องน้ำสามสายนี่ ตอนเราไปญี่ปุ่นแรกๆ เค้าบอกให้ดื่มสายเดียวต่อการไปหนึ่งครั้งนะคะ หลังๆ นี่เค้าบอกว่าจะดื่มทีเดียวสามสายก็ได้ไปแล้วค่ะ ฮา ที่เราว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่คือ มักจะมีคนแต่งกิโมโนมาเที่ยวกันค่ะ เห็นแล้วอยากให้สถานที่เที่ยวสำคัญๆ ของไทยมีคนไทยกล้าแต่งชุดไทยไปกันบ้างจังค่ะ นักท่องเที่ยวก็น่าจะชอบเนาะ แล้วเนื่องจากมีศาลเจ้าจิชู บางทีก็มากันเป็นคู่แบบนี้ด้วยค่ะ น่ารักอ้ะ ชอบจัง หลังจากนั้นถ้าเราหันหลังให้น้ำสามสาย เดินตรงไปตามทางแบบนี้เพื่อจะไปยังทางออกค่ะ ถ่ายให้เห็นเสาที่ค้ำยันระเบียงแบบชัดๆ นะคะ จะเห็นอยู่ทางขวามือระหว่างเดินออกนี่แหละค่ะ เดินไปอีกหน่อยจะมีร้านนั่งแบบนี้ด้วยค่ะ ได้บรรยากาศดีทีเดียว เท่าที่เห็นนี่มีสองร้านนะคะ ร้านแรก แล้วก็เดินไปตามทางอีกหน่อย ก็จะมีอีกร้านค่ะ จากนั้นจะมีบ่อน้ำทางขวามือค่ะ ซึ่งจะมีต้นไม้อยู่ริมบ่อ สองฤดูก็ให้สองอารมณ์อีกเช่นกันนะคะ มุมเดิม ในเวลาที่ต่าง ซากุระหนึ่งพันธุ์ที่นี่ค่ะ ซึ่งนี่น่าจะเป็นพันธุ์ Somei Yoshino (Yoshino Cherry) ค่ะ จากข้อมูลบอกว่าโดยปกติจะบานปลายเดือนมีนาคม หรือต้นเมษา ซึ่งมีการค้นพบกว่าซากุระพันธุ์ Somei Yoshino นั้นมีการเริ่มปลูกมาในสมัย Edo และเป็นพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น สีของซากุระพันธุ์ Somei Yoshino นี้จะเป็นสีขาวอมชมพู มีทั้งหมด 5 กลีบ เอาข้อมูลซากุระมาฝากกันนะคะ เครดิตจากลิงก์นี้ค่ะ //www.japankiku.com/tour/sakura.html ต้นซากุระในญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นซากุระพันธุ์ Somei Yoshino และ Yamazakura แต่พันธุ์ของซากุระที่พบในประเทศญี่ปุ่นนั้นมีมากกว่าหนึ่งพันธุ์ขึ้นไป ต้นซากุระแต่ละพันธุ์ก็มักจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของสี รูปทรงดอก ระยะเวลาที่เริ่มผลิดอก ไปจนถึงระยะเวลาที่ดอกบานเต็มที่จนร่วงหล่นไป โดยมักจะมีการสังเกตได้จากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้จำนวนของกลีบดอก ดอกของซากุระส่วนใหญ่ในหลาย ๆ สายพันธุ์มักจะมีทั้งหมด 5 กลีบ แต่อย่างไรก็ตามบางพันธุ์ก็มีมากกว่า 5 กลีบขึ้นไป เช่น 10 กลีบ, 20 กลีบ หรือมากกว่าซึ่งมักจะเรียกแบบที่มีกลีบมากกว่า 5 กลีบว่า yaezakura. แยกประเภทตามสีของดอก พันธุ์ของซากุระส่วนมากจะเป็นสีชมพู ไปจนถึงม่วง ข่าว แต่ก็ยังมีแบบดอกสีชมพูเข้ม หรือสีเหลืองก็มี สีในบางพันธุ์สามารถเปลี่ยนสีได้คือเวลาดอกซากุระยังตูมจะเป็นสีขาว แต่พอบานเต็มที่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูระยะเวลาที่บาน ซากุระส่วนใหญ่จะบานในฤดูใบไม้ผลิ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีบานพันธุ์ที่บานก่อนคือช่วงปลายฤดุใบไม้ร่วงและในช่วงฤดูหนาว สำหรับซากุระประเภท Yaezakura หรือซากุระที่มีมากกว่า 5 กลีบ ซากุระประเภทนี้เมื่อบานก็จะสามารถอยู่ได้ 2-4 สัปดาห์เลยทีเดียว รูปทรงของลำต้นและพุ่มดอก ต้นซากุระแต่ละพันธุ์นั้นมีรูปทรง รูปร่างของลำต้น และลักษณะนิสัยที่ต่างกัน รูปทรงของต้นซากุระนั้นมีตั้งแต่แบบ สามเหลี่ยม, ทรงเสา หรือทรงตรง, ทรงตัววี (V-shape), ทรงหยดน้ำ (weeping) , ทรงแบน (flat-topped) เป็นต้น ซึ่งแบบ Weeping นั้นจะเรียกกันว่า shidarezakura. แต่ถ้าท่านใดอยากไปชมซากุระพันธุ์อื่นๆ ลองไปชมที่บล็อกของท่านนี้ดูนะคะ (คลิกเพื่ออ่าน) เอาหละค่ะ ต่อไปมาดูของกินของที่นี่กันเนาะ อันแรกก็เป็นขนมในหมวดของแป้งห่อถั่ว ถั่วห่อแป้งของที่นี่หละนะคะ (ฮา) เป็นโมจิสามเหลี่ยมค่ะ ที่จริงมีชื่อเรียกแบบญี่ปุ่นด้วย แต่เราจำไม่ได้แล้ว ร้านนี้อร่อยดีค่ะ มีแป้งหลายแบบ ไส้ก็มีหลายไส้ แต่เราชอบแบบไส้ถั่วแดงมากที่สุด แป้งเราชอบแบบแป้งขาวมากกว่าแป้งชาเขียวค่ะ แพ็คเก็จแบบนี้อันละ 250 เยนนะคะ แต่มีแบบมิกซ์ และแพ็คเก็จแบบอื่นที่แพงกว่านี้ด้วยค่ะ ที่จริงก่อนเข้าไป เค้าจะแจกถ้วยชาแบบนี้ด้วยค่ะ ให้กินแกล้มโมจิ (ไม่งั้นจะหวานเกิ๊น) แล้วก็คืนถ้วยเค้าด้วยนะคะ นอกจากนั้นก็มีร้านพัฟไส้ไอศกรีมแบบนี้ด้วยค่ะ (ถ้าขาลงจะอยู่ทางซ้ายมือนะคะ) ปกติเราเห็นเป็นไส้ชาเขียว แต่พอฤดูใบไม้ผลิ จะเป็นไส้สีจมปูนี้แทนค่ะ แต่ว่าชาเขียวที่เราเคยกินนี่ ไม่อร่อยนะคะ แหะๆ นอกจากนั้นก็มีร้านขายแตงกวาเสียบไม้แบบนี้ด้วยนะคะ (ตอนแรกดูเป็นดังโงะชาเขียว ขออภัย) เหมือนจะแช่น้ำพร้อมมะนาวด้วยมั้งคะ แต่เราไม่ได้ลองง่ะ ไม่รู้ว่าเป็นไงบ้างนะคะ ร้านนี้ถ้าขาลงจากวัดก็อยู่ทางซ้ายมือเหมือนกันค่ะ อีกร้านที่แนะนำคือเค้ก Otabe Baumkuchen ค่ะ ใช้ส่วนผสมหลักคือชาเขียวอุจิเข้มข้นและน้ำนมถั่วเหลืองที่ปลูกในเกียวโต อบเป็นชั้นๆ จนได้เค้กต้นไม้นุ่มนิ่ม หอมชาเขียวและนมถั่วเหลืองค่ะ ตัวนี้เราชอบนะคะ ซื้อมาฝากคนอื่นเค้าก็บอกว่าอร่อยกันค่ะ 1050 เยนสำหรับก้อนเล็ก และ 1580 เยนสำหรับก้อนใหญ่ค่ะ นอกจากนั้นเดินไปตรงอีกโซน จะมีร้านขายชาเขียวอยู่ค่ะ ตัวซองๆ แบบนี้ก็โอเคนะคะ ไม่หวานจัด เป็นแบบชงเลยเหมือนกันค่ะ สำหรับเอนทรี่นี้ก็คงแต่เพียงเท่านี้นะคะ แล้วเดี๋ยวถ้ามีเวลาจะมีรีวิวโรงแรมอื่นๆ ที่ญี่ปุ่น รวมทั้งที่เที่ยว ร้านอาหารอีก แต่ขอทำเมื่อมีเวลาแล้วกันนะคะ ระหว่างนี้ในส่วนของกลุ่มบล็อกท่องเที่ยวก็อาจจะเป็นที่เที่ยวหรือที่พักในไทยแทรกๆ กันบ้างเนาะ แหะๆ ปฏิทินธรรม วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2557 (กิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน) 1.ทำบุญกับพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถ.จรัญสนิทวงศ์ซอย 37 เวลา 06.30-10.30 น. ดูรายละเอียดพระที่มารับบาตรและแผนที่ได้ที่ //www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=3447วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2557 1. ตักบาตรพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น วัดพุทธบูชา (ทุกวันเสาร์แรกของเดือน)วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2557 (กิจกรรมจัดทุกๆ วันอาทิตย์ที่ ๒ และ ๔ ของเดือน) 1. ทำบุญ ฟังธรรม จากครูบาอาจารย์พระป่าสายกัมมฐาน ณ ศาลาลุงชิน แจ้งวัฒนะ 14 กิจกรรมจะเริ่มจากการถวายภัตตาหารร่วมกันเวลา ๘:oo น. สำหรับท่านที่สนใจนำอาหารมาร่วมทำบุญ แนะนำให้มาก่อนเวลาเพื่อจัดเตรียมอาหารใส่ภาชนะ ซึ่งจะเริ่มลำเลียงถาดอาหารเพื่อเตรียมประเคนเวลาประมาณ ๗:๔๕ น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/SalaLungChin?fref=tsวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2557 (กิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์ที่สามของเดือน) 1. ตักบาตรพระกรรมฐาน (นิมนต์พระสายหลวงปู่มั่น) ที่วัดบรมนิวาส (ไม่มีรายละเอียดอย่างอื่นค่ะ)วันพุธที่ 18 มิถุนายน 2557 1. ฟังธรรม พระอาจารย์มานพ อุปสโม แห่งวัดนายโรง และศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ เขาดินหนองแสง จันทบุรี 18.30 น. - สวดมนต์ ทำวัตรเย็น / 19.00-21.00 น. - นั่งสมาธิ และ ฟังธรรม (เน้นการปฏิบัติ ตามแนวมหาสติปัฏฐาน 4) ณ หอประชุมพุทธคยา อมรินทร์พลาซ่า ชั้น 22 รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/events/312684892249720/?ref=5วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2557 1. ฟังธรรม พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล 18.30 น. - สวดมนต์ ทำวัตรเย็น / 19.00-21.00 น. - นั่งสมาธิ และ ฟังธรรม (เน้นการปฏิบัติ ตามแนวมหาสติปัฏฐาน 4) ณ หอประชุมพุทธคยา อมรินทร์พลาซ่า ชั้น 22 รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/events/491908457541334/?ref=5วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน 2557 (จัดทุกวันเสาร์ที่สี่ของเดือน) 1. เชิญทุกท่านร่วมทำบุญตักบาตร สดับธรรม พระเถระวัดป่ากรรมฐาน เมตตารับบาตร โดย พระครูอุดมธรรมสุนทร (หลวงปู่แปลง สุนทโร) วัดป่าอุดมสมพร จ. สกลนคร พระครูภาวนาปัญญาโสภณ (หลวงปู่คำผิว สุภโณ)วัดป่าศรีวิไล จ. อุดรธานี เวลา ๐๗.๐๐-๑๐.๐๐ น. ณ บ้านอารีย์ เว็บไซต์บ้านอารีย์ //www.baanaree.net ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ 1,469,696+1634238 =3103934/10603/864
Create Date : 18 มิถุนายน 2557
40 comments
Last Update : 18 มิถุนายน 2557 15:30:04 น.
Counter : 15924 Pageviews.
โดย: กะว่าก๋า 18 มิถุนายน 2557 8:23:04 น.
โดย: mambymam 18 มิถุนายน 2557 9:33:10 น.
โดย: กะว่าก๋า 19 มิถุนายน 2557 5:55:14 น.
โดย: กะว่าก๋า 19 มิถุนายน 2557 8:28:03 น.
โดย: mambymam 19 มิถุนายน 2557 10:13:03 น.
โดย: กะว่าก๋า 19 มิถุนายน 2557 13:11:10 น.
โดย: sawkitty 19 มิถุนายน 2557 15:31:40 น.
โดย: mambymam 19 มิถุนายน 2557 19:18:32 น.
โดย: กะว่าก๋า 20 มิถุนายน 2557 6:10:52 น.
โดย: mambymam 20 มิถุนายน 2557 10:56:15 น.
โดย: กะว่าก๋า 20 มิถุนายน 2557 13:11:52 น.
โดย: mambymam 20 มิถุนายน 2557 13:52:50 น.
โดย: กะว่าก๋า 20 มิถุนายน 2557 15:54:41 น.
โดย: wachi (กาบริเอล ) 20 มิถุนายน 2557 16:17:00 น.
โดย: wachi (กาบริเอล ) 20 มิถุนายน 2557 16:32:47 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 20 มิถุนายน 2557 22:52:38 น.
โดย: กะว่าก๋า 21 มิถุนายน 2557 6:24:26 น.
โดย: พรไม้หอม 21 มิถุนายน 2557 19:25:21 น.
โดย: พรไม้หอม 21 มิถุนายน 2557 19:25:21 น.
โดย: ปรัซซี่ 21 มิถุนายน 2557 20:10:09 น.
โดย: กะว่าก๋า 24 มิถุนายน 2557 5:49:26 น.
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [? ]
ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com หรือ https://www.facebook.com/saoguide
1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30
คุณเต้ยน่าจะไปวัดนี้ตอนบ่ายมากๆหรือเย็นแล้ว
แสงสวยดีจังเลยครับ
อยากไปญี่ปุ่นครับ
อยากไปถ่ายรูปวัดเซน
ปล. เพิ่งทราบเป็นครั้งแรกว่าคุณเต้ยเคยเป็นครูด้วยครับ