Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 กรกฏาคม 2555
 
All Blogs
 

สะบายดี...จำปาสัก (ตอนที่ 4)



เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากรองท้องด้วยมื้อเช้าแล้ว ต่างคนต่างขนสัมภาระลงมาเก็บไว้ในรถ พร้อมกับคืนห้อง ก่อนที่จะออกเดินทางไปยัง "ตลาดดาวเฮือง"

อาจเป็นว่าเป็นคณะแรกที่มาช้อปก็ได้ เห็นบรรดาร้านรวงต่างๆ ยังเปิดกันไม่เต็มที่นัก เลยพาไปชมผลหมากรากไม้ ของสด ของแห้งไปพลางๆ ก่อน




อ่ะ..มีแป้งจี่ หรือว่า "แป็ง" (Pin) วางขายแบกะดินด้วยแฮะ แต่ภาษาฝรั่งเศสจริงๆ จะเรียกว่า baquette

เดินวนเวียนแถวๆ แผงขายของสด ของแห้งได้ไม่นานกัก ก็มีคณะทัวร์(ชาวไทย) อีกคณะหนึ่งมาแวะสมทบที่ตลาด บรรยากาศค่อยคึกคักขึ้นมาหน่อย




ได้เวลาก้าวเท้าเข้าไปข้างในตลาดแล้วล่ะ

น้องเหลือง ไกด์ลาวได้เกริ่นเอาไว้ล่วงหน้าแล้วครับว่า ตลาดดาวเฮืองแห่งนี้ นักท่องเที่ยวนิยมมาหาซื้อ คำ(ทอง) เงิน เสื้อผ้า เครื่องประดับต่างๆ เช่น เพชร แก้ว(พลอย) กันมาก แต่รับรองได้ว่าเป็นของแท้ และมีราคาสมเหตุสมผล ไม่ต้องกังวลใจ

สำหรับผู้ที่มาหาซื้อโทรศัพท์มือถือประเภท Iphone โมบาย 3G หลากหลายยี่ห้อในราคาถูกนั้น ขอได้พิจารณาให้ดีๆ ก่อนตกลงใจซื้อ เพราะไม่มีรับประกันคุณภาพ เรียกว่าตาดีได้ ตาร้ายเสียนั่นแหละ


และที่สำคัญคือ ทางศุลกากรเมืองไทยหากตรวจค้นพบ จะถูกยึดไปเลย เนื่องจากมีประกาศของทางการไทยว่า โทรศัพท์มือถือเหล่านี้ ไม่ผ่านมาตรฐานการตรวจสอบของหน่วยงานไทย



สำหรับตัวผม ไม่ค่อยนิยมข้าวของเหล่านี้เท่าใดนัก เลยมีหน้าที่ติดตามน้องสาว และถ่ายภาพภายในตลาดไปด้วย จึงไม่อาจแนะนำสินค้าแก่ท่านผู้สนใจได้เลย



เสื้อผ้า กระเป๋านานาชนิดมีขายกันเพียบเลยครับ แต่ยังไม่ต้องนิสัยผมอีกนั่นแหละ

ในภาพ เป็นร้านขายคำ(ทอง) ในตลาด แต่สายตาผมกำลังสอดส่ายหาดูแบตเตอรี่อัลคาไลน์เพื่อนำมาสำรองใช้งานกับกล้องถ่ายรูป ที่ของเดิมกำลังไฟอ่อนปวกเปียกเต็มที่ แต่ที่นี่ ช่างหายากเย็นเสียจริงๆ

ออกมาข้างนอกตลาด เจอร้านจำหน่ายมือถือ ลองถามดูแบตเตอรี่ เขาก็ไม่มีจำหน่ายเหมือนกัน ทำไงดีหว่า ?




เห็นคนขายในร้านบอกราคาขายมือถือแบบ I phone ราคาเคาะไว้ครั้งแรกเผื่อต่อรอง ตกเครื่องละ 1,200 บาทเท่านั้น ทำเอาลูกทัวร์หนุ่มๆ มะรุมมะตุ้มสอบถามกันยกใหญ่

บังเอิญที่ผมได้มรดกเป็น smartphone จากลูกซึ่งเปลี่ยนมือถือใหม่ไปแล้ว เลยเฉยๆ อีกเช่นกัน

สุดท้าย ผมหาซื้อแบตอัลคาไลน์มาจนได้ล่ะครับ เป็นแบตขนาด AA ข้ามแดนจากเมืองไทยในราคาคู่ละ 80 บาทที่ร้านขายนาฬิกาและมือถือ แพงกว่าที่ขายในร้าน 7-11 ที่เมืองไทยตั้งเท่าตัว

แถมผมยังหลวมตัวไปซื้อแบต AA ของจีนในราคาแพ็คละสี่ก้อนราคา 80 บาทเช่นกัน พอนำมาใส่กล้องดูแล้ว ไม่มีไฟเหลือให้เห็นเลย ต้องโยนทิ้งถังขยะเมืองปากเซ นับว่าเป็นแบตเตอรี่ที่ผมซื้อมาในราคาแพงที่สุดในชีวิต




จากตลาดดาวเฮือง คณะทัวร์ก็วนเวียนอยู่ในเมืองปากเซอยู่พักหนึ่ง ทำให้ผมมีโอกาสมองดูบ้านเมืองของเขาได้ถนัดตาหน่อย



เฮือนดินจี่แบบชาวเวียตนาม ผมเพิ่งเห็นในปากเซวันนี้เอง



ร้านตัวแทนจำหน่ายปี้รถโดยสาร วีไอพี.ใกล้ๆ ท่ารถเกรียงไกร ซึ่งเป็นท่ารถปรับอากาศ ตรงหลัก 3 ครับ ไม่แตกต่างไปจากในบ้านเราเลย



พอออกนอกตัวเมืองมาแล้ว รถทัวร์ได้จอดแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มของบริษัทจากเวียตนามแถวๆ หลักสาม และให้ลูกทัวร์แวะเข้าห้องน้ำตามอัธยาศัย

ผมคิดว่า หลังคาปั๊มชักจะเตี้ยไปแล้ว เวลารถทัวร์จากไทยเข้าไปจอด




หลังจากเสร็จสิ้นเติมน้ำมันแล้ว รถก็บ่ายหน้าไปตามเส้นทางหลวงสาย 23 มุ่งหน้าขึ้นสู่ที่ราบสูงโบโลเวนส์ (Bolovens Plateau) ที่ผมเคยอ่านจากหนังสือเรียนสมัยมัธยม สู่เมืองปากซอง (ปากช่อง) ของแขวงจำปาสัก

ที่ราบสูงแห่งนี้ ภาษาลาวเรียกกันง่ายๆ ว่า "ภูเพียงบอละเวน" น้องเหลือง ไกด์ลาวอธิบายเพิ่มเติมว่า กำเนิดจากภูเขาไฟซึ่งยังมีอยู่บนที่ราบสูงแห่งนี้ และดินจากภูเขาไฟ เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผล ประกอบกับอากาศค่อนข้างเย็นจนถึงหนาวจัดในฤดูหนาว เมื่อชาวฝรั่งเศสได้นำเม็ดพันธุ์กาแฟมาปลูก เจริญงอกงามจนกลายเป็นพืชผลผลิตหลักที่สร้างรายได้ให้กับชาวจำปาสักในปัจจุบันนี้

นอกจากกาแฟแล้ว ยังมีพืชไร่อื่นๆ ที่เริ่มปลูกกันแพร่หลาย เช่น ชา ทุเรียน สับปะรส และอื่นๆ อีกด้วย โดยส่งเป็นผลไม้สดและผลไม้อบแห้งออกจำหน่ายสู่ท้องตลาดทั่วไป รวมถึงในประเทศไทย

"ภูเพียงบอละเวน" แห่งนี้ อยู่ในพื้นที่ปกครองของแขวงจำปาสัก ถัดจากภูเพียงลงไปข้างล่างด้านทิศตะวันออก จะเป็นพื้นที่ของแขวงเซโดน ซึ่งแยกการปกครองจากแขวงสาละวัน และแขวงอัตปือ ซึ่งอยู่ด้านใต้สุดของ สปป.ลาว ติดกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียตนาม และราชอาณาจักรกัมพูชา

ในด้านมุมมืดที่ไม่ปรากฎในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามอินโดจีนในยุคหลัง บริเวณภูเพียงบอละเวน เป็นสมรภูมิเลือดระหว่างกองกำลัง ทช.ลาว ร่วมกับกองทหารพรานจากประเทศไทย กับกองกำลังเวียตนามซึ่งแผ่อิทธิพลคุ้มครองเส้นทางสายโฮจิมินห์ซึ่งผ่านพื้นที่ของแขวงอัตปือ ได้รับบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งสงครามในประเทศลาวยุติ

สร้างรอยแผลลึกทั้งกาย และในใจแก่นักรบทั้งสองฝ่าย ที่รอให้ลบเลือนไปตามกาลเวลา...




ระหว่างทาง มีท่อประปาขนาดใหญ่ที่ทางการลาวได้เตรียมก่อสร้างนำน้ำจากอ่างเก็บน้ำบนภูเพียงบอละเวน ลงไปสู่ชุมชนข้างล่างได้ใช้อีกด้วย



น้องเหลืองไกด์ลาวประจำรถ ยังได้เล่าตำนานเรื่องท้าวบาเจียง ซึ่งผูกพันกับสถานที่ต่างๆ ในแขวงจำปาสัก และสถานที่กำลังไปเที่ยวชมนี้...

...กาลครั้งหนึ่ง ท้าวบาเลียง พ่อท้าวบาเจียง หัวหน้าชาวข่าบนภูเขา มีอาชีพเป็นพรานไพร มีฝีมือขมังนักในการยิงหน้าเป้ง(เครื่องยิงศรคล้ายธนู) และด้วยฝีมือนี้ ทำให้ท้าวบาเลียงมีโอกาสได้ช่วยชีวิต ท้าวโอลาน เศรษฐีหนุ่มชาวลุ่มน้ำเมืองจามปา ซึ่งเดินทางมาค้าขายตามทางเกวียนที่วกวนบนภูเขา แล้วถูกเสือร้ายไล่ตะครุบ หนีตายมาพบท้าวบาเลียง ผู้ใช้หน้าเป้งยิงถูกเสือจนเผ่นเข้าป่าไปช่วยชีวิตเศรษฐีหนุ่มไว้ได้ทันท่วงที

เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความซาบซึ้งทั้งน้ำใจและสำนึกบุญคุณให้เกิดแก่เศรษฐีโอลาน จนเกิดความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับชาวป่าอย่างท้าวบาเลียง ได้ผูกแขนเป็นเสี่ยวฮักเสี่ยวแพงกัน ให้สัจจะแก่กันว่า จะฮักกันแพงกัน จะช่วยเหลือกันตลอดไป แม้มีลูกเป็นชายหญิงก็จะแต่งดองกันเพื่อสัมพันธภาพอันยืนยง

ต่อมา ท้าวบาเลียงได้ลูกชายคือ ท้าวบาเจียง ส่วนเศรษฐีโอลานก็มีลูกสาวคือ นางมะโลง (นางมะโรง) เด็กทั้งสองได้รู้จักกัน และรักกันหวังจะได้อยู่เป็นคู่เคียงดังคำที่ผู้ใหญ่พร่ำบอกมาแต่เล็กแต่น้อย จนเติบใหญ่เป็นหนุ่มสาว

แต่แล้ว เมื่อเศรษฐีโอลานได้รู้จักขุนง่ามหมื่นหาญ ขุนนางเมืองจามปากับลูกชาย และลูกชายของท่านขุนก็มีท่าทีชอบพอ ติดใจในความงามของนางมะโลง ความคิดของโอลานจึงแปรเปลี่ยน

นอกจากความอยากได้ลูกเขยเป็นเจ้าขุนมูลนาย ให้ลูกสาวมีฐานะทางสังคมสูงส่งแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐีโอลานรังเกียจท้าวบาเจียง ก็คือ ความที่ท้าวบาเจียงเป็นชาวข่าอยู่บ้านป่าผาดอย รู้จักแต่หาของกินตามธรรมชาติจับสัตว์ป่าล่าสัตว์ดงดำรงชีวิต หารู้จักการทำมาค้าขายสั่งสมทรัพย์สมบัติ อำนาจบารมีแต่ประการใดไม่

ในความรู้สึกของเศรษฐีโอลาน หากลูกสาวได้เป็นเมียเจ้านาย ย่อมทำให้พ่อแม่มีหน้ามีตาในสังคมขึ้นมาอีกโข ฐานะทางสังคมย่อมสูงขึ้นทั้งครอบครัว

เมื่อถึงเวลาที่หนุ่มสาวจะต้องแต่งงานกันตามสัญญา เศรษฐีโอลานจึงสร้างเงื่อนไขขึ้นเพื่อบีบให้ท้าวบาเจียงพ้นจาก โดยเรียกค่าสินสอดเป็นเงินขัน เงินฮาง ช้าง ม้า วัว ควาย เหล้าไห ไก่ต้ม ข้าทาสชายหญิง ทั้งหมดอย่างละร้อย

แน่นอนว่าของเหล่านี้ขุนจามปาหาได้ไม่ยาก แต่ท้าวบาเจียงมีปัญญาหาได้เพียง เหล้าไห ไก่ต้มอย่างละร้อยเท่านั้น ก็แห่แหนมา ถึงเมืองคันเกิ่งก็หยุดพัก เศรษฐีโอลานจึงวางแผนให้คนของตนเอาโลงศพไปตั้งบนภูเขา แล้วทำทีร้องไห้ร้องห่มไปที่ที่พวกท้าวบาเจียงพักอยู่ ทำเป็นโศกเศร้าเสียใจสะอึกสะอื้นให้ท้าวบาเจียงสงสัย

ครั้นท้าวบาเจียงไต่ถามเอาความ คนเหล่านี้ก็ทำท่าปริ่มว่าจะขาดใจอาลัยถึงนางมะโลงซึ่งได้ฆ่าตัวตายไปเสียแล้ว พลางชี้ให้ดูโลงศพบนภูเขา ท้าวบาเจียงเห็นดังนั้นก็เสียใจมากจึงเทเหล้า เทไก่ทิ้งจนหมด ภายหลังมดปลวกมากินและสร้างรังขึ้นจึงกลายเป็นภูเขาชื่อ ภูส่าเหล้า ภูกองไก่ แล้วตัวท้าวบาเจียงเองก็กลั้นใจตายกลายเป็นภูบาเจียง

ส่วนนางมะโลงได้ยินดังนั้นก็วิ่งกระเจิดกระเจิง ซมซานขึ้นไปบนภูเขาที่พ่อนำโลงศพไปตั้งหลอกท้าวบาเจียง ขาดใจตายใกล้โลงที่พ่อทำไว้นั่นเอง จึงเรียกชื่อภูมะโลงสืบมา

ภูบาเจียงกับภูมะโลง เป็นภูเขาสองลูกที่อยู่ตรงกันข้ามกัน มีแม่น้ำโขงกางกั้น ภูบาเจียงนั้นอยู่ทางฝั่งซ้ายด้านเมืองปากเซ ส่วนภูมะโลงนั้นมีสันฐานเป็นรูปนางนอนอยู่ฝั่งขวาด้านเมืองโพนทอง และทอดยาวไปถึงเมืองจำปาสัก มีภูเขาหลายลูกซ้อนกันเป็นหลั่น เช่น ภูเก้า หรือภูจำปาสัก ที่มีปราสาทวัดภูตั้งอยู่ เป็นภูเขาที่มียอดคล้ายนางเกล้าผมมวยจึงเรียกชื่อ ภูเก้า

รักอมตะของนางมะโลงกับท้าวบาเจียงมีเล่าสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้...




กำลังเล่าเพลินๆ พอดีรถแล่นถึงทางเข้าน้ำตกตาดฟาน และหยุดเพียงเท่านั้น

สาเหตุมาจากฝนที่ตกเมื่อคืนนี้ ทำให้ถนน "ลาดยางหมด"(หมดทางลาดยาง) กลายเป็นแอ่งโคลน ซึ่งผู้จัดเกรงว่าหากนำรถเข้าไปตามเส้นทางแล้ว น้ำหนักของรถที่มาก อาจทำให้ติดแอ่งโคลนบนถนนได้ จึงรบกวนให้ลูกทัวร์ลงเดินเท้าเข้าไปยังน้ำตกซึ่งอยู่ห่างราว 800 เมตร




ระยะทางลงเดินแค่นี้ เป็นเรื่องหมูๆ อยู่แล้วครับ หากคิดเปรียบเทียบกับระยะทางที่เคยเดินตามไม้หมอนรถไฟสายเหนือสำรวจอุโมงค์ห้วยแม่ลานจากสถานีผาคัน ที่ไกลกว่านี้หลายเท่า

ดังนั้น ผมขอลงเดินยืดเส้นยืดสายแก้เมื่อยกันหน่อย





เดินผ่านไร่กาแฟกันเลยล่ะครับ เพิ่งเคยเห็นต้นกาแฟอย่างใกล้ชิดก็คราวนี้แหละ จนกระทั่งผ่านด่านเก็บปี้ แล้วรอกันตรงร้านค้าที่นั่น

ส่วนพวกที่ตามมาภายหลังค่อนข้างได้เปรียบ เพราะผู้จัดทัวร์ โทรฯ ติดต่อกับเจ้าของรถขาประจำพาเข้าน้ำตกได้พอดี เลยยืนกันในรถไม่ต้องเมื่อยขาเดิน




หลังจากพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ก็เดินผ่านร้านค้าเข้าสู่ตัวน้ำตก ซึ่งอยู่ในตาดฟาน รีสอร์ท เข้าใจว่าคนไทยเป็นเจ้าของด้วยสิ



พอมาถึงตัวน้ำตกแล้ว รู้สึกแปลกตาดี เพราะกลายเป็นว่าตัวน้ำตกจากมุมมองด้านบนตกลงสู่หุบผาข้างล่าง

ไม่เหมือนที่เคยเจอจนชินตา ซึ่งใช้วิธีแหงนดูจากข้างล่างสู่ด้านบนน้ำตกครับ




พยายามเล็งหาจุดเหมาะๆ ที่เห็นตัวน้ำตกได้ชัดๆ ก็มีเพียงเท่านี้เอง

ไกด์ลาวบอกว่า น้ำตกตาดฟานมีความสูงร่วม 200 เมตร เข้าอันดับสูงที่สุดของเมืองลาว และเคยเป็นฉากประกอบในหนังฝรั่งเรื่อง Avatar อีกด้วย

จากภาพถ่ายที่มักจะได้เห็นเกี่ยวกับน้ำตกแห่งนี้ ช่างภาพต้องปีนลงไปบริเวณด้านล่างน้ำตก แต่เส้นทางไม่มีราวกั้น แถมมีฝนตกทั้งคืนอีกด้วย

สรุปว่าตอนนี้ ไม่ควรเสี่ยงปีนลงไปด้านล่างน้ำตกครับ




ภาพ "ที่ละนึก" จากน้ำตกตาดฟาน



นางแบบจำเป็น ขณะพักเหนื่อยเอาแรงก่อนครับ



ขออนุญาตเจ้าของรีสอร์ทเข้าไปเก็บภาพถ่ายที่แขวนไว้โชว์ ใจดีมากๆ เลยครับ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม เขาถึงติดใจน้ำตกอย่างมากมาย จนขอสัมปทานจากทางการลาวมาตั้งรีสอร์ทที่นี่

คงมาจากบรรยากาศที่บริสุทธิ์ ไม่มีมลภาวะมากมายจากนักท่องเที่ยวที่ไร้ระเบียบอย่างในบ้านเราก็ได้




ย้อนกลับมายังบริเวณร้านค้าด้านนอกน้ำตกกันอีกครั้งหนึ่ง

แน่นอนครับ สินค้า OTOP ที่ขึ้นชื่อที่นี่เห็นจะไม่พ้นกาแฟ และชา ทั้งตากและคั่วบดเอง นำเสนอให้ลองชิมฟรีๆ โดยแม่ค้าชาวเวียตเกียต (ชาวเวียตนามที่เกิดนอกแผ่นดินแม่) และชาวลาว




ควักเงินเพื่อจะซื้อกาแฟคั่วบดฝีมือชาวบ้านสักสามถุง แต่พอล้วงเงินในกระเป๋าดูแล้วนี่สิ กลายเป็นแบ๊งค์ใบละ 500 บาท คงรับเงินทอนกันเป็นฟ่อนแน่ๆ

เลยตัดใจซื้อเท่ากับจำนวนเงินย่อยที่อยู่ในกระเป๋า คือแค่ถุงเดียวเท่านั้นครับ แม่ค้าคงบ่นตรึม...



ช่วงขากลับมาขึ้นรถทัวร์ ค่อนข้างสบายหน่อย โดยผู้จัดทัวร์ได้นำรถบรรทุกเจ้าประจำมาส่งยังถนนใหญ่โดยไม่ต้องเสียเวลาเดิน

แถมยังบอกว่า เราเป็นผู้โดยสารระดับ วีไอพี.จริงๆ นอกจากจะดูเหมือนบรรดาคนงานขึ้นรถไปตัดอ้อยแล้ว รถคันนี้เพิ่งขนวัวไปส่งที่ตลาด หากได้กลิ่นวัวขอได้ทำใจเผื่อไว้ด้วย


สำหรับน้ำตกตาดเยือง และน้ำตกแห่งอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกันนั้น เนื่องจากเส้นทางล้วนอยู่ในสภาพค่อนข้าง "เละ" จากฤทธิ์ของฝนที่ตกมาตอนกลางคืน

เลยจำใจต้องตัดออกจากรายการ เอาเวลาไปพักผ่อนที่อุทยานน้ำตกผาส่วมกันดีกว่า


จบตอนที่สี่...




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2555
0 comments
Last Update : 6 กรกฎาคม 2555 22:31:56 น.
Counter : 3899 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


owl2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add owl2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.