* = * * = * * = * อาจารย์พระอัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโต ณ วัดบุญญาวาส ตอนที่ 1 * = * * = * * = *








สวัสดีค่ะ




หลังจากที่ได้บอกกล่าวเกี่ยวกับธรรมะของพระพุทธศาสนากันไปแล้วดังนี้



การบวชเนกขัมนารี (คลิกเพื่ออ่าน)ไปแล้ว

บอกเล่าเรื่องบุญกิริยาวัตถุ 10 พร้อมทั้งคลิปของท่านว.วชิรเมธี (คลิกเพื่ออ่าน)ไปแล้ว

อกุศลกรรมบถ 10 คิดผิด พูดผิด ทำผิดนิดเดียว ก็ผิดแล้ว(คลิกเพื่ออ่าน)

ตามด้วยการพูดถึงกรรมที่ให้ผลตามความหนัก-เบาไปแล้ว(คลิกเพื่ออ่าน)

กรรมที่ให้ผลตามลำดับเวลา (คลิกเพื่ออ่าน)

กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ (คลิกเพื่ออ่าน)

บุญเห็นผลทันตา (คลิกเพื่ออ่าน)













วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ชาวบล็อกแกงค์ไปรู้จักกับพระสงฆ์รูปหนึ่งที่เราได้พบท่านทั้งหมด 2 ครั้ง แล้วก็พบว่าตัวเองอยากปวารณาตัวเป็นศิษย์ของท่านมาก นั่นก็คือ อาจารย์พระอัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโตนั่นเองค่ะ








ประวัติพระอาจารย์อัครเดช(ตั๋น)​ ถิรจิตโต (ขอขอบคุณน้องที่ที่ทำงานที่เอื้อเฟื้อข้อมูลค่ะ)

Credit by://www.wpp-branches.net/th​/bra
โดย Kook Classic B เมื่อ 19 กรกฎาคม 2011 เวลา 18:55 น.




















ซึ่งการไปพบท่านครั้งแรกนั้น ก็เป็นการไปด้วยการวานน้องให้ขับรถไปให้ค่ะ แหะๆ โดยไปหาท่านที่วัดบุญญาวาส สำหรับการเดินทางก็ตามแผนที่ด้านล่างเลยนะคะ




จะเห็นว่าการไปวัดบุญญาวาสนั้นจะเข้าได้สองทางนะคะ คือตรงกม.ที่ 49 ก็ได้ และตรงกม.ที่ 61 ก็ได้ค่ะ วันนั้นเราเข้าทางกม.ที่ 49 นะคะ ซึ่งขอเพิ่มเติม (เตือน) ว่า ตรงแถวบ้านคลองพลู-บ้านเนินดินแดงนี่ ไม่ได้ตรงตลอดเหมือนในแผนที่นะคะ ให้ดูป้ายเอาค่ะว่า ถ้าไปบ้านนั้นๆ วิ่งไปทางไหน เพราะเราวิ่งตรงอย่างเดียวเหมือนในแผนที่ ปรากฏว่ามันต้องโค้งเลี้ยวซ้าย ไม่ใช่ตรงไป เลยหลงไปหน่อยหนึ่งอะค่ะ แหะๆ



















ก่อนถึงกม.ที่ 49 จะมีป้ายบอกอย่างนี้ด้วยค่ะ ให้เลี้ยวซ้ายไปวัดบุญญาวาส





















เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 3245 นะคะ





















ตามทางไม่มีไฟฟ้าแบบนี้เลยนะคะ เพราะงั้นถ้าฟ้าไม่สว่าง ก็พิจารณาแล้วกันค่ะว่าจะไปหรือไม่อย่างไร





















วิ่งไปสักพักก็จะเจอป้ายให้เลี้ยวขวาแบบนี้นะคะ























แล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกทีค่ะ




















จากนั้นก็อย่างที่บอกนะคะ ให้ดูป้ายที่จะผ่านไปทางหมู่บ้านแล้วกันค่ะ

เพราะไม่ใช่ตรงอย่างเดียวอ้ะ ไปหลงอยู่นิดหน่อยน่ะค่ะ ฮา

จนมาถึงแยกนี้ ถ้าตามในแผนที่ก็คือ ที่เขาบอกว่าเป็นศาลาอะค่ะ ก็เลี้ยวขวาไป





















จะผ่านหมู่บ้านเยี่ยงนี้ (ซึ่งเป็นจุดบรรจบกับทางเข้าที่กม. 61 อะค่ะ)





















จากนั้นก็เลี้ยวขวาแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกทีค่ะ























แล้วก็จะเห็นโบสถ์ที่กำลังสร้างอยู่ ก็พยายามพาตัวเองไปในทางนั้นอะนะคะ

ขอสารภาพว่า แหะๆ ตอนแรกที่เห็นอาคารก่อสร้างใหญ่โตขนาดนี้ แหะๆ...แบบว่า..อดอคติเล็กน้อยไม่ได้ค่ะ





















แล้วก็เลี้ยวขวาอีกที (ดูป้ายเป็นสรณะไว้อะนะคะ ) ก็จะเจอป้ายหน้าวัดอย่างนี้ค่ะ

ก็เลี้ยวซ้ายไปเลย




















เว็บไซต์วัดบุญญาวาส
//www.watboonyawad.com/new/




ประวัติวัดบุญญาวาส



20 พ.ค. 2533 พระอาจารย์ อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโต ได้เข้ามาอยู่ที่วัดบุญญาวาสปัจ​จุบัน อยู่รูปเดียว ภาวนาเงียบๆ อยู่ 2 ปีครึ่ง พอปีพ.ศ. 2535 ครอบครัวของโยมสุวารี ถวายที่ดิน 200 ไร่ ให้ทำเป็นที่พักสงฆ์ พิจารณาดู ถ้าไม่รับเขาก็จะทำสวนยาง สวนปาล์ม ถ้ารับไว้จะมีข้อดี 3 ข้อ

1. ป่าจะอยู่ได้ 200 ไร่
2. สัตว์หลายพันชีวิตก็อยู่ได้ อย่างพวกนก กระแต อีเห็น ชะมด พังพอน กระต่าย ไก่ป่า ฯลฯ
3. จะเป็นที่สืบพระพุทธศาสนาได้





พอปี 2536 ได้ไปช่วยเตรียมจัดงานศพหลวงพ่อ​ชา ที่วัดหนองป่าพง ได้พบหมู่คณะ หมู่คณะอยากมาปฏิบัติอยู่ด้วย ได้สอบถามความพร้อมในการจัดเตรี​ยมทำกุฏิ

ญาติโยมมีความยินดีพร้อมเพรียงก​ัน ก็เลยเริ่มสร้างเป็นที่พักสงฆ์.​.เป็นสำนักสงฆ์..ประมาณปี พ.ศ.2546-47 จึงเป็นวัดขึ้นมา

พ่อของโยมสุวารี ได้ถวายที่สร้างโบสถ์อีก 40ไร่ น้องชายโยมสุวารีถวาย 20 ไร่ รวมเป็น 260 ไร่ ล้อมรั้วทั้งหมด

พอปีพ.ศ.2551 เราอาพาธ ป่วยเป็นมะเร็งสำไส้ใหญ่ ขั้นที่ 3 รักษาตัวเองอยู่ปีหนึ่ง เข้าโรงพยาบาล 22 ครั้ง ผ่าตัด 4 ครั้ง ให้เคมีบำบัด 12 ครั้ง ตัดสำไส้ไป 5 ฟุต พักฟื้นรักษาตัวปีหนึ่ง ตรวจหาเชื้อมะเร็งไม่เจอ ตอนที่อาพาธ มีโยมคนหนึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ กลัวว่าเราจะอายุไม่ยืน จึงได้ถวายเงินเพื่อสร้างเจดีย์​ต่ออายุ แต่ที่ดินของวัด 260 ไร่ มีเสนาสนะ ซ่อนอยู่ในป่ามากประมาณ 60 กว่าหลัง กำลังสร้างใหม่เพิ่มอีก 5 หลัง ไม่มีสถานที่สร้างเจดีย์ โยมสุวารีถวายอีก 100 ไร่ น้องชายโยมสุวารีถวายอีก 40 ไร่ ที่ดินวัดปัจจุบันทั้งหมดเลยก็ป​ระมาณ 400 ไร่ กำลังดำเนินการทำรั้ว คงจะเสร็จภายใน 21 เดือน


ส่วนโบสถ์ทำมา 1 ปี แล้วก็กำหนดว่าปีนี้คงเสร็จ ส่วนเจดีย์นั้น เริ่มทำตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้ว กำหนดไว้ว่า 10 เดือนเสร็จ วิหารคต นั้นประมาณ 2 ปีคงจะจบ ทุกวันนี้กุฏิพระมี 42 หลัง กุฏิโยมผู้ชาย 13หลัง กุฏิโยมผู้หญิง 13 หลัง








ประวัติพระอาจารย์ อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโต



นาม เดิม: อัครเดช (ตั๋น) เกิดวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2498

บ้านเกิด: จังหวัด พระนครศรีอยุธยา

อุปสมบท ณ.พระอุโบสถวัดหนองป่าพง โดยมีพระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ พ.ศ. 2521, พรรษา 32 (พ.ศ. 2553)

วิทยฐานะ การศึกษาปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาส วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี สาขาที่ 130 ของวัดหนองป่าพง โทร 038-798-833, 081-865-4658 (คุณสุวารี)


website วัดบุญญาวาสค่ะ
// //www.watboonyawad.com



















จอดรถเรียบร้อยแล้วก็เดินขึ้นไปหาอาจารย์ตั๋นกันค่ะ ท่านอยู่บนศาลาอย่างนี้ (ดูขัดแย้งกับภาพโบสถ์อันมโหฬารเมื่อกี๊ลิบลับเลยเนาะคะ)

วันนั้นไปชนกับอีกคณะที่ไปหาท่านเหมือนกันด้วยค่ะ แหะๆ





















จะมีป้ายเตือนบอกไว้ดังนี้นะคะ ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดค่ะ ถ้าไม่อยากผิดหวัง

1. ถวายอาหารพระกรุณามาก่อน 07.40 น. นะคะ (เท่าที่ทราบที่นี่ฉันมื้อเดียวตอนเช้าหละค่ะ)

2. พระอาจารย์รับโยมหลังฉันจนถึงแค่ 11.00 น. ค่ะ (เพราะฉะนั้นหลังจากเวลานี้แล้วท่านไม่รับแล้วนะคะ)





















และแล้วก็ได้เจอกับพระอาจารย์ตั๋นแล้วค่ะ













พระอาจารย์ท่านเล่าประวัติของท่​านให้ฟังดังนี้


“ตอนเด็กอายุประมาณ 8-9 ขวบ เป็นคนไม่ชอบโกหก แล้วพ่อจะสอนให้ไม่หยิบของใคร แม้ของนิดเดียวก็ห้ามหยิบ พอโตขึ้นมาอายุ 16-17 ปี มีความรู้สึกเห็นผู้หญิงสวย มีความรู้สึกชอบ แต่เป็นคนมีนิสัยไม่หลอกลวงใคร ไม่ข่มเหงจิตใจใคร มีศีลในตัว เห็นเพื่อนเขาโกรธกัน ทะเลาะกัน ก็เห็นว่าความโกรธนั้นเป็นทุกข์​ ก็พูดกับใจตนเองว่า เราจะทำความโกรธให้มันหมดไปจากใ​จเรา แต่ยังไม่คิดจะบวช พอ 17-18 ปี มีความรู้สึกผุดขึ้นในใจว่า ความดีใดๆในโลกนี้มีอะไรบ้าง เราปรารถนาจะสร้างความดีเลยคิดว​่า.. เอ้ ความดีของคนมันอยู่ที่ไหน ก็จะพิจารณาจนเห็นว่าความดีของค​นอยู่ที่การรักษาศีล 5 และได้เห็นโทษของการผิดศีล 5 ตอนอายุ 16-17 ปี มีครั้งหนึ่งป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันก็ฉุกคิดว่า มันมีสติเห็น ปัญญาเกิด เราไม่สามารถบังคับบัญชาร่างกาย​ได้ มันก็เลยมีความรู้สึกว่า แสดงว่าไม่ใช่ร่างกายของเรา ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มไม่เชื่อว่​านี่ไม่ใช่ร่างกายของเรา


พออายุ 19-20 ปี ขณะที่เรียนมหาวิทยาลัยหอการค้า​ ระหว่างที่เดินทางไปเรียนหนังสื​อ ขึ้นรถประจำทางไป ไปเจอโยมผู้หญิงอุ้มเด็กขึ้นมาบ​นรถ เราเห็นว่าเขาไม่สะดวกจึงลุกให้​เขานั่ง เรายืนโหนรถเมล์ มองดูเห็นลูกเขาที่นอนบนตัก ขณะที่ตามันมองดู จิตมันก็คิดไป คิดว่าเด็กเนี๊ยะกว่าจะพูดได้..​เดินได้..ช่วยเหลือตนเองได้ กว่าจะเท่าเรา อายุ 19-20 ปี จะต้องผ่านความสุข..ความทุกข์มา​มากมาย ผ่านความยากลำบากมาในชีวิต คิดแล้วสลดสังเวช..เบื่อหน่าย..​แล้วก็มองไปข้างหน้า เห็นคนป่วย รู้สึกว่าคนนี้กำลังป่วย จะไปโรงพยาบาล เพราะว่าการเดินทางตรงนี้จะผ่าน​โรงพยาบาลพระมงกุฎ ใกล้ๆอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็เลยรู้ว่าคนนี้ต้องไปโรงพยาบา​ล พอตาเห็นรูปเนี๊ยะ...จิตมันคิดว​่า คนทุกคนเกิดมาไม่พ้นความเจ็บไข้​..ได้ป่วย..ไปได้เลย..แม้ว่าเรา​ก็ต้องมีความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่วันใดก็วันหนึ​่ง จิตมันก็สลดสังเวช พอมองไปข้างหน้าก็มองเห็นคนอายุ​60-70ปี รูปร่างคล้ายเราแต่เป็นผู้สูงอา​ยุ เรามองไปจิตมันคิดว่า ไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง เราคงต้องแก่แบบนั้น เราคงหลีกหนีไม่พ้นความแก่ไปได้​ แล้วจิตมันก็สลดสังเวชลงว่า คนในรถทั้งหมดนี้ 30-40 คน จะพากันเดินไปทางไหน มันก็มีคำตอบออกมาว่า เดินทางไปสู่มรณะ คือเดินทางไปสู่ความตาย จิตมันก็สลดสังเวช มันเบื่อหน่ายมาก จิตมันคิดอย่างนี้ทุกวัน ประมาณ 15 วันหรือเดือนหนึ่ง ไม่แน่ใจ คือ พอขึ้นรถเราจะเห็นเด็ก เห็นคนแก่ จิตมันก็จะพิจารณาไปเอง สลดสังเวชมาก แล้วจิตมันก็บอกกับ​ตนเองว่า ถ้าเราพร้อมเมื่อไหร่ในกาลข้างห​น้าเราจะบวช แล้วจะบวชครั้งเดียวตลอดชีวิต แต่ถ้ายังไม่พร้อม เราจะเป็นคนดีที่สุดเท่าที่จะทำ​ได้


ก็มาระลึกถึงตอนเรียนหนังสือมัธ​ยม อ่านพุทธประวัติ เรียนศีลธรรม เราเคยศึกษาประวัติของพระพุทธเจ​้า ท่านเห็นคนเจ็บ คนแก่ คนตาย และสมณะ แล้วก็มุ่งออกแสวงหาโมกขธรรม เพื่อความหลุดพ้น เราก็รู้สึกว่า มีความปิติ ดีใจ ที่ได้เห็นตามรอยของพระพุทธองค์​ แต่ว่าตอนนั้นเรายังไม่พร้อมที่​จะออกบวช เพราะว่าเราวาดฝันในชีวิตไว้ว่า


เราจะเรียนหนังสือให้สูงที่สุด
จบมาแล้วเราจะทำงาน
เราจะมีครอบครัว





แต่ความฝันนั้นมันเปลี่ยนแปลง เพราะว่า เราคิดว่าเราจะเป็นคนดีที่สุดใน​ สังคม มีศีล 5 เรียนหนังสือสูงๆ จบมาแล้วมาทำงาน มีครอบครัว แต่มันถูกตัดออกไปก่อน เพราะตอนอายุ 16-17 ปี เป็นนักเรียนชายล้วน เราไม่รู้จักผู้หญิงเท่าไหร่ เพราะแม่เราก็ไม่มี (แม่พระอาจารย์ท่านเสียตอนท่านอ​ายุ 3 ขวบ) พี่น้องเป็นผู้ชายหมด เราอยู่กับพ่อ เราเรียนนักเรียนชายล้วนๆ 9 ปี อยู่ที่ร.ร.เซนต์จอห์น

วันหนึ่งเรารอรถประจำทางจะกลับบ​้านที่ลาดพร้าว เราขึ้นไม่ได้ เราได้ยินเสียงคุณป้าคนหนึ่ง แกบ่นว่า “เด็กสองคนนี้ไม่รู้จักเล่าเรีย​น ผู้ชายผู้หญิงเขากำลังจีบกันอยู่ข้างๆ ที่ป้าแกบ่น เราก็นึกอายป้า เราก็คิดในใจ ถ้าเป็นเรา เราคงอายป้าแย่เลย บอกแก่ใจตนเองว่า สัญญากับใจตนเองว่า เราจะไม่มีแฟน จะมีแต่เพื่อน ถ้าเราจะมีแฟนได้ก็ต่อเมื่อเราเ​รียนจบ แล้วก็ทำงาน ต้องดูแลตนเองได้

พอหลังจากนั้นไม่นาน ประมาณซักเดือนหนึ่ง กิเลสก็เกิดขึ้น เรามองเห็นผู้หญิงสวย เกิดความชอบขึ้นมา เราไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเป็นเด็กขี้อาย พอกลับบ้านก็ปรึกษาพี่ชาย ตอน4-5ทุ่ม ถามพี่ชายว่า “ชอบผู้หญิงจะทำยังไง?” พี่ชายแนะนำให้ทำความรู้จัก ชวนคุย พอไปเรียนหนังสือกลับมา พี่ชายถามว่า “ชวนคุยหรือยัง?” ตอบว่า “ยังไม่กล้า” พี่ชายแนะนำต่ออีก “ชวนทานข้าว..ไปส่งบ้าน..ออกค่า​รถให้” พี่ชายวางแผนให้ แต่เราเป็นเด็กขี้อาย สุดท้ายก็ไม่กล้าทำ

ตั้งแต่เด็กมาอยู่กับพี่ชาย ไม่รู้จักผู้หญิง คนมีความชอบมันก็อึดอัดใจ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร มันมีความทุกข์มากๆ เข้า มันมีความรู้ในใจ มันจำได้..เคยสัญญากับตัวเองว่า​ เราจะเรียนหนังสือให้จบก่อนจึงจ​ะมีแฟน เรียนหนังสือให้จบก่อน ทำงานก่อน จึงค่อยมีแฟน มันถามแต่ว่า “ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ต้องไปชอบเขา​ ..ให้ความรู้สึกว่าชอบ มันละลายออกไปจากใจ” จิตมันมีความรู้สึกว่าสบาย โล่ง..ไม่อึดอัด.. จิตที่มันชอบมีความอึดอัด แต่ตอนนั้นมันมีปัญญาว่า ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ต้องชอบเขา เพราะว่ามันทำตามสัญญาที่ให้ไว้​กับใจ เป็นคนมีสัจจะ มันบอกว่า จะต้องเรียนหนังสือให้จบก่อน ทำงานจึงค่อยมีแฟน ตอนนี้ยังอยู่ในวันเรียน ถ้ายังงั้นก็ไม่ต้องชอบเขา ตอนเช้าขึ้นมาจิตใจโล่ง ปรอดโปร่ง จากนั้นไปเรียน ก็ไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ รู้สึกเฉยๆ ก็เป็นเพื่อนกัน อันนี้เป็นครั้งที่ 1

พอครั้งที่ 2 เราไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหอการค​้า ตอนนั้นเพื่อนผู้หญิงเขามาชวนไป​ดูหนังด้วยกัน สองต่อสอง เราจะไม่ไปเพราะกลัวว่าจะไปหลงช​อบเขา ก็เลยป้องกันตัวเอง จะให้เป็นแค่เพื่อน

ตอนเรียนอยู่ปี 3 ระหว่าง ที่นั่งรอเรียนช่วงบ่าย ใต้ถุนตึก มีนักศึกษาเดินเข้ามากลุ่มหนึ่ง​ ตาไปมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใจบอกว่าสวย กิเลสก็เกิดขึ้น กิเลสคิดไม่เหมือนเค้า ถ้าคนนี้สวยเกิน 3 เดือน เราจะจีบทำความรู้จัก พอเค้าเดินผ่านไปก็ไม่ได้ตามไปด​ูว่าอยู่คณะไหน เรียนห้องไหน ไม่สนใจ อีกอาทิตย์หนึ่งเห็นเขาเดินมาอี​ก ก็มองดู วันนี้ไม่สวยละ วันนี้เขาเปลี่ยนผมทรงใหม่ ความสวยหายไป พออีกครั้ง เจอคนใหม่อีก ก็คิดอีก ถ้าสวยเกิน 3 เดือน จะจีบ คราวหลังเจออีก เอ๊ะ..วันนี้ไม่สวยแล้ว เพราะอะไร เขาเปลี่ยนชุดใหม่แล้ว แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เป็นอะไร เราเห็นเป็นยังงี้ ปรากฏว่าไม่มีใครผ่านกติกาเรา ไม่มีใครเกิน 3 เดือน เราก็เลยไม่ได้จีบใคร ไม่ได้ทำความรู้จักใคร

ทีนี้พอเรียนจบปี 4 ตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริก​า ที่รัฐโคโรลาโด้ เมืองเดนเวอร์ ไปเรียนผังเมือง เพราะตอนนั้น 32 ปีที่แล้ว การจราจรที่กรุงเทพฯเริ่มติดขัด​ เราก็อยากจะเรียนเรื่องการวางผั​งเมือง ระหว่างนั้นกิเลสก็เกิดขึ้นมาอี​ก ถ้าเราไปเรียนหนังสือ เรียนปริญญาโท – เอก ก็ดี จบมาแล้วแต่งงานเลยหรือเปล่า ไม่ใช่ กิเลสบอกว่า ถ้าอย่างงั้นต้องทำความรู้จัก ก็เลยนึกถึงเพื่อนที่นิสัยดีๆ มาซัก 3 คน เราไม่เอาหมดทั้ง 3 คนหรอก เราจะเลือก มีกติกาในใจตนเองว่า ถ้าจะเลือกคู่ครอง จะต้องดูนาน 3 ปี 5 ปี คนๆนั้นจึงจะเป็นคู่ชีวิตของเรา​ เพราะเรามีสัจจะบารมี มีศีลบารมี ไม่หลอกลวงใคร ไม่ทำร้ายจิตใจใคร เลือกแล้วต้อง​ เป็นหนึ่งไม่มีสอง ให้เกียรติเขา เลือกผู้หญิง 3 คนนั้นมา สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือ แต่ที่บ้านมีโทรศัพท์บ้าน ระหว่างที่จะเดินไปโทรศัพท์ ก็นึกถึงหน้าเขา พอหน้าเขาปรากฏ หนังตรงใบหน้าก็ลอกออก ลอกออก ลอกไป ลอกมา ไปห้อยอยู่ปลายคาง เหมือนกับจิ้งจกลอกคราบ เสร็จแล้ว น้ำเหลืองก็ไหลออกมาตามรูขุมขน บนใบหน้า เกิดสลดสังเวชมาก

แต่กิเลสก็ยังแรง มันบอกว่า คนนี้เห็นแบบนี้แล้วไม่อยากได้ ก็ยังมีคนที่สอง พอใบหน้าผู้หญิงปรากฏออก แค่ขณะจิตเดียว หนังก็ลอก ปุบ ปุบ ปุบ น้ำเลือดก็ไหลพุ่งออก อาบใบหน้า จิตก็สลดสังเวชลง แต่กิเลสก็ยังบอกว่า คนนี้ไม่เอา เอาคนใหม่ ก็เลยเดินจะไปโทรศัพท์อีก นึกถึงหน้าผู้หญิงคนใหม่อีก หนังก็ลอกอีก ห้องลงมาเป็นแผ่นบางๆ น้ำเลือดไหลอาบหน้า จิตสลดสังเวชมากเลย จิตมันรวมสลดสังเวชมาก มันบอกกับใจตนเองว่า ถ้าคนเป็นเช่นนี้ ฉันไม่ต้องการการครองเรือน ไม่ต้องการมีครอบครัว วาดฝันไว้ว่าจะเรียนหนังสือให้ส​ูงที่สุด แล้วทำงาน แล้วมีครอบครัว

พอเห็นแบบนี้ปั๊บ แล้วตัดไปเลยว่าจะไม่มีครอบครัว​ แล้วจะทำอย่างไรดีกับชีวิตของเร​า ก็เลยบอกว่า จะเรียนหนังสือให้สูงที่สุด แล้วทำงาน ดูแลคุณพ่อ แต่ไม่มีครอบครัว แล้วทำไง ในระหว่างที่เรียนหนังสือก็จะรั​กษาศีล 5 วันหยุดรักษาศีล 8 ถ้ากลับมาแล้วทำงานทำยังไง? ถ้าทำงานก็รักษาศีล 5 วันหยุดรักษาศีล 8 ไปตลอดชีวิต แล้วถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็จะบวช คิดแบบนั้น เรื่องผู้หญิงมี 3 วาระ ครั้งแรกอายุ 16-17 ปี ครั้งที่ 2 อยู่มหาวิทยาลัยหอการค้า ครั้งที่ 3 เมื่อเรียนจบ ก็พิจารณาจบแล้วสุดท้ายตอบไม่มี​ครอบครัว ตอบแทนบุญคุณพ่อ

ช่วงนั้นกำลังรอที่จะไปเรียนต่อ​ที่อเมริกา พอดีคุณป้าเขาชวนไปถวายภัตตาหาร​พระ ถวายน้ำปานะตอนเย็น มีที่พักพระ เป็นน้าของท่านพระอาจารย์เปี๊ยก​ (พระอาจารย์ประสมไชย กันตสีโล) ตอนเย็นนั่งคุยกัน 3-4 ทุ่ม คุยธรรมะกัน พอกลับมาบ้าน 4-5 ทุ่ม ไม่ง่วงนอน ไปเจอหนังสือธรรมะที่โยมพ่อวาง ไว้บนโต๊ะ ชื่อหนังสือ “พุทธธรรม” เราก็ไม่ง่วงนอน เราก็เลยเปิดหนังสือปั๊บ เปิดครั้งเดียวนะ เห็นเขาพิมพ์ไว้ว่า ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้า เป็นภาษาบาลี-ไทย ทั้งสองหน้าเล่มใหญ่ๆ เราก็อ่านภาษาไทย เพราะอ่านภาษาบาลีไม่ถนัด อ่านภาษาไทย แต่สติมันตั้งมั่นนะ สติมันจดจ่อ อ่านไปทีละคำ “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงตื่นพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถ​ิด สังขารทั้งหลายมีความเกิดขึ้นแล​ะมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา”​ พอมันอ่านจบ มันสลดสังเวช จิตมันสลดสังเวช แล้วมันพิจารณาว่า ชีวิตทุกคน มีเพียงแค่นี้เหรอ เกิดแล้วก็ตาย สังขารของเราทั้งหลายเนี่ย ที่สุดแล้วก็มีการแตกสลายเป็นธร​รมดา เราก็อ่านไป อ่านจนจบเที่ยวสอง พออ่านเที่ยวที่สามจบ มันก็ว่าชีวิตมันมีเพียงแค่นี้เ​หรอ เกิดขึ้นมาแล้วแม้สังขารร่างกาย​เรานี้ ก็ไม่ล่วงพ้นความเสื่อม ความแก่ – ตาย ไปได้ จิตมันสลดสังเวชมาก มันก็เลยรู้..มันก็บอกใจเราเองว​่า เราพร้อมแล้ว นับแต่นี้ไปไม่เกิน 2 เดือน เราจะบวช เพราะว่าตอนนั้นติดปัญหา เรานัดหมอทำฟัน ยังไม่เรียบร้อย เพราะว่าเรากะว่า จะทำฟันก่อนไปเรียนต่อที่อเมริก​า แต่มาตัดสินใจออกบวชก่อน แล้วคุณป้าก็แนะนำว่า ถ้าจะบวชก็บวชกับหลวงพ่อชาก็แล้​วกัน นี่ย่อๆนะ ก็บวชตอนอายุ 22 ย่าง 23 ปี

















ภาพเบลอหน่อยนะคะ เพราะไม่กล้าใช้แฟลชค่ะ








พอตัดสินใจบวช จิตของเรามันแปลก จิตมันเหมือนเป็นหนึ่งไม่มีสอง มันไม่อาลัย อาวรณ์ ในโลก ก่อนจะบวชถามตนเองเพื่อความแน่ใ​จว่า แน่ใจแล้วเหรอ จะมาอยู่ในเพศผ้ากาสาวพัสตร์ กิเลสมันถามว่า

- ให้ทรัพย์สมบัติหมดทั้งโลก ยกให้เราแก่ผู้เดียว ห้ามการบวชเอาไหม ทดสอบใจของเรา เราว่าเราไม่เอา เราปรารถนาการบวช
- ให้มีอำนาจมากที่สุด สามารถทำอะไรก็ได้ ตามความพอใจ แต่ห้ามการบวช เราว่าเราไม่เอา
- ให้เลือกผู้หญิงได้ตามปรารถนา จะมีหนึ่งคน สิบคน ร้อยคนก็ได้ ให้เป็นของเราเพียงผู้เดียว แต่ห้ามบวช เราไม่เอา




อันนี้เราทุกคนต้องการลาภสักการ​ะ อำนาจ ความสุขในกาม แต่เราไม่ปรารถนาเช่นนั้น เรามาอยู่กับหลวงพ่อชา เราไม่รู้จักองค์ท่าน แต่ไม่เห็นองค์ท่าน เราเชื่อในความมีเมตตา และมีปัญญาของท่าน เรามีความเชื่อว่าท่าเป็นพระปฏิ​บัติที่ดี ปฏิบัติชอบ เป็นครูบาอาจารย์ที่ดี อยู่ที่นั่น (วัดหนองป่าพง) ท่านก็สอน เราก็ต้องเป็นผู้ฉลาด ตาดู หูฟัง เราก็ศึกษาในหัวข้อวัตร – ปฏิบัติ ของวัดหนองป่าพง แล้วก็ศึกษาในเรื่องของธุดงควั​ตร เป็นเครื่องขูดเกลากิเลสให้เร่า​ร้อน เราก็น้อมนำมาประพฤติ ปฏิบัติของเรา ในส่วนตัวเราถูกจริตในธุดงควัต​รข้อไหน เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติ

อยู่ที่นั้นก็ 2-3 ฤดูแล้ง ไม่ได้จำพรรษา ตอนพรรษา 3 หลวงพ่อชา ท่านให้จำพรรษาวัดหนองป่าพง แต่เราขอไม่อยู่ เพราะตอนนั้นพระหนองป่าพงประมาณ​ 60-70 การปฏิบัติของเราเข้มงวด ตั้งแค่บวชเป็นปะขาว มีนิมิตอสุภกรรมฐานมาช่วยคุมจิต​ พอเราบวชนิสัยปัจจัยเก่าก็ให้ผล​ มาผลักดันให้เรามาอยู่ในเพศกาสา​วพัสก์ เพราะว่าเราปรารถนาทางโลก เรียนหนังสือให้สูง ทำงานมีครอบครัว แต่นิสัยปัจจัยเก่าผลักให้เรามา​บวช

เรามานึกย้อนหลัง ทำไมตอนเรียนมหาวิทยาลัยหอการค้​า เราเห็นผู้หญิงวันนี้สวย วันนี้ไม่สวย เรามารู้ทีหลังว่า มันเป็นวิปัสสนาของเรา ที่เราเคยบำเพ็ญมาแต่อดีต เราเห็นความไม่เที่ยงของรูป จึงวางได้ และเคยบำเพ็ญอสุภกรรมฐานมา พอเราบวช อสุภกรรมฐานเข้ามาคุมจิตใจของเร​า ไม่ลำบากในกาม เดินจงกรม อสุภกรรมฐานปรากฏ นั่งสมาธิก็สงบได้ง่าย เดินจงกรมก็สงบได้ง่ายๆ ในพรรษาแรก ในอิริยาบถปกติ เราไม่เคยเกิดอารมณ์กามราคะทั่ว​ไป แต่สิ่งที่เกิดอารมณ์ ขอโทษที..เวลาจะเกิดอารมณ์กามรา​คะ เกิดได้ตอนเราเผลสติในอิริยาบถท​ั่วไป ที่เกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้เห​็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น แต่เรามีสัจจะ มีขันติ เราบอกกับใจตนเองว่า อารมณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นเกิน 5 นาที เราฝึกแบบนั้น เราฝึกความแคล่วคล่องของสติเรา พอมันเกิดขึ้นมาในใจ เอาสติ-ปัญญา พิจารณาละออกไป ไม่เกิน 5 นาที เราจะได้ มันก็เลยเป็นเรื่องง่ายสำหรับเร​า ในการพิจารณาละความยินดีในกามทั้งหลาย เรามีสัจจะ มีศีล เราเห็นทุกอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น​ เราจะบอกในใจเราว่า จะไม่ให้เกิดขึ้นในใจเราเกิน 5 นาที เราตั้งเวลา เรากำหนดภาพให้เป็นอสุภะ เรากำหนด ส่วนมากไม่เกินขณะจิตมันก็ลง เราฝึกมาอย่างนั้น





เพราะเหตุอะไรจึงมาบวชอยู่กับหล​วงพ่อชาครับ?


เมื่อเราตัดสินใจบวช ก็คิดว่าจะบวชอยู่ที่ป่า อยู่ที่ชนบท ตามเขา ตามถ้ำ ตามรอยของพระพุทธเจ้า เราไม่มีความรู้ในเรื่องพระปฏิบ​ัติ พอดีรู้จักกับโยมคนหนึ่งที่เขาม​ีจิตใจใฝ่ธรรมะ เขาเข้าวัดเป็นประจำ ก็เลยมีโอกาสคุยกับอุบาสิกาคนนั้น ป้าเขาถามว่าหนูจะบวชวัดไหน ตอบว่า จะบวชวัดป่า จะไม่อยู่ในเมือง แต่เราไม่รู้จักพระ ไม่รู้จักครูบาอาจารย์ แต่เราตั้งความหวังไว้ว่าเราจะบ​วชตลอดชีวิต ป้าเขาแนะนำครูบาอาจารย์ให้เรา 2 องค์ คือ หลวงพ่อชา กับหลวงตามหาบัว เราไม่รู้จักทั้งสองท่าน ก็เลยถามป้าท่านว่า "วัดหลวงพ่อชากับหลวงตามหาบัวเป็​นวัดป่าหรือเปล่า? การบวชเป็นแบบเรียบง่ายหรือพิธี​กรรมมาก มีการปลุกเสกพระเครื่อง มีการบูชา เครื่องรางของขลัง หรือว่าเป็นพุทธพาณิชย์"


ป้าเขาตอบว่าเป็นวัดป่า บวชแบบเรียบง่าย ไม่เป็นพุทธพาณิชย์ ก็ตรงกับที่เรามีกฎเกณฑ์ในการบว​ช ทีนี้ที่เราเลือกหลวงพ่อชา เพราะโยมพ่อของเราเป็นคนอุบลฯ ขณะที่จะบวชท่านไปทำธุรกิจอยู่ท​ี่นั่น เราก็เลยคิดว่า ถ้าบวชอุดรธานี พ่อเราจะไปหาลำบาก แต่ถ้าอยู่อุบลราชธานี เขาก็สามารถเห็นหน้าเราให้คลายค​วามคิดถึงบ้าง ก็เลยตัดสินใจไปพบหลวงพ่อชา ปี 2521



พรรษาแรก หลวงพ่อชา ส่งไปจำพรรษาที่วัดบึงเขาหลวงกั​บหลวงพ่อจันทร์ ออกพรรษากลับมาอยู่วัดหนองป่าพง

พรรษา2 ไปอยู่ ที่วัดป่าเมืองสวรรค์ อ.น้ำยืน กับพระอาจารย์หนูแดง ออกพรรษาแล้วกลับมาอยู่วัดหนองป​่าพง

พรรษา 3 จำพรรษาสำนักปฏิบัติธรรม ต.พุ่มพุด อ.บ้านหมี่ หน้าแล้งมาอยู่ที่วัดฟ้าคราม ตอนนั้นเป็นที่โล่ง ไม่มีบ้านคน มีที่ประมาณ 5 ไร่ อยู่ที่นี่ 4 ปี จากนั้นจึงเดินทางไปตั้งสำนักสง​ฆ์มาบจันทร์ (วัดมาบจันทร์ในปัจจุบัน) กับท่านพระอาจารย์อนันท์ อกิญจโน และสามเณร 1 รูป ปักกลดอยู่ อยู่ที่นี่ได้ 5 ปี
ปี พ.ศ. 2533 ออกไปวิเวกที่ป่าเขาใหญ่ 2 เดือนครึ่ง



















มีภาพของครูบาอาจารย์ในสายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตอยู่ด้วยค่ะ



















ในวันนั้นก็ได้ฟังท่านเทศน์เด็กๆ ที่ไปกลุ่มนั้นค่ะ ก็จะย้ำเรื่องการรักษาศีล 5 ให้เคร่งครัดซึ่งจะมีผลต่อการปฏิบัติภาวนา จะก้าวหน้า ศีลต้องไม่พร่อง แล้วก็เรื่องของการทำหน้าที่ในฐานะนักศึกษาให้ดีน่ะค่ะ






ก่อนจะจบเอนทรี่นี้ ขอแปะด้วยคำเทศน์ของท่านในงานอื่นที่ได้มาจากเว็บๆ หนึ่งนะคะ





“บางคนคิดว่าเราเกิดมามีความทุกข์ยากลำบากแล้วนี่ เราหาเช้ากินค่ำยากลำบากแล้วก็ไม่ทำบุญต่อ มันก็ไม่ได้ เพราะเราทำบุญมาน้อย ถ้าไม่ทำบุญต่อ มันก็ไม่มีบุญต่อไป ยิ่งบางคนมีน้อยก็ทำน้อย ข้าวทัพพีหนึ่งก็ได้บุญ กับข้าวสักอย่างหนึ่งก็ได้บุญ มีน้อยทำน้อยก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องอายทำความดีนี่ แต่บางคนนี้คิดว่า ฉันยังไม่ค่อยมีพอรวยก่อนแล้วค่อยทำแล้วกัน ระยะระหว่างนี้ไปจนถึงเราจะตั้งฐานะได้ 5 ปี 10 ปี เกิดตายก่อนยัง...ไม่ทันได้ทำ มันรอไม่ได้ บางคนก็มีศรัทธาอยากจะทำนะ ตั้งใจจะทำนะ แต่พอกาลเวลาผ่านไปอีกอาทิตย์หนึ่ง เกิดเปลี่ยนใจไม่อยากจะทำแล้ว นี่พระพุทธเจ้าบอกถ้ามีจิตเป็นบุญเป็นกุศล อยากทำบุญให้รีบทำ เพราะถ้าไม่รีบทำกิเลสจะมา ความหวงความตระหนี่ จะไม่อยากทำแล้วมันเปลี่ยน สังเกตดูบางคนคิดว่าจะทำบุญนะ ก็ยังไม่ทำสักที ยังไม่มีโอกาสจะทำ คอยไปคอยมา ไม่ทำแล้ว คือกิเลสเข้ามาแหย่ เพราะฉะนั้นทานบารมีสำคัญ เราคิดว่าพอ แต่ไม่พอ”

ท่านอาจารย์พระอัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตฺโต















สำหรับเอนทรี่นี้ ขอเพียงแค่นี้ก่อนนะคะ

เอนทรี่หน้าจะพาไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุที่อยู่ที่วัดนี้กันค่ะ













ปฏิทินธรรม







วันจันทร์ (ทุกวันจันทร์)

เรียนอภิธรรมเบื้องต้น บรรยายโดยพระครูสมุห์ทวี เกตุธมฺโม
ณ บ้านอารีย์ เวลา ๑๗.๓๐-๑๙.๓๐ น.

เว็บไซต์บ้านอารีย์
//www.baanaree.net






(ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน)
2. ร่วมปฏิบัติธรรมบูชา ณ โลหะปราสาท กับยุวพุทธิกสมาคมฯ
สวดมนตร์ถวายพระพร ปฏิบัติธรรมและสักการะพระบรมสารีริกธาตุ
วัดราชนัดดารามวรวิหาร เวลา 13.30-16.30 น.

สอบถามเพิ่มเติมที่คุณมนัสวิน, คุณอดุล 02-4554525 ต่อ 2208, 4214


เว็บไซต์ยุวพุทธิกสมาคม
//www.ybat.org/v4/index.asp






สัปดาห์ปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
24 - 30 กันยายน 2554 ณ บ้านอารีย์
ตักบาตร ปฏิบัติธรรมและฟังธรรม


วันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2554

1. เชิญทุกท่านร่วมทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหาร และฟังการแสดงธรรม
เมตตารับบาตร โดย พระครูสมุห์ทวี เกตุธมฺโม วัดราชสิทธารามฯ กรุงเทพฯ
เวลา ๐๗.๐๐-๑๐.๐๐ น. ณ ศาลาปันมี บ้านอารีย์


ฟังธรรมโดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี วัดมเหยงค์ จ.พระนครศรีอยุธยา
เวลา 18.00 น. ณ ศาลาปันมี บ้านอารีย์

เว็บไซต์บ้านอารีย์
//www.baanaree.net





วันอังคารที่ 27 กันยายน 2554

1. เชิญทุกท่านร่วมทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหาร และฟังการแสดงธรรม
เมตตารับบาตร โดย พระอาจารย์จากมูลนิธิหลวงปู่มั่น
เวลา ๐๗.๐๐-๑๐.๐๐ น. ณ ศาลาปันมี บ้านอารีย์


ฟังธรรมโดยพระอาจารย์ประสพ การุณิโก วัดป่าเกาะสำราญใจ จ.ยโสธร
เวลา 18.00 น. ณ ศาลาปันมี บ้านอารีย์

เว็บไซต์บ้านอารีย์
//www.baanaree.net







วันพุธที่ 28 กันยายน 2554

1. ฟังธรรมโดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
ณ หอประชุมพุทธคยา ตึกอมรินทร์พลาซ่า ชั้น 22

18.30 น. - สวดมนต์ ทำวัตรเย็น / 19.00-21.00 น. - นั่งสมาธิ และ ฟังธรรม (เน้นการปฏิบัติ ตามแนวมหาสติปัฏฐาน 4)






วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2554

1. ยุวพุทธิกสมาคมฯ ขอเชิญร่วมงานสาธยายพระไตรปิฏก
ณ ยุวพุทธิกสมาคม ซ.เพชรเกษม 54 อาคารธรรมนิเวศ ชั้น 4
เวลา 07.00-16.00 น.


การสาธยายพระไตรปิฎก
การจัดสาธยายพระไตรปิฎกที่ยุวพุทธฯ จัดขึ้นในครั้งนี้ไดคัดสรรจากพระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย แลวเรียบเรียงเป็นคำบาลีสลับกับคำแปลภาษาไทย เพื่อใหสาธุชนไดเขาใจความหมายในบทที่สาธยาย โดยทานพระมหาประนอม ธัมมาลังกาโร จากวัดจากแดง จ.สมุทรปราการ ไดนำเนื้อความจากพระไตรปิฎกรวบรวมมาจัดพิมพไวในเลมเดียวกัน เพื่อใหใชประโยชนในการจัดสาธยายพระไตรปิฎกใหจบภายใน ๑ วัน


การสาธยายพระไตรปิฎกในครั้งนี้ ประกอบดวย

๑. วินัยปฎก
- ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

๒. สุตตันตปฎก
- มหาสติปัฎฐานสูตร
- มหาสมยสูตร

๓. อภิธัมมปฎก
- มหาปัฎฐาน





อานิสงสของการสาธยายพระไตรปิฎก

๑. บุคคลใดไดนำเอาพระไตรปิฎกมาสาธยายจะเขาถึงความเป็นอริยบุคคล คือ ไดมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ในภายหนา

๒. บุคคลใดไดสาธยายพระไตรปิฎกจะชวยปิดประตูอบายภูมิ ๔ คือ เปรต อสุรกาย สัตวเดรัจฉาน และสัตวนรก

๓. บุคคลใดไดสาธยายพระไตรปิฎกแลว ไดนอมจิตตามพระธรรม อาจบรรลุธรรมชั้นหนึ่งชั้นใดในบรรดาโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต ไดตามอุปนิสัยที่สรางมา

๔. บุคคลใดที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ เมื่อไดสาธยายพระไตรปิฎกจะกลายเป็นสัมมาทิฎฐิ

๕. การสาธยายพระไตรปิฎกมีผลทำใหประเทศชาติไมเกิดภัยพิบัติ ทำใหประเทศชาติ มีแตความรมเย็นมีสันติสุข ผูสาธยายจะมีแตความสุข ความเจริญกาวหนาปราศจากโรคภัย

๖. บุคคลใดไดสาธยายพระไตรปิฎกและไดฟังธรรมมีอานิสงสหาประมาณมิได




เว็บไซต์ยุวพุทธิกสมาคม
//www.ybat.org/v4/index.asp





























ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ

925385+53617+17431+5188+61667=1,063,288/6753/624






 

Create Date : 26 กันยายน 2554
32 comments
Last Update : 26 กันยายน 2554 6:54:41 น.
Counter : 22168 Pageviews.

 


[ กดเบาๆนะจ๊ะ ]


แวะมาทักกันจ้า
สาธุค่ะครูเต้ย

 

โดย: หอมกร 26 กันยายน 2554 7:37:45 น.  

 

สวัสดียาเช้าค่ะ คุณสาไกด์

แวะมาทักทายค่ะ

เอา ซูชิ มาฝาก



ขอให้มีความสุขกับการทำงานนะคะ

 

โดย: iamorange 26 กันยายน 2554 8:01:07 น.  

 

อนุโมทนา สาธุ ค่ะคุณสาวไกด์
มารับบุญยามเช้าวันแรกของสัปดาห์

อ่านแล้วซาบซึ้งในกุศลบุญของท่านและคนเขียนบล๊อคนี้ค่ะ
รายงานการเดินทางและประวัติของท่านได้ละเอียดดีมากค่ะ
อ่านแล้วอยากทำบุญเช่นนี้โดยไม่ต้องรอโอกาส
ขอผลบุญนี้ส่งให้จขบ. มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองทุกๆเรื่องค่ะ

"การให้คนอื่นมีธรรมะ ประเสริฐยิ่งกว่าให้วัตถุทาน"

 

โดย: tui/Laksi 26 กันยายน 2554 8:20:38 น.  

 

สวัสดีค่ะ..คุณสาวไกด์

อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
เห็นชื่อวัดคุ้นๆ
ที่แท้ก็อยู่ชลบุรีนี่เอง
แต่บ่อทองก็ไกลจากเมืองชลอยู่เหมือนกันเนอะ

ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตค่ะ

 

โดย: chenyuye 26 กันยายน 2554 9:01:40 น.  

 

โหวตให้ก่อนเลยครับ จัดทำได้ละเอียดดีมากๆครับ โมทนานะครับ ^^

เคยได้ยินชื่อท่านครับแต่ไม่รู้จักได้อ่านแล้วก็ทำให้มีศรัทธามากขึ้นครับ

เป็นบารมีของท่านนะครับ ถึงได้บวชและสร้างวัดได้ใหญ่ขนาดนี้ ซึงต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อชาวพุทธอีกมาก

มีภาพมาฝากด้วยครับ

หิมะตกปรอยๆ



ฝนตกไปถึงด้วยจันทร์ 555++



แมงปอยังไม่กลัวน้ำท่วมเลย

 

โดย: วนารักษ์ 26 กันยายน 2554 10:51:55 น.  

 

ประทับใจในความเคร่งจังค่ะ อนุโมทนาด้วย

 

โดย: Love At First Click 26 กันยายน 2554 11:07:57 น.  

 

มาไหว้พระด้วยคนค่ะคุณสาวไกด์ รายละเอียดและข้อคิดเยี่ยมอีกแล้วค่ะ

 

โดย: LoveParadise 26 กันยายน 2554 13:21:22 น.  

 


ยาวมาก...แต่อ่านเพลินจ้ะเต้ย ไ่ม่เคยรู้จักท่านจ้ะ...



 

โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ 26 กันยายน 2554 15:36:59 น.  

 

แวะมาชวนคุณพี่สาวไกด์
ไปชมมหาเจดีย์ชเวดากองกันค่ะ



คราวนี้พาไปเที่ยววัด อิอิ
ไปกันแบบฝ่าสายฝนเลยนะคะ
ชื่อวัดนี้คุ้น ๆ อยู่ค่ะ รายละเอียดเยอะมาก ๆ เลย

ท่าทางลูกศิษย์ลูกหาพระอาจารย์ท่านจะเยอะมากเลยนะคะ

ร่วมอนุโมทนาบุญกับคุณพี่สาวไกด์ด้วยค่ะ

 

โดย: JinnyTent 26 กันยายน 2554 16:21:33 น.  

 

ขอบคุณมากๆค่ะคุณสาวไกด์ที่แวะไปชมภาพนะคะ ไม่ต้องชิมนะคะ

งั้นไม่แปะรูปเน๊าะเดี๋ยวตบะแตก




มีความสุขมากๆค่ะวันนี้

 

โดย: LoveParadise 26 กันยายน 2554 19:03:36 น.  

 

สวัสดีตอนค่ำๆค่ะคุณสาวไกด์
ตามมาไหว้พระด้วยคนค่ะ รายละเอียดเยอะมากแต่ก็อ่านจนจบค่ะ ได้รับความรู้และข้อคิดมากมายเลยค่ะ ขอนุโมทนาบุญด้วยนะคะ สาธุ สาธุ

 

โดย: phunsud 26 กันยายน 2554 19:48:24 น.  

 

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

[ของตกแต่งโดนๆคลิกเลย]
-------------------------
สวัสดีค่ะ เมื่อวานเน็ตในพื้นที่สัญญาณล่มใช้งานไม่ได้ วันนี้ใช้ได้แต่ไม่มีเวลา เพิ่งจะว่างจริงก็ตอนนี้ วันนี้ที่อ่างทองร้อนมากๆตอนเย็นฝนตก น้ำที่ท่วมก็เริ่มส่งกลิ่น ถึงที่บ้านไม่ท่วมก็ได้รับผลกระทบคือยุงมากกกกกกกจริงๆ ขอบคุณที่แวะไปให้กำลังใจกันนะคะคุณเต้ย

 

โดย: เกศสุริยง 26 กันยายน 2554 20:50:50 น.  

 

สาวไกด์คนนี้ ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยเลยจริงๆ วิ้ววววววววว

 

โดย: gutswallow 26 กันยายน 2554 22:09:26 น.  

 

ไม่ได้เห็นมาจากไหนค่ะคุณเต้ย
ถามไถ่ตามเคยชินคะ
ว่าแต่ว่าอย่างนี้
ก็ต้องถามแบบขอให้คุณเต้ยๆ โอเค ดีๆๆ นะคะ

 

โดย: Sweety-around-the-world 26 กันยายน 2554 22:26:18 น.  

 

ทางน่ากลัวจริงๆ ครับไม่มีไฟเลย ตอนกลางคืนมืดน่าดู

แนวคิดท่านน่าสนใจเหมือนกันครับ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้าย ความจริงที่ท่านบอกว่า "ไม่ต้องอายทำความดี" อันนี้มันประยุกต์ใช้ได้ทุกเรื่องเลยล่ะ

+

 

โดย: คุณต่อ (toor36 ) 26 กันยายน 2554 23:58:31 น.  

 


[ กดเบาๆนะจ๊ะ ]


แวะมาทักกันอีกรอบจ้าครูเต้ย
ยุ่งๆ ก็ไม่ต้องแวะไปอีกรอบก็ได้นะคะ

 

โดย: หอมกร 27 กันยายน 2554 7:37:28 น.  

 

นินฺททนฺติ ตุณฺหิมาสินํ นินฺทนฺติ พหุภาสินํ
มิตภาณิมฺปิ นินฺทนฺติ นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต

คนนั่งนิ่ง เขาก็นินทา คนพูดมาก เขาก็นินทา
แม้แต่คนพูดพอประมาณ เขาก็นินทา
คนไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก

เลือกแต่สิ่งดี ที่สร้างสรรชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง ตลอดไป...นะคะ


 

โดย: พรหมญาณี 27 กันยายน 2554 9:00:34 น.  

 

สวัสดีตอนสายๆค่ะ คุณสาวไกด์

อ่านประวัติของพระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโตแล้ว
ท่านเป็นพระนักปฏิบัติสายวัดป่าที่น่าเคารพศรัทธรามากๆเลยนะคะ
ขออนุโมทนาบุญกับคุณสาวไกด์ด้วยค่ะ

xoxo จากบล๊อค ยุ้ยขอขอบคุณคุณสาวไกด์
สำหรับกำลังใจดีดีที่มีให้คุณแม่ด้วยนะคะ

 

โดย: nLatte 27 กันยายน 2554 11:33:47 น.  

 

สวัสดีค่ะ วันนี้ทำงานอย่างมีความสุขนะคะ


Click here to get more Thank You Greetings from MasterGreetings.com



วันหลังต้องตามไปทำบุญวัดนี้บ้าง ไม่รู้จะหลงไหมนะ หลายเลี้ยวนะ อมุโมทนาบุญด้วยจ้า

 

โดย: pantawan 27 กันยายน 2554 12:07:35 น.  

 

สวัสดีวันอังคารค่ะคุณสาวไกด์

มีความสุขมากๆค่ะวันนี้

 

โดย: LoveParadise 27 กันยายน 2554 12:39:47 น.  

 

แวะตามไปทำบุญด้วยคนค่ะคุณสาวไกด์

ช่วงนี้ฝนตกน้ำท่วมกันเกือบทุจังหวัด

น่าสงสารนะค่ะ

มีผลกับการงานคุณสาวไกด์บ้างป่าวค่ะ

ดูแลสุขภาพด้วยนะค่ะ

 

โดย: nok_noyly 27 กันยายน 2554 12:57:06 น.  

 

ธรรมมะสวัสดีครับ .....

ได้อ่านประวัติของพระอาจารย์แล้ว น่าเลื่อมใสมากครับ

 

โดย: NET-MANIA 27 กันยายน 2554 13:51:29 น.  

 

คุณเต้ย ไม่ว่าจะกาย หรือใจ
ก็ขอให้หายผ่านเร็วๆค่ะ
คุณเต้ยใจใกล้ธรรมแบบนี้
เจอสุขใจง่ายๆอยู่แล้วนะคะ

 

โดย: Sweety-around-the-world 27 กันยายน 2554 14:52:42 น.  

 

สวัสดีวันทำงานค่ะพี่สาวไกด์



ขอทุกวันอย่าเป็นวันโกรธใครเลย..
........................

การโกรธกันใช้พลังงานมหาศาลนัก ทั้งอารมณ์ ทั้งการหายใจ ทำให้นอนไม่หลับ ความเครียดเข้าแทรก ธาตุไฟปั่นป่วน ความดันพุ่งขึ้น อาหารไม่ย่อย ยามหลับฝันร้าย ความคิดตกต่ำ การงานไหลลง สถิติติดลบ

ถ้าเลิกโกรธไม่ได้นานๆ อาจจะเป็น มะเร็งในอารมณ์

อเปหิความโกรธกันดีไหมหนอ?

 

โดย: ญามี่ 27 กันยายน 2554 15:14:55 น.  

 

สวัสดีครับผม มาชวนไปงานตะพาบครับผม ^^



 

โดย: วนารักษ์ 27 กันยายน 2554 16:23:10 น.  

 


สวัสดีวันฟ้ารั่วอีกวันจ้ะเต้ย



 

โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ 27 กันยายน 2554 17:19:00 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่สาวไกด์

พอมาเห็นหน้าบล็อกแบบนี้แล้วก็อืม ชั้นนี่มันคนบาป โอ๋ยังละไม่ได้ เลิกไม่ได้ มารทั้ง 3 อยู่กันครบ ทั้งโทสะ โมหะ โลภะ แล้วแต่ว่าวันไหนมารตนไหนจะเข้าเวร ผลัดกันวนเวียนอยู่เช่นนี้ไปตลอด

แต่รู้สึกเจ้าโทสะจะมาบ่อยสุด ถือว่าเป็นมิตรกันเลยทีเดียว ถ้าเป็นเนื้อคู่ ก็ต้องเรียกว่า คู่แท้ หนีกันไม่ค่อยพ้น

คนเราก็งี้หล่ะค่ะ เวลาฝึก เวลาเรียนรู้ เวลาปฎิบัติเรามักจะทำได้เพราะจิตตั้งมั่น แต่เมื่อหลุดออกมาก็ยากจะควบคุม เพราะปัจจัยภายนอกอย่างกระแสสังคมมันแรง ยากจะต้านทาน

จนกว่าเราจะฝึกวิทยายุทธ์ก้าวหน้าถึงขั้นแข็งแกร่ง จึงจะต้านกระแสมารเหล่านั้นได้ แต่ถ้าทำแบบนั้น บางครั้งก็จะอยู่ในสังคมยาก เพราะมักถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่ร่ำไป

โอ๋คงเป็นพวกหัวแข็ง หัวดื้ออยู่ซักหน่อย ไม่ยอมไปวัด ไม่ยอมปฎิบัติธรรม ไม่ยอมนั่งวิปัสนากรรมฐานใด ๆ แต่จะหนักไปทางพยายามตามรู้จิต รู้ตัว จะได้ยับยั้งชั่งใจตนและอารมณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ทำผิดพลาดเป็นหลักใหญ่ใจความ

ทั้งแม่และเพื่อน ต่างเคยมาชักชวน พูดได้คำเดียว ว่า ไม่พร้อม ไม่ใช่ตัวไม่พร้อม แต่ใจนี่หล่ะที่ไม่พร้อม เพราะยังไม่ปล่อยวางทิฐิมานะ

ตอนนี้ก็ได้แต่อยู่บ้านไปพลางก่อน วันไหนอารมณ์ดีค่อยสวดมนต์ไหว้พระ วันไหนอารมณ์ดีก็ไปทำบุญตักบาตรฟังเทศน์ คงทำได้เท่านี้จริง ๆ

 

โดย: oa (rosebay ) 27 กันยายน 2554 17:26:10 น.  

 

สาธุ ขอบคุณมากๆเลยค่ะพี่เต้ยที่พาไปทำบุญ และได้อ่านเรื่องราวธรรมะดีดีที่น่าสนใจด้วย

 

โดย: sawkitty 27 กันยายน 2554 19:02:07 น.  

 

วันนี้....วันพระ

"เรารู้อยู่...แต่เราไม่รู้ทัน..."

 

โดย: คนป่าหาธรรม 27 กันยายน 2554 19:48:47 น.  

 

ฝันดีนะคะ


 

โดย: pantawan 27 กันยายน 2554 22:49:41 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
--------------------------
ย่องมาเคาะประตูบ้านยามดึก ราตรีสวัสดิ์นะคะคุณเต้ย

 

โดย: เกศสุริยง 27 กันยายน 2554 23:41:27 น.  

 




ขอบคุณค่ะคุณไกด์ที่ไปร่วมอวยพรวันเกิดให้กาญ
ขอให้พรนั้นคุณไกด์และครอบครัวได้รับเช่นกันนะคะ

มีความสุข สุขภาพแข็งแรง
โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน ร่ำรวยเงินทองนะคะ

 

โดย: ข้ามขอบฟ้า 28 กันยายน 2554 2:46:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สาวไกด์ใจซื่อ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 203 คน [?]




ชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ ตอนนี้ทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ นิสัยดีบ้างร้ายบ้าง แล้วแต่สภาวการณ์และคนที่เจอ


เนื้อหาและรูปภาพทั้งหมดในบล็อกสงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้นำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก


ติดต่อเจ้าของบล็อกได้ที่ theworpor@yahoo.com
หรือ
https://www.facebook.com/saoguide






Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
26 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวไกด์ใจซื่อ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.