" ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติจะตกแกท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์ " " ฉันไม่ต้องการให้เธอมีความรู้ทางแพทย์อย่างเดียว ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย " พระบรมราโชวาท สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชบิดาแห่งการแพทย์ไทย
ในชีวิตความเป็นหมอ ...อดสูใจที่สุดก็วันนี้ *** เหตุเกิดเมื่อวาน ที่นานๆทีจะมีโอกาสได้พักกลางวันกับเขา เลยสละเวลา ที่จะต้องทานอาหารกลางวันไปสระผมที่ร้านทำผมในรพ. ที่พึ่งเคยไป ครั้งแรก เพื่อผ่อนคลายความอ่อนล้าจากการทำงานอดนอนมาทั้งคืน สระผมเสร็จระหว่างอ่านหนังสือรอเพื่อไดร์ผม ได้ยินบทสนทนาระหว่าง ช่างทำผมผู้คุ้นเคยกับดีกับลูกค้าหลายคนที่นั่งดูข่าวทีวีอยู่ ลูกค้า 1 "ดูข่าวกันหรือยัง หมอเอี้ย...อะไรวะ ติดป้ายไม่รับรักษาคนไข้ " ลูกค้า 2 " นั่นดิ เดี๋ยวถ้าหมอมันโดนจี้ โดนปล้น ก็ให้มันไปแจ้งความกับ ... (คนที่คุณก็รู้ว่าใครก็) ...ก็แล้วกัน " ช่างผม " ครูบาอาจารย์หมอไม่สั่งสอนหรือไง ทีสงครามเขายังรักษา ฝ่ายตรงข้ามเลย นี่คนไทยด้วยกันแท้ๆ " ลูกค้า 1+2+3 ....(สนับสนุนเสียงเซ็งแซ่) ... ...โล่งใจที่ไม่มีใครรู้จัก... แต่มือก็แอบเอาป้ายชื่อคล้องคอที่มีตำแหน่ง "แพทย์หญิง" เข้าไปซ่อนในสาบเสื้อเสีย แถมมืออีกข้างก็ยกเอาหนังสือ ขึ้นบังหน้าสูงกว่าเดิม ... ดิฉันทำงานเป็นวิสัญญีแพทย์ในโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่ง มีความชำนาญเป็นพิเศษเป็นของตัวเองคือการให้การระงับความรู้สึกและ ช่วยเหลือชีวิตคนไข้ในระยะวิกฤติ เช่น การปั๊มหัวใจ การใส่ท่อช่วยหายใจ ... ดิฉันเคยช่วยชีวิตฆาตรกรที่พึ่งฆ่าปาดคอผู้อื่นแล้วโดดตึกหลบหนีตำรวจ เคยให้ยาสลบแก่หัวหน้าแก๊งค์ซามูไรที่ทำร้ายผู้อื่นด้วยมีดดาบ ลูกชายที่ทำร้ายร่างกายพ่อแม่เพราะฤทธิ์ยาบ้าแล้วโดนรุมประชาทัณฑ์... ถามว่ารู้สึกโกรธหรือไม่อยากช่วยไหม? ...แน่นอนค่ะ ด้วยความเป็นปถุชนย่อมมี แต่ดิฉันไม่เคยปริปากพูดออกมาระหว่างปฏิบัติหน้าที่.... ผู้ร่วมงานท่านอื่นก็ต้องเก็บความรู้สึกเช่นกัน ดิฉันภาคภูมิในวิชาชีพของตัวเองมาตลอด ไปไหนก็สามารถเดินยืดอกเชิดหน้าได้ ...จนมาวันนี้ เป็นวันแรกในชีวิตที่ต้องนั่งก้มหน้าคอตก ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองเป็นหมอ ... ดิฉันอยากจะบอกให้คุณหมอ(ถึงจะมีไม่กี่ท่าน) ที่ได้ออกมาประกาศทำนองว่า "เลือกข้าง" อย่างชัดเจน ว่าท่านได้สร้างความมัวหมองให้แก่วงการแพทย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คุณหมอทุกท่านได้โปรดกรุณาแยกแยะอารมณ์ ความชอบไม่ชอบ ออกจาการเป็นแพทย์เถิดค่ะ การเมืองให้เขาแก้ด้วยการเมือง... และเบื้องหลังของทั้งสองฝ่ายเราก็ยังไม่ทราบแท้จริงและไม่อาจตัดสินได้ ขนาดคนที่ทำผิดมาเห็นๆอย่างที่ยกตัวอย่าง เรายังต้องรักษาเขาเลยนะคะ หลายท่านอาจเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิทธิที่คนเราอาจแสดงความโกรธ ความไม่ชอบแล้วมาแสดงออกได้ แต่ดิฉันว่ามีเหตุผลที่จรรยาแพทย์ ไม่ให้เอาอารมณ์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการรักษา ถ้าตัดอารมณ์ออกจากการรักษาไม่ได้ เราจะเห็นภาพทันทีเลยว่ามันรุนแรงและแย่ การช่วยชีวิตคน เป็นเหมือนเหตุผลที่อยู่สูงกว่า อารมณ์ และ ความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์นะคะ ให้เราคิดเสียว่า ...มันคือกรรม ... สิ่งที่เกิดคือกรรมแต่ละคน เรามีกรรมของเราที่ต้องช่วยเขาตามหน้าที่ ... ส่วนกรรมของเขานั้นก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขาไปเถิดค่ะ พวกเรายังอยู่ในสถานภาพทางสังคมที่ผู้คนคาดหวัง ว่าเป็นแพทย์ต้องดี ต้องมีจรรยาแพทย์ ต้องมีความเป็นกลาง ถ้าคุณเป็นนายอะไรสักอย่าง แล้วออกไปประกาศคงไม่มีใครสนใจหรอกค่ะ สิ่งที่ประกาศออกไป มันออกไปในามของความเป็นแพทย์ ซึ่งผูกถึงชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของแพทย์ ที่อาจารย์ของเราตั้งแต่รุ่นโบราณกรุณาสร้างชื่อสะสมมา และความเสียหายจะเกิดกับแพทย์ทุกคนค่ะ "ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นหมอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย" เป็นพระราชดำรัสที่ดิฉันจำติดใจตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียนค่ะ คุณ หมูเหมียว 11 ต.ค. 51 10:50:48 ******** ป้าวีได้อ่านข้อความข้างบนจากกระทู้พันทิพ เธอได้ลงลิงค์บล็อกไว้ด้วย ซึ่งตามไปอ่านแล้ว ทราบว่าเธอเป็นคุณหมอจริงและทำบล็อกมานานแล้ว จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ เพราะเป็นข้อเขียนที่ดี ป้าวีขอชื่นชมความคิดที่ถูกต้อง เป็นเรื่องๆไป ไม่ใช่ว่าเชียร์ฝ่ายไหน เพลงที่นำมาลง แต่งโดย นายแพทย์ขจรศักดิ์ เทพเสน ขณะที่เป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (แอบไม่มั่นใจในความเป็นหมอของค่ายจุฬา )
นานาจิตตังกันไป
หนูยังเป็นเด็กแต่อยากให้ผู้ใหญ่ใครก็ได้ช่วยแก้ปัญาหาเรื่องที่เป็นอย่างนี้ซักที