กันยายน 2554

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
นั่งรำพึง..ว่าน่าสงสาร
ที่จะเขียนต่อไปนี้ ค่อนข้างแน่ใจเลยว่าจะทำให้หลายๆคนไม่พอใจ แต่อ่านblogของหลายๆคนในพันทิพมาหลายปีมาก..อ่านแล้วก็ให้รู้สึกอย่างนี้ทุกที คราวนี้ออกความเห็นให้สาธารณชนรู้บ้างดีกว่า..หรือไม่ดี

อ่านเรื่องราวของหลายๆคนที่แต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ต่างแดน แล้วก็กลายมาเป็นแม่บ้าน อ่านแล้วให้รู้สึกสงสารว่าไม่น่าจะคิดสั้นอย่างนั้นเลย คิดสั้นอย่างไร ส่วนตัวไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการตื่นมาทำกับข้าว ปรนนิบัติสามี ทำงานบ้าน แล้วหมดไปวันๆ จะทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขได้อย่างไร มันให้รู้สึกว่าชีวิตมันไม่คับแคบไปหน่อยหรือ ให้สงสัยว่าทำไมไม่มีความรู้สึกอยากทำอะไรให้ได้เต็มความสามารถของตัวเอง..ที่มากไปกว่าการทำงานบ้าน ทำกับข้าว และซักผ้า

ส่วนตัวคิดว่าชีวิตนึ้ที่เกิดมา มันมีอะไรให้เรียนรู้และค้นหามากไปกว่าการปรนนิบัติผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยนะที่จะไม่ทำอะไรให้แก่กันเลย แต่การที่ต้องถึงขนาดอุทิศชีวิตทั้งชีวิตและเวลาทั้ง24ช.ม.เพียงเพราะผู้ชายคนหนึ่ง..คิดว่ามันเป็นอะไรที่มากเกินไป หรืออย่างบางคนใช้เวลาทั้งวันเพียงเพื่อรอสามีกลับบ้าน คิดว่า..เป็นอะไรที่น่าเศร้าน่ะ คนเราทุกคนมีเวลาเท่ากัน 24 ช.ม. น่าที่จะทำอะไรที่ได้ประโยชน์มากกว่านั้น ไม่ว่าจะการเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมให้กับตัวเอง การทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและ/หรือเป็นการเสริมรายได้ การกระตุ้นตัวเองทางกายหรือทางใจหรือทางสมองด้วยกิจกรรมอื่นๆและต่างๆ

คนทุกคนมีทางเลือก ถ้าคนคนหนึ่งเลือกและพอใจแบบนั้น มันก็ย่อมเป็นเช่นนั้น สำหรับเราเราคิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น..ในชีวิต



Create Date : 11 กันยายน 2554
Last Update : 11 กันยายน 2554 1:58:31 น.
Counter : 829 Pageviews.

30 comments
  
:Dอิอิ.......นั้นหละค่ะคือทางที่เขาเลือก เลือกที่จะทำเพื่อคน คนนึ่ง สิ่งที่เขาได้ทำเขาก็คิดว่า มีความสุขแล้วที่ได้ทำเพื่อคนที่เขารัก
โดย: ponsaviman วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:2:44:37 น.
  
เราเองก็ฝันไว้แค่นั้น ฝันว่าจะเจอคนดีๆที่รักเราและเราก็รักเขา และสร้างครอบครัวของเราขึ้นมา เราอยากอยู่บ้านดูแลบ้าน สามี และ ลูก ทำอาหารอร่อยๆที่เขาชอบให้เขาทาน ดูแลบ้านของเราให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อสามีกลับมาเหนื่อยๆจะได้รู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย มีเวลาให้กันและกัน ชีวิตนี้เราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า การมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่มันเป็นไปได้ยาก เพราะสมัยนี้ จะหาผู้ชายดีๆที่มีความรับผิดชอบได้ยาก ประกอบกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ผู้หญิงจึงจำเป็นต้องทิ้งลูกให้อยู่ในความดูแลของคนอื่น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระสามี และเพื่ออนาคตทางการศึกษาของลูก เราคิดว่า แต่ละคน เขาได้พยายามทำชีวิตของเขาให้ดีที่สุดแล้ว เท่าที่เขาจะทำได้ เด็กคืออนาคตของชาติ สังคมจะดีได้ เริ่มต้นที่ครอบครัว
โดย: แค่ผู้ชายดีๆสักคนยังหาไม่ได้เลย IP: 71.203.19.77 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:3:40:15 น.
  
เห็นด้วยกับเจ้าของบล็อกค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมบางคนคิดว่าตัวเองโชคดีที่สามีไม่ให้ทำงาน วันนี้เขารักเรา บอกว่าเลี้ยงดูเราได้ ให้เราปรนนิบัติเขาอย่างเดียว แต่ถ้าวันข้างหน้าเขาเปลี่ยนไป ไม่รักเราแล้ว แล้วเราจะเอาอะไรกินล่ะคะ เรารู้จักแม่บ้านบางคนที่สามีมีคนใหม่ แต่ฝ่ายหญิงไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าไปหาทนายฟ้องหย่า เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับสามีมาไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร ภาษาก็ไม่ดี จึงไม่กล้าหย่าเพราะไม่มีที่ไป
โดย: ผ่านมาอ่าน IP: 95.115.29.253 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:3:46:10 น.
  
คุณซีย์ บางคนเขาคิดว่าเขาโชคดีถูกลอตโต้นะ ไม่ได้คิดว่า ตัวน่าสงสาร เพราะเขาไม่ได้คิดว่าศักยภาพตัวเองมีมากกว่าชำระล้างความสกปรกอันเกิดจากฝุ่น หรือคราบไคลของผู้ชายคนหนึ่ง เขาคิดว่าดีที่สุดแล้วชีวิตที่เป็นอยู่ เหมือนที่เขาว่า. Ignorant is a bliss ไง
โดย: Blissful IP: 98.199.17.239 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:3:47:30 น.
  
สวัสดีค่ะคุณชีส

อาจจะเรียกได้ว่า เค้าชอบและรักที่จะทำอย่างนั้นมากกว่าค่ะ


โดย: bear hunt วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:3:50:05 น.
  
เราไม่ได้เป็นแม่บ้าน แต่เราว่าถ้าคนที่เป็นเขามีความสุขและเต็มใจทำ เค้าก็ไม่ใช่คนที่น่าสงสารหรอกค่ะ แต่ถ้าเค้าไม่อยากเป็นแม่บ้านแต่จำเป็นต้องทำ อย่างนั้นก็น่าสงสารอยู่แหล่ะ
โดย: จอย IP: 27.32.139.253 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:5:45:41 น.
  
คนทุกคนมีทางเลือก ถ้าคนคนหนึ่งเลือกและพอใจแบบนั้น มันก็ย่อมเป็นเช่นนั้น สำหรับเราเราคิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น..ในชีวิต

เห็นด้วยค่ะ แต่ล่ะคนมีทางเลือก เลือกและพอใจที่จะเป็นแบบไหน แต่ล่ะคนเหมาะกับรองเท้าไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าแม่บ้านจะไม่ได้ไปทำงานนอกบ้าน ก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ไร้สาระที่บ้านซะทีเดียว ก็คงเป็นบางคนที่เวลาว่างมากเกินเท่านั้น
โดย: pixp วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:7:49:20 น.
  
คงแล้วแต่ช่วงเวลาและโอกาสของแต่ละคนด้วยมั๊งคะ คนเราไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา เราต้องรับผิดชอบชีวิตของเราได้นะคะถึงจะดี
โดย: justkitty IP: 203.131.209.210 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:10:53:08 น.
  
เรื่องน่าสนใจดีค่ะ เลยแวะมาร่วมด้วย
ก่อนมาเมืองนอกก็ทำงานเหมือนคนส่วนมากค่ะ พอแต่งงานก็วางแผนอีกว่าจะทำอะไรบ้าง
มาถึงที่นี่แรกๆ ก็ทำงานตลอดค่ะ
แต่พอมีลูกก็ต้องเลี้ยงเองค่ะ งานหลักตอนนี้เลี้ยงลิงสองตัว
ดูแลเด็กๆ เป็นอาชีพหลัก ตั้งใจว่าจะมีก็ตั้งใจดูแลให้ดีค่ะ
ส่วนงานบ้านอื่นๆ ก็ทำเหมือนคนทั่วๆไป แบ่งกันทำกับสามี
กับข้าวหลักๆ ทำให้เด็กๆ และตัวเอง สามีไม่อยากรบกวนมาก มีบางครั้งที่ขอให้ทำอะไรง่ายๆ ให้กิน
ระหว่างสามีกับตัวเอง ดูแลบ้านดูแลกันด้วยน้ำใจ ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของใครที่ต้องมารับใช้กัน
ก่อนแต่งงานก็บอกสามีไว้แล้ว ฉันไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนตามแบบฉบับหญิงไทยที่คุณได้ยินมานะ

ตอนนี้รอให้เด็กๆ เข้าเรียนก็เดินตามฝันตัวเองต่อเหมือนกันค่ะ
แต่ส่วนตัวแล้วดิฉันชื่นชมคนที่ทำหน้าแม่บ้านได้ดีนะคะ
เพราะตัวเองไม่เก่ง ไม่ว่าจะกับข้าว หรือการจัดบ้านใดๆ
เห็นด้วยกับข้างบนค่ะ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ทำอะไร ขอให้รับผิดชอบชีวิตได้ก็พอ
โดย: อาการเซ็งระยะสุดท้าย IP: 68.151.12.183 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:12:51:36 น.
  
หลากหลายที่มาหลากหลายความคิดค่ะ
บางคนยังไม่มีโอกาสได้ทำตามที่ตัวเองฝันไว้
บางคน สามีพอใจและตัวเขาเองก็พอใจที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น
และก็เห็นด้วยกับหลายคนที่คิดว่า ไม่ว่าจะเป็นสภาพแบบไหนถ้าเขารับผิดชอบชีวิตเขาได้ ก็ไม่น่ห่วงอะไร หรือว่า น่าสงสาร
และก็เห็นด้วยกับหลายคนที่ให้ความสำคัญกับลูก เพราะเด็ก เป็นอนาคตของโลก ดูแลเขาในช่วงห้าปีแรกให้ดีที่สุดให้เป็นคนดีของครอบครัวและสังคม มันมีค่ายิ่งกว่า หาเงินได้เป็นร้อยล้านพันล้าน หรือน่าภูมิใจมากกว่ามีแม่ที่เก่งอีกนะคะ อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองค่ะอย่างที่บอกคนเรามีที่มาต่างกัน เราคงไปตัดสินหรือคิดแทนคนอื่นเขาได้ไม่ทั้งหมด ไม่งั้นเหนื่อยแย่เลย
แล้วก็ให้เข้าใจว่าทำไมฝรั่งถึงให้ความสำคัญกับเด็กมากๆๆ อย่างน้อยที่เห็นชัดเจนคือ ความแตกต่างทางสังคมของไทยกับฝรั่ง การสอนให้เด็กรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตัวเองการเคารพและยอมรับทางสังคม อย่างน้อยสังคมเขาก็น่าอยู่และมีมาตรฐานอันนี้ไม่ได้ดูถูกสังคมไทยนะคะแต่การปลูกฝังทางความคิดทางสังคมที่แตกต่างทำให้การเมืองและสังคมก็แตกต่าง ส่วนนี้คงไม่เกี่ยวกับนิสัยส่วนตัวเวลาอยู่บ้านแต่อย่างน้อยมันมีผลเวลาที่เขาต้องคิดและทำเพื่อสังคมค่ะ
โดย: ร่วมด้วยช่วยคิด IP: 80.101.70.17 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:14:27:46 น.
  
อ้อ อีกอย่างค่ะ ในมุมกลับคนที่เขาใช้ชีวิตแบบนี้
เขาก็อาจจะมองคนที่ต้องไปทำงานทุกวันต้องตื่นแต่เช้าต้องใช้ชีวิตแบบมีกรอบ ว่าน่าสงสารบ้างก็ได้
อย่างที่บอก ชีวิตมีสองมุมค่ะ
โดย: ปล. IP: 80.101.70.17 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:14:35:32 น.
  
เมื่อก่อนเป็นหลายบทบาทค่ะทั้งคนทำงานนอกบ้าน เป็นแม่บ้าน และเป็นแม่ของลูกค่ะชีวิตมันชั่งวุ่นวายดีแท้ ตอนนี้ลาออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกในช่วงวัยสำคัญของชีวิตเขา อยากให้เขาได้เติมเต็ม และมีสุขภาพจิตที่ดี โตขึ้นลูกจะได้ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต เราเลือกบทบาทที่สำคัญที่สุดคือความเป็นแม่ค่ะ และเราก็มีความสุขที่สุดที่ได้ทำเพื่อลูก สำหรับสามีนั้นตอนนี้รับบทเป็นพ่อบ้านโดยมิได้ตกบกพร่องเลยค่ะ อิอิ
โดย: ดอกมะลิ IP: 182.53.122.17 วันที่: 11 กันยายน 2554 เวลา:16:11:43 น.
  
จริงๆแล้วตอนที่เขียนเนี่ย ส่วนนึงนึกถึงผู้หญิงหลายๆคนที่รู้จักที่แบบแต่งงานมาอยู่เมกา แล้วก็เลือกที่จะเป็นแม่บ้าน ไม่มีลูก ที่รู้จักนั้นมีการศึกษาดีด้วย อย่างจบโท แล้วไม่ใช่โทในเมืองไทยนะ โทในต่างประเทศ อย่างสองสามคนที่รู้จักจบMBAมา..จากมหาลัยระดับต้นๆด้วย แต่ก็เลือกที่จะอยู่บ้าน เห็นแล้วเสียดายความรู้ที่เรียนมาและศักยภาพที่มีอยู่จริงๆๆๆๆๆ

น่าดีใจที่มีหลายๆคนเข้ามาแชร์ความคิดเห็น หลายๆมุมเราเองก็ไม่ได้นึกถึง....
โดย: Overseas วันที่: 12 กันยายน 2554 เวลา:8:23:15 น.
  
คุณมีสิทธิ์จะคิดและสงสัยได้เสมอแต่ควรเปิดมุมมองให้กว้างอีกหน่อย
ทุกคนล้วนมีเหตุผลส่วนตัวในการตัดสินใจมาอยู่ต่างแดน
เราเรียนจบโทสองใบทั้งในประเทศและต่างประเทศมีตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคง
แต่วันนึงก็ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเป็นแม่บ้านอยู่ชนบท
ไม่มีลูกเพราะมีปัญหาสุขภาพและไม่คิดดิ้นรนอะไรด้วย
ส่วนความรู้และศักยภาพยังได้ใช้อยู่เสมอเพียงแต่เปลี่ยนจากโต๊ะทำงานในออฟฟิศมาเป็นที่บ้าน
เรามีรายได้เลี้ยงตัวเองไม่ต้องพึ่งพาสามี ออกไปพบปะเพื่อนฝูงและสัมผัสสังคมภายนอกบ่อย
ติดต่อญาติมิตรที่เมืองไทยเป็นประจำทำให้ไม่รู้สึกเหงาหรือว้าเหว่

เราพอใจและมีความสุขกับวิถีชีวิตที่พอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อแก่งแย่งแข่งขัน
ทำงานเหนื่อยมาตลอดยี่สิบกว่าปีทุ่มเทให้องค์กรจนเครียดและป่วย
สุดท้ายเหลือแต่ตัวเองที่ต้องทนทรมานกับโรคภัย
พอมาอยู่ต่างแดนสุขภาพดีขึ้นทุกด้านทันตาเห็น
ไม่รวยไม่โด่งดังมีชื่อเสียงเหมือนเดิมแต่เราได้ชีวิตของตัวเองคืนมา
หลุดพ้นธนาคารห่วยๆ ทางสังคมเสียที ถอดหัวโขนแล้วสบายใจจริงๆ


โดย: มุมที่แตกต่าง IP: 81.253.18.247 วันที่: 12 กันยายน 2554 เวลา:17:44:46 น.
  
เรามีความเห็นไม่แตกต่างจาก...คุณมุมมองที่แตกต่าง...เลย

เราจบตรีวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งจากเมืองไทย จบโทวิศวกรรมศาสตร์จากอเมริกา เคยทำงานเป็นหัวหน้าแผนกก่อสร้างในองค์กรที่มีชื่อเสียงมากว่าสิบปี

วันหนึ่งจับผลัดจับพลูมาเจอคนที่รักเรามากที่สุด (ไม่นับครอบครัวของเรา) และด้วยหน้าที่การงานของเธอ จึงต้องย้ายติดตามเธอข้ามน้ำข้ามประเทศอยู่บ่อยๆ ทำให้โอกาสของเราที่จะสมัครงานประจำมีน้อยมาก แต่เราก็ไม่ละทิ้งโอกาส เราเลือกรับใช้ Uncle Sam เราไม่ได้ทำงานประจำ (เป็นแม่บ้านค่ะ) แต่ก็ได้รับโอกาสดีๆ จาก Uncle Sam อยู่เสมอ ส่งเราไปเรียนหนังสือเล่นๆ (ต้องบอกว่าเล่นๆ) พร้อมรับเงินเดือนแบบสบายๆ...ที่สำคัญ Uncle Sam ส่งตัวเรากลับไปทำงานเป็นล่ามที่เมืองไทยถึงสามครั้ง งานนี้เป็นงานระดับชาติเลยทีเดียวค่ะ

เราว่า...มีเพื่อนๆ บล็อกหลายคนที่มีการศึกษาสูง เคยทำงานดีๆ แต่ต้องเลือกเส้นทางชีวิตอีกแบบหนึ่ง แต่บังเอิญคุณไม่ได้สัมผัสชีวิตของเพื่อนๆ เหล่านั้นเอง



ชีวิตคนเรา...มีทั้งที่...เลือกไม่ได้และไม่ได้เลือกค่ะ

โดย: บังเอิญผ่านมา IP: 24.214.72.187 วันที่: 12 กันยายน 2554 เวลา:23:02:15 น.
  
^^เข้ามาอ่านเรื่องนี้แล้วดีจังค่ะ ได้เห็นหลายๆมุมมองที่น่าสนใจเยอะแยะเลย
โดย: peterpancake วันที่: 14 กันยายน 2554 เวลา:11:30:26 น.
  
ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งค่ะที่อยู่เฉยๆ และแฟนดูแลเรื่องเงิน แต่ก็ไม่ได้น่าสงสารนะคะ กลับดีซะอีกค่ะ ดิฉันไปไหนมาไหนตามที่ต้องการได้ ทำทุกอย่างตามที่ต้องการพร้อมทั้งดูแลแฟนไปในเวลาเดียวกันไม่ขาดตกบกพร่อง แฟนไม่เคยว่าเลยค่ะ เค้าสนับสนุนทุกอย่างที่เราอยากทำ และเราไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกันเสมอเมื่อมีโอกาส ดิฉันมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้มากค่ะ มีความสุขเมื่อได้ทำให้คนที่เรารักมีความสุข ในทางกลับกันดิฉันกลับมองว่าคนที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำด้วยความจำเป็นเพื่อต้องจ่ายบิลทุกๆ เดือนนั้น น่าสงสาร บางคนไม่มีเวลาให้แม้กระทั่งตัวเองหรือคนที่ตัวเองรักค่ะ แต่ถ้าบางคนได้งานที่ดี ทำแล้วมีความสุขอันนั้นดิฉันก็ยินดีกับเขาด้วยค่ะ แต่แค่อยากจะบอกว่า ไม่อยากให้คุณ จขกท สงสารหรือเวทนา ใครๆ ตราบเท่าที่คุณยังไม่รู้จักเขาดีพอค่ะ ชีวิตของคนเรามีทางต่างกัน มีความสุขและความทุกข์ในมุมของตัวเอง อย่าสงสารใครเลยค่ะ ให้มองที่ตัวเราเองและยินดีกับคนที่เขามีความสุขดีกว่า เพราะคนอืนที่เขามองคุณเขาอาจจะสงสารคุณอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งดิฉันว่าคุณคงจะไม่ชอบความรู้สึกที่มีคนมาเวทนาคุณนะคะ เปิดใจให้กว้างสักนิดค่ะ
โดย: bubbles IP: 180.180.215.190 วันที่: 24 กันยายน 2554 เวลา:21:38:31 น.
  
เห็นด้วยกับคุณ bubbles อย่างมากค่ะ แต่ก่อนดิฉันทำงานห้างมีวันหยุดแค่ อาทิตย์กับจันทร์ ทุกๆครั้งที่ฉันทำงานอยู่และเห็นลูกค้า ที่มาซื้อของเป็นครอบครัวหรือแม่มากับลูกตัวเล็กๆ ดิฉันได้แต่อิจฉา ทำไมเราไม่เคยมีเวลาทำแบบนี้มั่ง วันๆต้องตื่นแต่เช้าแต่งตัวมาทำงงานตั้งแต่ 6 โมงเช้ากับอากาศหนาวๆ เลิกงานกับบ้านทำกับข้าว ชีวิตแต่ละวันวนเวียนอยู่แบบนี้ ไม่เคยมีเวลาให้ลูกกับสามี เพราะวันหยุดไม่ตรงกัน แต่ตัวเราต้องทำงาน เราจะอิจฉามากๆคนที่ไม่ได้ทำงาน อยู่บ้านเป็นแม่บ้าน ( และเขาเต็มใจและมีความสุขที่จะทำ ไม่ได้ไปเบียเบียนใคร ฉันคิดว่าคนที่อยู่บ้านเป็นแม่บ้าน สามีเขาคงเลี้ยงเขาได้ เขาก็เลยไม่ให้ภรรยาออกไปทำงานนอกบ้าน )
โดย: J^J IP: 120.145.20.214 วันที่: 11 ตุลาคม 2554 เวลา:11:18:18 น.
  
เข้ามาอ่านหลากหลายความเห็น เเละมองต่างมุม

ชิวิตคนเลือกเกิดไม่ใด้ เเต่เลือกทางเดินให้กับชีวิตตัวเองใด้ การเลือกทางเดินให้กับชีวิตตัวเองก็ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง บางคนก็ไม่มีทางเลือกให้เดิน บางคนก็มีทางเลือกให้เดินเยอะเเยะไปหมดจนเลือกทางเดินไม่ถูก ดิฉันเชื่อว่าการเลือกทางเดินให้กับชีวิตตัวเอง ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ ดวง โอกาศ วาสนาเเละกรรมเก่าด้วยค่ะ

ฝากความสวัสดีมาถึงพี่จู้ ในฐานะที่มีพี่สาวชื่อเหมือนกันด้วยนะคะ

ขอบคุณที่เเวะไปให้กำลังใจที่บล็อกค่ะ
โดย: Quel วันที่: 12 ตุลาคม 2554 เวลา:15:43:54 น.
  
แวะมาเยี่ยมเยียนและได้อ่านความเห็นหลายมุมมองดีๆ ไปด้วยนะคะ
โดย: วิสกี้โซดา วันที่: 27 พฤศจิกายน 2554 เวลา:11:32:35 น.
  
ขอบคุณที่ติดตามอ่านะคะ ดีใจนะคะที่เขียนบอกเจว่า อ่านแรกๆเห็นเจเขียนถึงคุณนายก็ไม่รู้ว่าเอ่ยถึงใคร แต่ตอนนี้พอจะเดาออก โหหห ปลื้มมาก อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก อิอิ

คุณนายคือชื่อที่พวกเราสามคนเรียกแม่ค่ะ เพราะชอบล้อเค้า แม่เจเสียเมื่อสองปีก่อน เจบินไปประชุมที่ฝรั่งเศสก่อนวันแม่ แต่ก็แอบส่งของขวัญก่อนบินและถึงแล้วโทรหาแม่วันแม่พอดี และโทรคุยกันทุกวันหลังจากนั้นสองวันแม่เสีย ล้มในห้องน้ำ ช๊อคค่ะ บินกลับทันที เหมือนใจจะขาด

ปกติเขียนบล๊อคก็เล่าเรื่องราวต่างๆนานามานานแล้ว เอาไว้ให้แม่อ่านบ้าง โทรเล่าเรื่องความเป็นไปของเราบ้าง แต่พอแม่เสียก็เลยเหมือนยังเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังเหมือนเดิม

เอ้ออออ เล่ามาซะยาวเลย จขกท อาจจะว่ามานจะเล่าทำไมเนี่ย แหะแหะ เขียนไปแล้ว ไม่ลบนะคะ ขอกดส่งเลย Have a Nice Day ค่า
โดย: jaysephine วันที่: 10 ธันวาคม 2554 เวลา:12:26:20 น.
  




อ้า... เอาข้าวปูปิศดารมาฝากค่ะ
โดย: โสมรัศมี วันที่: 23 มกราคม 2555 เวลา:18:14:13 น.
  
แวะมาชวนไปอ่านคนบ้านนอกเห่องานแต่งตัวเองจ้า ขอบคุณที่บล๊อคที่แล้วแวะไปอมยิ้มตามนะค๊า :)
โดย: jaysephine วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:0:17:25 น.
  
ปลื้มใจที่สุดกับเม้นต์ที่ว่า เจหน้าเหมือนคุณนาย ขอบคุณค่าขอบคุณมากมากมากมากมาก :)
โดย: jaysephine วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:19:24:56 น.
  
ขอบขนมไทยชิดไหนบอกได้เลยค่า เดี๋ยวหิ้วมาฝากเวลากลับบ้านนอก อันนี้พูดจริงนะ ไม่ได้โม้ :)
โดย: jaysephine วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:7:55:14 น.
  
ดอกลำดวนกับขนมกลีบลำดวนเหมือนกันเป๊ะเลยค่ะ คนทำมีฝีมือมากๆ
โดย: พิพพ์ วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:7:21:39 น.
  
สองวันก่อนเอาขนมไทยไปทำบุญที่วัดบ้านปู่กับย่ายังนึกถึงเลยค่าว่าติดขนมไทยเจ้าอร่อยอยู่ จะส่งให้ยังไงน๊า ^-^ อยากให้ลองชิมจริงๆนะคะ
โดย: jaysephine วันที่: 8 มีนาคม 2555 เวลา:15:08:06 น.
  
ถ้าเราเลือกได้ เราอยากแต่งงานมีครอบครัวค่ะ เวลาเราเห็นเพื่อนร่วมรุ่นมีลูกแล้ว เรายังอยากมีบ้างเลย แต่ถึงเราแต่งไป เราก็ยังต้องทำงานไปเรื่อยๆค่ะ งานเราต้องทำตลอดหยุดไม่ได้เลย ได้แต่คิดว่าเมื่อไรจะถึงตาเราก็ไม่รู้ อยากอยู่บ้านบ้าง
โดย: winter_peace วันที่: 8 มีนาคม 2555 เวลา:18:46:02 น.
  
ให้กำลังใจ สุขอยู่ที่เรามอง และพอ ถ้าสุข อยู่ในภาวะใดก็สุข ชีวิตเรา เลือกแล้ว ก็แค่ดำเนินไป
โดย: supersupy IP: 180.180.111.26 วันที่: 16 เมษายน 2555 เวลา:19:05:49 น.
  
แวะมาเยี่ยมบ้าง
เลยได้อ่านความเห็นหลากหลาย

ขอบคุณที่ชมนะคะ
จริงๆทำอาหารไม่เก่งอะไรหรอกค่ะ
ทำไปตามสัณชาติญาณปาก
ปากรับรสบอกว่าอร่อย ก็แปลว่าปรุงรสนั้นถูกแล้ว
โดย: little mouse in big apple วันที่: 24 เมษายน 2555 เวลา:1:04:38 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Overseas
Location :
กรุงเทพ  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



อยู่เมืองที่ใครตั้งชื่อไว้ว่า เมืองแดด คนตั้งเขาไม่ได้ล้อเล่นนะ หน้าร้อนนี่ แดดมันร้อนจริงๆ เป็นเมืองไทย ตากผ้าสบายเลย

อยู่มาตั้งนาน ก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่แน่ใจว่าเพราะโชคชะตาหรือความขี้เกียจ

ปล. อายุที่เห็น..เป็นอายุที่อยากอยู่ถึง(ไม่พูดเล่นนะ) พอดีมันสุดแค่ 100 เลือกเลข99 ดูไม่เลว อย่างน้อยก็สวยดี