ผู้ป่วยเป็นมะเร็งปอดมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร...
ผู้ป่วยเป็นมะเร็งของปอดจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร แล้วแต่เวลาที่ตรวจพบและเริ่มรักษาว่ามะเร็งนั้นอยู่ในระยะไหน การแบ่งระยะของมะเร็งจึงมีความสำคัญในการพยากรณ์โรค โดยเฉพาะมะเร็งชนิดที่ไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer หรือ NSCLC) ส่วนมะเร็งชนิดที่มีเซลล์ขนาดเล็ก (Small Cell Lung Cancer หรือ SCLC) นั้นการแบ่งระยะของโรคมีความสำคัญน้อยกว่า เพราะโรคแพร่เร็วและผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้ระยะสั้นๆ หลังเป็นโรค การรักษาก็ยังไม่ได้ผลดี
มะเร็งชนิดที่มีเซลล์ขนาดเล็ก (Small Cell Lung Cancer หรือ SCLC) นั้น การแบ่งระยะของโรคเราแบ่งออกเป็นเพียง 2 ระยะเท่านั้นคือ
1.ระยะโรคจำกัดที่ (Limited Stage) หมายถึง มะเร็งอยู่ในปอดข้างหนึ่งและถ้าไปที่ต่อมน้ำเหลืองก็ไปที่ทรวงอกด้านเดียวกัน ผู้ป่วยพวกนี้มีชีวิตอยู่ได้ 2 ปีราวๆ 20% 2.ระยะที่โรคกระจายไปแล้ว (Extensive Stage) หมายถึง โรคกระจายไปยังปอดด้านตรงข้ามแล้ว หรือกระจายไปอวัยวะอื่นแล้ว ผู้ป่วยพวกนี้อยู่ได้ 2 ปีประมาณ 5%
สำหรับมะเร็งชนิดที่ไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer หรือ NSCLC) นั้น การพยากรณ์โรคดีกว่ามากโดยเฉพาะผู้ป่วยที่พบในระยะแรก (Stage I)
การแบ่งระยะของมะเร็งพวกนี้ที่นิยมกันใช้เรียกว่า TNM System (T คือ ขนาดของก้อนมะเร็ง, N คือ ไปต่อมน้ำเหลืองแล้วหรือไม่ ไปที่ต่อมไหน, M คือ มีการกระจายไปอวัยวะอื่นแล้วหรือยัง)ดังรูป
ข้อมูลจากโรงพยาบาลกรุงเทพ
มะเร็งปอดในปัจจุบันมีความสำคัญมากขึ้นในประเทศไทย เพราะเป็นสาเหตุ การตายจากมะเร็งเป็นอันดับ 1 ทั้งในเพศชายและหญิง ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติของมะเร็งปอดที่ผู้เขียนสังเกตคือ คนไข้มาในระยะที่โรคยังไม่แพร่กระจายมากขึ้น คือมาด้วยภาพเอกซเรย์ปอดผิดปกติ เห็นก้อนหรือเป็นจุด และคนไข้ไม่มีอาการเช่น อาการไอ ไอเป็นเลือด หรือ น้ำหนักลด คนไข้เหล่านี้มีโอกาสหายขาดจากการผ่าตัดมากขึ้น คือ ถ้าเป็นมะเร็งในระยะที่ 1 การผ่าตัดเพียงอย่างเดียวอาจทำให้หายถึง 75% โดยไม่ต้องให้ยาเคมีบำบัดหรือฉายแสงหลังผ่าตัด เพศหญิงเป็นมะเร็งปอดมากขึ้น โดยมากเป็นมะเร็งชนิด Adenocarcinoma ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ ทั้งการสูบเองหรือได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น การตรวจในปัจจุบันที่ช่วยวินิจฉัยมากคือ การทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สามารถบอกถึงโอกาสว่าจุดหรือก้อนที่ผิดปกติมีโอกาสเป็นมะเร็งมากน้อยเพียงใด โดยอาศัยลักษณะของก้อน เช่น ไม่มีโพรงในก้อน ไม่มีแคลเซียมในก้อน ขอบของก้อนไม่เรียบ มีลักษณะลุกลามเข้าไปในเนื้อปอดปกติ การตรวจด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ เช่น PET Scan ยังไม่แนะนำในมะเร็งระยะแรก เพราะเครื่องมือชนิดนี้ไม่สามารถแยกก้อนมะเร็งออกจากก้อนที่เป็น การอักเสบติดเชื้อได้ชัดเจน ต้องอาศัยการตรวจเนื้อเยื่อจึงจะได้ผลแน่นอน จึงไม่เปลี่ยนแผนการรักษา ยกเว้นแต่ในรายที่คาดว่าไม่พบระยะแรก เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอดโตมาก หรือมีน้ำ ในช่องปอด การตรวจชนิดนี้จะมี ประโยชน์ในการหาว่า มีมะเร็งแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นหรือไม่ เช่น ตับ สมอง ต่อมหมวกไต และต่อมน้ำเหลืองที่โตมีความน่าสงสัยว่าเป็นมะเร็งสูงหรือไม่ ซึ่งอาจต้องตัดเนื้อต่อมน้ำเหลืองมาตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งจริง โดยการส่องกล้องที่เรียกว่า Mediastinoscopy การเจาะก้อนเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งก่อนการผ่าตัดโดยการใช้เข็มเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Fine needle aspiration-FNA สำหรับคนไข้ที่คาดว่าผ่าตัดได้ โดยการซักประวัติ การตรวจร่างกาย การตรวจสมรรถภาพปอด อาจไม่จำเป็นต้องทำ เพราะไม่เปลี่ยนแผนการรักษา เพราะถ้าหากพบมะเร็งก็ต้องผ่าตัด แต่ถ้าผลออกมาไม่พบมะเร็ง ก็ต้องผ่าตัดเหมือนกัน เพราะผลลบไม่สามารถ ตัดการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งออกไป ในคนไข้ที่สมรรถภาพปอดไม่ดี หรือการตรวจคาดว่าเป็นมะเร็งแต่เป็นระยะที่ไม่หายด้วยการผ่าตัด การได้การวินิจฉัยแน่นอนว่าเป็นมะเร็งปอดก็ย่อมมีประโยชน์ การเริ่มรักษาด้วยยา หรือฉายแสงต่อไป การตรวจอวัยวะอื่นก่อนผ่าตัดมีความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยในการผ่าตัด เช่น การตรวจหาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน อาจกระทำโดยการซักประวัติ ว่ามีอาการแน่นหน้าอกเมื่อออกกำลังกายหรือไม่ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ในขณะพักและขณะออกกำลังกาย การฉีดสีเส้นเลือด หัวใจ มะเร็งปอดแบ่งเป็นสองชนิด คือ ชนิดเซลล์เล็ก และชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก ชนิดหลังพบบ่อยกว่า และเป็นมะเร็งที่อาจหายขาดด้วยการผ่าตัด การผ่าตัด จะพิจารณาเฉพาะในคนไข้ที่การตรวจก่อนผ่าตัดคาดว่าเป็นมะเร็งระยะต้น ๆ (ไม่เกินระยะที่ 2 ไม่มีต่อมน้ำเหลืองโตใน Mediastinum) และคนไข้แข็ง แรงพอที่จะทนการผ่าตัดปอดบางส่วนออกได้
การผ่าตัดปอดในปัจจุบันทำได้สองวิธี คือการผ่าตัดผ่านแผลเปิดในทรวงอก ข้างที่มีมะเร็ง ผ่านช่องระหว่างซี่โครง และการผ่าตัดโดยใช้กล้องโดยเจาะรู 2-3 รู ที่ทรวงอกที่ใส่กล้องและเครื่องมือ แต่ก็ยังต้องมีแผลเปิดที่ทรวงอก เพื่อช่วยในการผ่าตัดและเพื่อนำปอดที่ตัดออก การผ่าตัดแบบเปิดเป็นการผ่าตัด มาตรฐาน มีอัตราเสี่ยงต่ำและไม่มีผลเสียระยะยาวต่อการหายใจและ การเคลื่อนไหวของแขน และสามารถใช้ผ่าตัดกับมะเร็งปอดทุกระยะ แม้ว่าคนไข้เคยผ่าตัดปอดมาก่อน มีพังผืดในช่องปอด หรือคนไข้ที่เคยฉายแสง รังสีที่ทรวงอกหรือปอดมาก่อน ข้อดีของการผ่าตัดด้วยกล้องคือ อาการเจ็บแผลน้อยกว่า อยู่โรงพยาบาลสั้นกว่า และสามารถกลับไปทำงานได้เร็วกว่า แต่การศึกษาพบว่าคนไข้ที่ผ่าตัดด้วยกล้องมีระยะเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล แตกต่างกับการผ่าตัดแบบเปิดไม่มาก คือประมาณ 1-2 วันเท่านั้น และสมรรถภาพของปอดในระยะยาวก็ไม่ดีกว่าการผ่าตัดแบบเปิด ข้อจำกัดของการผ่าตัดด้วยกล้องคือ ไม่สามารถทำได้อย่างปลอดภัยถ้าหาก ก้อนใหญ่กว่า 3 เซนติเมตร ก้อนติดกับขั้วปอด มีพังผืดในช่องปอด ก้อนติดกับผนังทรวงอก เคยได้ยาเคมีบำบัดหรือฉายแสงมาก่อน สำหรับการเราะต่อมน้ำเหลืองใน Mediastinum การเราะด้วยกล้องก็อาจทำได้ แต่ผลของการผ่าตัดยังคงต้องมีการศึกษาเปรียบเทียบกับการเราะผ่านแผลเปิดทรวงอก ซึ่งมักจะเราะได้มากกว่าทำให้ผลของการผ่าตัดจัดระยะของมะเร็งถูกต้องขึ้น และมีผลดีต่อความรอดชีวิตหลังผ่าตัด การผ่าตัดปอดมีหลักการคือ การตัดปอดกลีบที่มีก้อนมะเร็งอยู่พร้อมกับ เราะต่อมน้ำเหลืองใน Mediastinum ออกด้วย ถ้าหากเนื้องอกอยู่ในหลอดลมใหญ่ ของปอดข้างนั้นก็อาจต้องตัดปอดทั้งข้างออก ซึ่งคนไข้ที่แข็งแรงเป็นปกติ สามารถทนการตัดปอดอีกได้หนึ่งข้างโดยไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตหรือ ทำให้เป็นทุพพลภาพ ในคนไข้ที่สมรรถภาพปอดไม่ดี เช่น อายุมาก หรือ เป็นโรคถุงลมปอดโป่งพอง การตัดปอดส่วนที่มีก้อน มะเร็งออกพร้อมเราะ ต่อมน้ำเหลืองก็เป็นการรักษาที่ได้ผลดี แม้ว่าโอกาสที่มะเร็งจะกำเริบใกล้ บริเวณปอดที่ถูกตัดออกมีมากกว่าการตัดปอดเป็นกลีบ อัตราเสี่ยงการผ่าตัดไม่สูงมากนัก ในคนไข้ปกติที่แข็งแรงพอควรอัตราตาย จากการผ่าตัดของการตัดปอดออก 1 กลีบเท่ากับประมาณ 2-3% และการตัดปอดออกทั้งข้างมีอัตราตายประมาณ 5% การตัดปอดออก 1 กลีบมีผลต่อการหายใจไม่มากนัก ความแข็งแรงจะกลับมา เท่ากับก่อนผ่าตัดหลังการผ่าตัดประมาณ 6 เดือน การใช้ชีวิตหลังผ่าตัด คนไข้สามารถออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดินได้ภายใน 3-4 วันหลังผ่าตัดหลังจากแพทย์นำท่อระบายออกจาก ทรวงอกแล้ว การออกกำลังกายจะทำได้มากเมื่อกล้ามเนื้อทรวงอกติดดีแล้ว คือประมาณ 2 เดือน คนไข้ต้องพยายามออกกำลังกายที่หัวไหล่และแขน ข้างเดียวกับแผลผ่าตัด เพื่อป้องกันไหล่ติดหลังผ่าตัด ซึ่งรักษาให้หายได้ยาก หลังผ่าตัดสามารถใช้ชีวิตเหมือนปกติ สามารถออกกำลังกายได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่คนไข้ต้องหยุดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอด เช่นการสูบบุหรี่ โดยทั่วไป ต้องพบแพทย์สม่ำเสมอเพื่อตรวจติดตามโรค เพราะมะเร็งปอดจะมีโอกาส แพร่กระจายหลังผ่าตัดภายใน 5 ปีแรก ถ้าเกิน 5 ปีแล้วไม่มีมะเร็งกำเริบ ก็ถือว่าหายขาดได้ แพทย์จะติดตามด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย โดยเฉพาะต่อมน้ำเหลืองที่เหนือกระดูกไหปลาร้า ตรวจหาน้ำในช่องปอด การถ่ายภาพเอกซเรย์ปอดและการ ถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอก การตรวจด้วยการเจาะเลือด เช่น หา CEA level การตรวจด้วย PET scan ในคนไข้ที่โรคกำเริบก็อาจรักษาต่อได้ด้วยการผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การฉายแสง ข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์กิตติชัย เหลืองทวีบุญ หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.
|