Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
8 วิธีลดความเครียดให้แก่เด็ก











ใน
โลกยุคปัจจุบันนี้เราต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดความเครียดอยู่
บ่อยครั้ง หากเรารู้ตัวว่าเกิดความเครียดขึ้นแล้วก็ควรรีบหาทางแก้ไข
ความเครียดในผู้ใหญ่อาจจะเข้าใจได้ว่าตนเองกำลังเกิดความเครียดขึ้นมาแล้ว
เมื่อเรามีอาการเจ็บป่วยขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นปวดศีรษะ ปวดท้อง
หรือใจสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุ.....

















       อาการ
เหล่านี้แสดงถึงความเครียดที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น
แต่หากความเครียดนี้เกิดขึ้นเป็นเวลายาวนาน
จะส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย
เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยเกิดโรคเรื้อรัง


       เช่น โรคเบาหวาน ไทรอยด์ โรคตับฯลฯ เพราะเมื่อเราเกิดความเครียด
ต่อมหมวกไตจะผลิตฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายสามารถทนต่อความเครียดออกมามาก
ขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอลงจากความไม่สมดุลของระดับฮอร์โมน
เกิดการเสื่อมของร่างกายก่อนวัยอันควร หรือที่เรียกว่า แก่ง่าย ตายเร็ว
ซึ่งการเผชิญกับความเครียดของผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่สามารถรับรู้ความเครียดและหาหนทางแก้ไขได้ด้วยตัวเอง
อาจโดยการพักผ่อนหย่อนใจ หรือออกห่างไปจากสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด

แต่
สำหรับเด็กล่ะคะ เมื่อเด็กเกิดความเครียดขึ้น
เด็กจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากความเครียดได้ ดังนั้น
เราจะทราบได้อย่างไรว่าเด็กเกิดความเครียด
และเราจะมีวิธีช่วยเหลือลูกรักได้อย่างไรให้พ้นจากความเครียด


"หนูปวดท้อง หนูไม่อยากไปโรงเรียน" ทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน น้องเอ อายุ 3 ขวบ จะนั่งลงและอาเจียนบ่นไม่อยากไปโรงเรียน

"หนูทำไม่ได้ หนูทำไม่ได้ หนูกลัวทำผิด" น้องบี อายุ 4 ขวบครึ่ง พูดไป ร้องไห้ไป ขณะที่ทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์กับคุณครู


       คำพูดเหล่านี้ของเด็กเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงว่าเด็กเริ่มมี
อาการของความเครียดเกิดขึ้นแล้ว
เราควรจะมาทำความรู้จักกับความเครียดของเด็กกันว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้
ลูกเครียด

พ่อแม่ทราบได้อย่างไรว่าลูกเครียด

ความ
เครียด คือ ความกังวล ไม่สบายใจเมื่อเด็กต้องเผชิญต่อปัญหา
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านอารมณ์ ปัญหาด้านความต้องการ
ปัญหาด้านการปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม
เพื่อให้ทนอยู่ในสังคมหรือในสภาวะแวดล้อมนั้นๆ ได้
เมื่อเด็กต้องเผชิญต่อปัญหาจะเกิดการปรับตัวเพื่อลดความกังวลและความไม่สบาย
ใจที่เกิดขึ้น เมื่อปรับตัวไม่ได้ก็จะเกิดความเครียดขึ้น


       ทั้งนี้ ความเครียดนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ

* ความเครียดระดับต่ำ (Mild Stress) มีความเครียดน้อยและหมดไปในระยะเวลาภายใน 1 ชั่วโมง

* ความเครียดระดับกลาง(Moderate Stress) ระดับนี้มีความเครียดอยู่นานหลายชั่วโมงจนเป็นวัน

* ความเครียดระดับสูง (Severe Stress) ความเครียดระดับนี้จะอยู่นานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปีได้ เช่นการตายจาก หรือการมีความเจ็บป่วยรุนแรง




อย่าง
ไรก็ตาม เมื่อเด็กมีความเครียด เด็กไม่สามารถบอกเราได้ว่า "โอ้ย!
หนูเครียด" "หนูไม่สบายใจ" หรือ "หนูกลุ้มใจ"
แต่เมื่อเด็กมีความเครียดเด็กจะแสดงออกในรูปของพฤติกรรมหลายๆ แบบ
ในเด็กเล็กจะมีอาการให้ผู้ใหญ่สังเกตเห็นได้ดังต่อไปนี้



       * ร้องไห้งอแงหงุดหงิด ไม่เชื่อฟังพ่อแม่จนกลายเป็นเด็กดื้อ


       * มีพฤติกรรมที่ผิดแปลก เช่น ดูดนิ้วมือ ดึงผม เช็ดจมูก


       * มีอาการปวดท้อง ปวดศีรษะ อาเจียน


       * นอนหลับยาก ตื่นนอนในเวลากลางคืน ละเมอเดิน ปัสสาวะรดที่นอน


       * บางคนอาจแสดงออกถึงความไม่มั่นใจในตนเอง ไม่กล้าแสดงออก เอาแต่ใจตนเอง


       * แยกตัวไปอยู่ตามลำพัง เก็บตัว และอาจมีอาการซึมเศร้า


       * เด็กมีลักษณะไม่นิ่ง บางคนอาจอาละวาดไม่ยอมหยุด ไม่มีเหตุผล


       * เด็กเริ่มโกหก นิสัยก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น จะพบในเด็กที่โตขึ้น


       * ในบางคนที่มีภาวะสมาธิสั้นอยู่แล้วจะทำให้มีอาการมากขึ้น
ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่มากระตุ้น
และวิธีการปรับตัวของเด็ก

แล้วความเครียดมีผลกระทบต่อเด็กอย่างไร

มนุษย์
เราสามารถปรับตัวและควบคุมให้ทนต่อความเครียดได้ในระดับหนึ่ง
โดยปรับให้จิตใจอยู่ในระดับที่สมดุล (Psychological equilibrium)
หรือเป็นปกติเหมือนกับคนทั่วไป แต่ถ้าความเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และปล่อยให้มีอยู่นานจนเกินไปเป็นเดือนเป็นปี ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกาย
จิตใจ และชีวิตความเป็นอยู่ได้


       สำหรับเด็กเล็ก
ความเครียดจะมีผลต่อจิตใจและอารมณ์ของเด็กเป็นอย่างมาก
ซึ่งพัฒนาการทางด้านอารมณ์ของเด็กเล็กจะมีความกลัวและความวิตกกังวลจะ
แสดงออกให้เห็นเราได้อย่างเปิดเผย


       ความเครียดส่งผลต่อร่างกายให้สร้างฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียด
(Cortisone) ที่ส่งผลให้สมองส่วน cortex
และพื้นที่สมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิด ความฉลาด สูญเสียไป
อาจกล่าวได้ว่า ความเครียดมีผลขัดขวางต่อการเรียนรู้ของเด็ก
อีกทั้งยังทำให้กลายเป็นคนก้าวร้าวหรือไม่มั่นใจในตนเอง
เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีผลทำให้บุคลิกภาพที่ดีเสียไป



ส่วนสาเหตุที่ทำให้เด็กเล็กเกิดความเครียด


ความเครียดนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ แนวคิดของจิตแพทย์
ฟรอยด์และอีริคสันมีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่าความรักความอบอุ่นและการ
เลี้ยงดูของพ่อแม่มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กวัยต่อมา
เด็กจะมีการพัฒนาความรู้สึกเชื่อมั่น ความไว้วางใจบุคคลรอบข้างหรือไม่
ขึ้นอยู่กับการได้รับการเลี้ยงดูที่อบอุ่นจากครอบครัว
ปัญหาสำคัญที่ทำให้เด็กเล็กเกิดความเครียด ได้แก่

ปัญหาสุขภาพ


       การที่เด็กมีสุขภาพไม่แข็งแรง ขาดอาหาร ขาดการออกกำลังกาย
พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเจ็บป่วยบ่อยๆ จะทำให้เด็กมีอารมณ์หงุดหงิด ร้องไห้
เอาแต่ใจตนเอง ไม่รู้จักรอคอย และก้าวร้าวต่อคนอื่น

การอบรมเลี้ยงดู

การเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมากเกินไป (Authoritarian Control)
พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเด็กให้อยู่ในวินัยอย่างเคร่งครัดไม่ยืดหยุ่น
หรือตั้งความคาดหวังกับลูกไปกว่าความสามารถของเด็กในวัยนี้ เช่น
คาดหวังว่าเด็กจะต้องสอบแข่งขันเข้าเรียนในโรงเรียนดังๆ ได้
หรือคาดหวังให้ลูกเล่นกีฬา เล่นดนตรีอย่างเป็นเลิศ
ถ้าลูกไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้พ่อแม่จะรู้สึกหงุดหงิด
บางคนพาลไม่พูดกับลูก ไม่ให้การดูแลเอาใจใส่อย่างที่เคยปฏิบัติมาก่อน
ก็จะส่งผลให้เด็กเกิดความเครียดขึ้นมา เด็กอาจแสดงออกโดยมีปัญหาการกิน
การพูด เช่น กลายเป็นเด็กที่อาจพูดติดอ่างได้

การเลี้ยงดูแบบย้ำคิดย้ำทำมากเกินไป
พ่อแม่ที่มีความกังวลกับลูก คอยย้ำถามย้ำปฏิบัติกับเด็ก
ทั้งที่เด็กต้องการและไม่ต้องการ
มีผลทำให้เด็กต้องอยู่ในบรรยากาศที่ต้องระวังตลอดเวลา
ทำให้เด็กมีความวิตกกังวลอย่างมาก จนทำให้เกิดความเครียดขึ้นมา
เมื่อโตขึ้นอาจกลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ทำให้บุคลิกภาพเสียไป

การเลี้ยงดูแบบตามใจมากเกินไป
พ่อแม่ที่ตามใจลูกมากเกินไป
ให้ทุกอย่างที่ลูกต้องการโดยไม่คิดว่าเหมาะสมหรือไม่
อาจเกิดจากพ่อแม่คิดว่าหากขัดใจลูกแล้วลูกจะร้องสร้างความรำคาญ
หรือพ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูกจึงทดแทนด้วยสิ่งของที่ลูกต้องการ
เมื่อเด็กถูกตามใจมากๆ จะกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง
เมื่อเด็กถูกขัดใจจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้
และเมื่อไปอยู่ในสังคมกับบุคคลอื่น เด็กจะเกิดความเครียดคับข้องใจ
ไม่สามารถปรับตัวได้ และแสดงออกด้วยพฤติกรรม อาจจะลงมือลงเท้า กรีดร้อง
เต้นเร่าๆ พ่อแม่ไม่ควรรีบโอ๋เด็ก
ควรอยู่เฉยๆและไม่ควรเดินจากไปจนกระทั่งทั่งเด็กสงบลง
การดูแลอย่างใกล้ชิดจะมีผลให้เด็กค่อยๆ สงบลง

สภาพแวดล้อม

สภาพแวดล้อมในครอบครัว
เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ขาดความอบอุ่น พ่อแม่หย่าร้างกัน เด็กถูกทอดทิ้ง
พ่อแม่ทะเลาะกัน พ่อแม่ดุด่าลูกเป็นประจำ
หรือสภาพครอบครัวที่มีแต่ความตึงเครียด มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ
บุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยหรือพิการ
พ่อแม่ที่มีแต่ความเครียดทำให้ลูกเครียดด้วย
เพราะเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะส่งผลกระทบทางจิตใจและอารมณ์อย่าง
มาก หากต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปนานๆ จะส่งผลให้เกิดความเครียดเรื้อรัง
เด็กจะแสดงออกโดยมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เอาแต่ใจตนเอง แยกตัว
และซึมเศร้าได้

สภาพแวดล้อมที่โรงเรียน
กฎระเบียบของโรงเรียนที่เข้มงวดมากเกินไป
การให้เด็กทำกิจกรรมที่ยาวนานและยากเกินความสามารถของเด็ก
เด็กที่เรียนในโรงเรียนที่สอนวิชาการมากเกินไป เช่น สอนคณิตศาสตร์ ภาษาไทย
อังกฤษ อีกทั้งให้เด็กอยู่กับการเขียน
และการอ่านมากเกินไปแทนที่จะได้ทำกิจกรรมที่เตรียมความพร้อมเด็กตามวัย
จะทำให้เด็กไม่ได้พักผ่อน เกิดความเหนื่อยล้า
ส่งผลให้เด็กเกิดความเครียดขึ้นมาและไม่อยากไปโรงเรียนซึ่งจริงๆ
แล้วผู้ใหญ่อย่างเราก็ควรศึกษาวิธีปฏิบัติเพื่อช่วยคลายเครียดให้แก่เด็กๆ
ไว้ด้วยค่ะ…



8 วิธีลดความเครียดให้แก่เด็ก

1. การให้เด็กได้ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายที่ให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การกระโดด ว่ายน้ำ
ขี่จักรยาน
ไม่เพียงแต่จะส่งเสริมให้เด็กมีการเจริญเติบโตทางร่างกายเหมาะสมตามวัย
แต่จะทำให้เด็กมีจิตใจสดชื่นและช่วยลดความตึงเครียดได้
เพราะขณะออกกำลังกายร่างกายจะได้รับออกซิเจนมากขึ้น
การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น สมองได้หยุดคิดเรื่องที่เครียดชั่วคราว
และภายหลังการออกกำลังกายแล้วร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา
ทำให้รู้สึกคลายความเครียด

2. การทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว
ครอบครัวควรมีเวลาในการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ เช่น
อ่านหนังสือให้ลูกฟัง ปลูกต้นไม้ ให้ลูกได้ช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ
หรือทำอะไรก็ได้ที่ครอบครัวชื่นชอบ ทำแล้วเพลิดเพลินมีความสุข ทำให้เด็กๆ
ลืมเรื่องเครียดได้อีกทั้งยังทำให้เกิดความอบอุ่นในครอบครัวด้วย

3. การพูดอย่างสร้างสรรค์ พูดในทางบวก
คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญกับการพูดจากับลูกให้มากคือการพูดในทางบวก
การชมเชยลูก การให้กำลังใจ เช่น “เก่งจังเลย” “สวยจัง” “ทำได้เยี่ยมไปเลย”
เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสอนลูก ควรใช้คำพูดที่สุภาพ
ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
ทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและช่วยให้ความสัมพันธ์ของคุณและลูกมีความสุขมากขึ้น

4. การแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม
การให้ลูกเรียนรู้ที่จะแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเหมาะสมเป็นเรื่องจำเป็น เช่น
ไม่ควรตามใจเด็กมากเกินไป อาจให้เด็กร้องไห้บ้าง แล้วเมื่อเด็กหยุดร้องไห้
ก็อธิบายเหตุผลให้เด็กได้ทราบถึงข้อดีข้อเสีย
เพราะการร้องไห้เป็นการระบายความเครียดได้ดีอย่างหนึ่ง
เด็กจะได้ไม่เก็บความเครียดไว้

5. พ่อแม่ควรมีความยืดหยุ่นในการทำกิจวัตรประจำวัน
ไม่ควรทำกิจกรรมที่รีบเร่งหรือเร่งรัดเด็กเกินไป
แต่ควรฝึกให้ลูกรู้จักวินัยและมีความรับผิดชอบ
โดยพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนเด็ก วันหยุดให้เด็กได้พักผ่อน
ทำกิจกรรมที่เด็กชอบ การเรียนศิลปะ ดนตรีกีฬาที่พอเหมาะ
จะทำให้เด็กมีความสุขมากขึ้น

6. การยอมรับในความสามารถของเด็ก และ ไม่ควรบังคับให้เด็กทำในสิ่งที่ยังไม่พร้อม เช่น การสอนให้คัด ก.ไก่ ข.ไข่ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 4 ปี การให้นั่งเรียนอยู่ที่โต๊ะเรียนเป็นเวลานานเกินไป เป็นต้น

7. เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นควรหาสาเหตุก่อนเพื่อทำการแก้ไข ก่อนที่จะลงโทษเด็ก
ควรถามถึงเหตุผลที่เด็กกระทำสิ่งนั้นว่าคืออะไร? ทำไมจึงทำ?
เมื่อเราทราบสาเหตุแล้วจะทำให้เราเข้าใจการกระทำของเด็ก
ส่งผลให้เราสามารถพูดคุยและสอนเด็กได้อย่างถูกต้องและส่งเสริมให้เด็กได้
แก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามีผลดีหรือเสียอย่างไร

8. การให้เด็กได้พบกับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ไม่อันตราย การรู้จักความผิดพลาดบ้าง ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ รู้จักปรับตัว และรู้จักแก้ไขปัญหาได้

ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์







Free TextEditor


Create Date : 10 พฤษภาคม 2553
Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 15:02:09 น. 0 comments
Counter : 338 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมหญิง ณ ทรายทอง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สมหญิง ณ ทรายทอง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.