~* ~* ~* ~* ~* ~* เดินสู่อิสรภาพ เพราะความงดงามบางอย่าง..เราต้อง "เดิน" จึงจะค้นพบ ~* ~* ~* ~* ~* ~*
ได้รับหนังสือเล่มนี้มาจาก คุณคนขับช้า ซึ่งได้มอบให้มาหลังจากที่เราไปอ่านรีวิวแล้วบอกว่า อยากอ่าน และต้องหาซื้อมาแน่ๆ แต่กลายเป็นว่า คุณคนขับช้าเสนอส่งมาให้อ่านเลย เพราะอยากให้อ่าน จนเวลาผ่านไปสักพัก คุณคนขับช้าก็หลังไมค์มาไถ่ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เราก็เลยตอบไปว่า ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ เนื่องจากตอนนั้นอ่านหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นอยู่ 8 เล่มอย่างบ้าคลั่ง แต่สัญญาว่าอ่านชุดญี่ปุ่นนี้จบแล้ว จะรีบอ่าน
เพิ่งอ่านจบเมื่อวันเสาร์ที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา แต่เพิ่งจะได้มารีวิวค่ะ ผู้เขียน : ประมวล เพ็งจันทร์สนพ. : สุขภาพใจจำนวนหน้า : 504 หน้าราคา : 300 บาท หนังสือเริ่มต้นด้วยการเปิดที่มาที่ไปของการ "เดิน" ของอาจารย์ประมวลในครั้งนี้ว่าทำไมอาจารย์ถึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นอาจารย์และเลือกที่จะกลับบ้านที่เกาะสมุยด้วยวิธีการเดิน การเล่าเรื่องทำตามลำดับเวลา เริ่มจากการฝึกตนให้เกิดความเคยชินและเตรียมความพร้อมให้กับร่างกายในการเดินเท้า ก่อนที่จะเริ่มเดินและเรียนรู้จักมนุษย์ตามรายทางระหว่างการเดิน ซึ่งในช่วงต้นๆ นั้น บอกได้เลยว่า สำหรับบางคนอาจจะค่อนข้างน่าเบื่อไปสักนิด เพราะการดำเนินเรื่องค่อนข้างเนือย และไม่ได้มีเรื่องราวชักจูงใจให้อ่านมากนัก แต่ไม่อยากให้เลิกอ่านค่ะ เพราะถ้าคุณอ่านต่อไป ก็จะค้นพบว่า หนังสือเล่มนี้น่าอ่าน และควรค่าแก่การอ่านจริงๆ (หากจะมีข้อขัดใจอยู่บ้าง ก็เรื่องของการย้ำคิดย้ำเขียนในบางเรื่อง ที่พูดซ้ำอยู่นั่นแล้ว แต่ก็พอเข้าใจได้กับธรรมชาติของความเป็นครูน่ะนะคะ) ความรู้เป็นสมบัติร่วมกันของมวลมนุษยชาติ ไม่ควรนำไปซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนกันด้วยเงินตรา แต่ควรสืบทอด มอบให้ต่อกันด้วยจิตคารวะ สำหรับตัวเองแล้ว เคยผ่านตาการรีวิวหนังสือเล่มนี้มาหลายครั้ง เคยได้ยินการบอกเล่าถึงหนังสือเล่มนี้หลายหน ก็คิดว่า โดยคอนเซปต์ของเรื่อง (เดินเท้าจากเชียงใหม่สู่เกาะสมุย) ก็น่าสนใจแล้ว แต่หนังสือเล่มนี้มีมากกว่านั้นก็คือ มีเรื่องราวของการปฏิบัติตนตามแนวพุทธศาสนิกชน มีการสอดแทรกแนวคิดในเชิงพุทธศาสนาเข้ามาด้วย ซึ่งยอมรับว่าค่อนข้างแปลกใจอยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยเท่าที่ผ่านตา ไม่ค่อยมีใครพูดถึงประเด็นนี้สำหรับหนังสือเล่มนี้มาก่อน และถ้าถามว่า สำหรับคนที่ชอบไปในแนวทางนี้แล้ว คงยิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่าง "อิน" มากขึ้น แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบเรื่องนี้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ คิดว่า..ต่อให้คุณคนอ่านเลือกที่จะไม่กินส่วนประกอบบางอย่างของอาหารจานนี้ (ซึ่งอาจจะทำให้ได้รับสารอาหารที่ผู้ทำต้องการให้ไม่ครบถ้วนนัก) แต่ก็จะได้รับความอร่อยและความอิ่มได้อย่างเพียงพอ อากาศที่สูดหายใจเข้าไปก็คือชีวิต การหายใจเข้า-ออกได้เป็นจังหวะประสานให้โลกภายนอกและชีวิตตัวตนภายในรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หากไม่มีอากาศก็ย่อมไม่มีชีวิต หากอากาศไม่บริสุทธิ์ ชีวิตย่อมเศร้าหมอง โลกที่สะอาดบริสุทธิ์ ก็ย่อมหมายถึงชีวิตที่ผ่องใสบริสุทธิ์ การทำโลกให้สกปรกก็ย่อมเท่ากับทำชีวิตให้มีมลทินหนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้ค้นพบความงดงามของมนุษย์ ซึ่งเราหลายคนอาจจะไม่คิดว่ามันจะยังหลงเหลืออยู่ได้อีกในโลกที่กลายเป็นสังคมที่บูชาคนรวยมากกว่าคนดี สังคมที่เงินคือปัจจัยหลักของการดำเนินชีวิตไปแล้ว หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณน่าจะมองโลกที่ดูเหมือนเลวร้ายขึ้นทุกวันนี้ ด้วยสายตาและความรู้สึกที่ดีขึ้น ได้รับรู้ว่า..ท่ามกลางโลกอันแห้งผากนี้ ยังมีดอกไม้เล็กๆ งดงามซุกซ่อนอยู่เสมอ เพียงแต่..เราจะมีเวลาและสายตาได้ค้นพบและมองเห็นมันหรือเปล่า มนุษย์อาจเบียดเบียนทำลายกันเมื่อมีการต่อสู้แข่งขันกัน มนุษย์อาจเมินเฉยไม่ใส่ใจในชะตากรรมของเพื่อนมนุษย์ เมื่อเขารู้สึกว่ามนุษย์ผู้อื่นไม่เหมือนเขา มีอะไรแตกต่างจากเขา แต่มนุษย์จะไม่ยอมให้เพื่อนมนุษย์อดตายต่อหน้าเขา ชอบวิธีการถ่ายทอดเรื่องราวของอาจารย์ประมวล ที่เมื่อเจอกับคนที่ปฏิบัติตัวไม่ดีต่ออาจารย์ อาจารย์กลับไม่ยอมที่จะเอ่ยชื่อ หรือบอกอะไรที่ทำให้รู้ว่า เขาหรือเธอคนนั้นหรือสถานที่นั้นๆ คือที่ไหนอย่างไร ขณะที่สำหรับคนดีๆ ที่ได้กระทำสิ่งดีๆ ต่ออาจารย์นั้น อาจารย์กลับเอ่ยชื่อนามสกุลให้จารึกไว้ในหนังสืออย่างรู้ซึ้งถึงบุญคุณหรือความดีที่กระทำให้ต่อกัน (จะมีหลุดๆ ไปบ้างก็บางคน ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่า บางทีก็มีหลงลืมที่จะไถ่ถามกันบ้าง) และการที่อาจารย์ได้บอกเล่าทั้งคนดี (ที่บันทึกชื่อไว้เห็นชัด) และคนที่กลัวที่จะทำความดี (ที่ไม่ยอมเอ่ยชื่อให้คนอ่านรู้) ทำให้หนังสือเล่มนี้มีความสมบูรณ์ที่จะไม่ทำให้คนโรแมนติกทั้งหลาย ฝันเพ้อว่าโลกช่างแสนดีเต็มไปหมด (จนอาจไม่ยอมรับรู้ว่า โลกก็มีความโหดร้ายอยู่ไม่น้อย) หรือสำหรับคนมองโลกในแง่ร้าย ก็ไม่น่ามองข้ามคนดีๆ จำนวนมาก (กว่าคนร้ายๆ ที่ปรากฏในเรื่อง) ที่น่าจะทำให้เขาเหล่านั้นมองโลกในแง่ดีได้มากขึ้น...กระมัง ซึ่งการที่อาจารย์พบคนดีๆ มากกว่าคนไม่ดีนั้น ส่วนหนึ่งเราเชื่อว่า ก็ด้วยความเป็นคนดีของอาจารย์ด้วยค่ะ (เราเชื่อมั่นในประโยคที่ว่า คนดีผีคุ้มนะ) เพราะถ้าอาจารย์ไม่เป็นคนดี เราก็ไม่คิดว่า อาจารย์จะมีโอกาสได้เจอคนดีในระหว่างรายทางได้มากมายขนาดนี้เลย สำหรับเรื่องราวของความดีงามที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้นั้น บทที่ประทับใจเราที่สุดคือบทของสามี+ภรรยาซาเล้งค่ะ อ่านแล้วอดน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้มใจไม่ได้จริงๆ อ่านแล้วเต็มตื้นมากๆ บรรยายไม่ถูกกันเลย (ใครที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว แลกเปลี่ยนกันหน่อยค่ะว่าประทับใจใครเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า) ข้อติดข้องใจ (ตัวข้าพเจ้าเอง) เล็กน้อย นอกจากเรื่องของการย้ำซ้ำในบางเรื่องแล้ว ก็คงจะมีในส่วนของการพูดถึง ฐีติ ภูติ ที่ทำไมถึงสามารถพิมพ์ได้โดยตัวฐ.ฐานไม่มีหยักๆ ข้างล่างได้หนอ (ใครก็ได้ช่วยอธิบายที) / การที่อาจารย์ได้ตอบคนบางคนว่า กินวันละมื้อ แต่มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์กินมากกว่าหนึ่งมื้อ (ตอนที่กินที่สถานีรถไฟเขาสวนทุเรียน แล้วต่อด้วยการกินก๊วยจั๊บ ทั้งที่ปกติถ้ากินแล้วอาจารย์จะปฏิเสธไม่กินอีก) - ที่ติดข้องใจอยู่ก็มีเพียงแค่นี้ค่ะ เป็นหนังสือที่อ่านแล้วน่าจะสะเทือนอารมณ์ด้วย "ความรู้สึกดีๆ" แต่สำหรับเรา ไม่ถึงขนาดสร้างความปีติให้เกิดขึ้นเหมือนตอนอ่านชวนม่วนชื่นนะคะ อ่านแล้วทำให้อยากลองเดินแบบนี้สักครั้ง หากแต่การยังยึดมั่นว่า ตัวเองเป็นผู้หญิงและน่าจะสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายได้มากกว่านั้นก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวไม่ให้กล้าก้าวย่างอยู่ไม่น้อย อ่านแล้วเกิดคำถามขึ้นมาว่าห รื อ ม นุ ษ ย์ เ ร า ค ว ร เ ดิ น เ ช่ น นี้ กั น อ ย่ า ง น้ อ ย ค น ล ะ ค รั้ ง ? การเดินกลับบ้านยากกว่าการเดินออกจากบ้าน ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาหากันค่ะ 347956/3996/340ป.ล. เจ้าของหนังสือต้องการให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเดินทางค่ะ ท่านใดประสงค์จะอ่านต่อจากสาวไกด์ฯ แจ้งความประสงค์ได้เลยนะคะ
Create Date : 25 พฤษภาคม 2552
55 comments
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 8:14:25 น.
Counter : 3132 Pageviews.
ตอนแรกอาจารย์ไม่ได้กะเขียนขายอะไรครับ คือหวังเพียงแค่เป็นปูมแล้วจัดพิมพ์เพื่อมอบให้แก่บุคคลที่เคยช่วยเหลือท่านยามท่านเดิน และลูกศิษย์ลูกหาไม่กี่คน ผมเคยไปเยี่ยมท่านที่วัดอุโมงค์ ยังเคยแอบอ่านต้นฉบับเขียนด้วยลายมือที่แขวนอยู่บนฝาผนังไว้
ไม่น่าแปลกใจที่อ่านในหลายครั้งแ้ล้วรู้สึกเนือยเพราะในครั้งแรกอาจารย์ไม่ได้ต้องการสื่อให้คนส่วนใหญ่อ่าน เพียงแต่เหมือนเขียนเป็นลักษณะบันทึกซึ่งสอดแทรกด้วยความคิดทางพุทธศาสนา และปรัชญา ที่ท่านสันทัดและกำลังหาคำตอบ
โดยส่วนตัว ผมได้ฟังจากปากท่านมาก่อนหลายเรื่อง จึงสนุกกับการ 'ฟัง' มากกว่า 'อ่าน' เช่นกัน