รู้สึกตัวทั่วพร้อมสำคัญกว่าจินตนาการ
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
วันที่สาม (๓) ตอกทอย ตีผึ้ง





พี่หญิงก่อไฟเพื่อเตรียมอาหารง่ายๆ ให้เคิ้ง กล้าและลุงโส่ย เพราะการตอกทอยต้องใช้แรงมาก ฉันกับพี่นกน้องเติ้งช่วยกันกางเต็นท์ ส่วนน้าเบกับลุงโส่ยผูกเปลนอน กางเต็นท์เสร็จเราก็ไปอาบน้ำ (กะว่าจะไม่อาบแล้วเชียวแต่เหงื่อท่วมตัว กลัวยายจะเหม็น เพราะคืนนี้ยายนอนด้วย ^^)

น้าเบถักเชือกผูกถังปี๊บใส่น้ำผึ้ง ส่วนยายกำลังง่วนอยู่กับการห่อใบตองหมกยอดผักที่เก็บได้จากป่า โดยเฉพาะยอดผักกูดยักษ์ ยอดอวบๆ น่ากิน ขัดกับรูปร่างหน้าตาของมันที่เหมือนกิ้งกือกำลังนอนขดอยู่

พอความมืดปกคลุมผืนป่า  ลุงโส่ย เคิ้ง กล้าและพี่หญิง เดินฝ่าความมืดไต่เขาขึ้นไปก่อน  น้าเบบอกว่ากว่าจะตอกทอยเสร็จก็อีกนาน เราจึงไปจับกุ้งในลำห้วย เนื่องจากน้ำค่อนข้างน้อยและไหลช้า จึงทำให้จับกุ้งได้ง่าย กุ้งล้วนแล้วแต่ตัวโตๆ ทั้งนั้น ฉันกับน้องเติ้ง น้าเบแข่งกันจับกุ้ง จนได้เกือบครึ่งถุงเล็กๆ ที่เตรียมมา 

ประมาณครึ่งชั่วโมง เสียงตอกทอยก็ดังก้องไปทั้งหุบเขา เสียงนั้นสะกดให้ฉันต้องนิ่งฟัง มันช่างมีพลังและอำนาจอย่างลึกลับ ฉันชวนน้าเบกับน้องเติ้งไปดูตีผึ้ง พวกเราจึงเดินข้ามลำห้วยและค่อยๆ ไต่เขาขึ้นไป

พอไปถึงลุงโส่ยก็นั่งอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพี่หญิงนั่งอยู่ข้างล่างๆ ใกล้ๆ ต้นผึ้ง ตอนนั้นเคิ้งกำลังตอกทอย ไม่นานก็ค่อยๆ ไต่ลงมานั่งพัก  ฉันมองดูท้องฟ้าซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจน น่าแปลกใกล้ๆ ต้นผึ้งไม่มีต้นไม้ใหญ่อยู่เลย มันยืนต้นตระหง่านอยู่เพียงลำพัง ท้องฟ้าแม้จะมืดแต่ก็ยังมีแสงดาวที่ส่องประกายระยิบระยับเต็มไปหมด 

หลังจากหายเหนื่อยเคิ้งก็สะพายย่ามใส่ลูกทอยปีนขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว ปั้ก ปั้ก ปั้ก!!! เสียงตอกทอยดังก้องทั้งหุบเขา ลูกทอยอาจจะสะกดนางไม้ แต่เสียงตอกทอยกลับสะกดฉัน!!!  มันคือเสียงร่ายมนต์ของพรานผึ้ง เสียงที่สะกดให้ทุกคนต้องนิ่งฟัง   เสียงที่ดังแต่ละครั้งล้วนต้องใช้พละกำลัง บ่งบอกถึงความแข็งแรง ความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ของพรานผึ้ง --- ทุกคนเงียบ ต้นผึ้งเองก็เช่นกันไม่สะทกสะท้าน ยังยืนตระหง่านท้าทายมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่พยายามปีนขึ้นไปเพื่อหวังจะได้น้ำผึ้งเดือนห้า ขวดละ 300 บาท แลกกับการเสี่ยงชีวิตตอกทอยปีนต้นไม้สูงขนาดตึก 6-8 ชั้น!!! หากพลาดตกลงมา ทายาหม่อง ยี่สิบกล่องก็ไม่หายแน่นอน 

ไม่นานเคิ้งก็เข้าถึงจุดที่อยู่ใกล้ๆ กับรังผึ้ง พรานผึ้งร่ายมนต์อีกครั้ง แต่คราวนี้ร่ายมนต์ด้วยคบไฟ เสียงดังตุบ ตุบ ตุบ สามสี่ครั้ง จากนั้นเสียงผึ้งแตกรังก็ดังขึ้น พวกมันนับหมื่นตัวบินหลงรัง!!!  พร้อมกับสะเก็ดไฟค่อยๆ ร่วงลงช้า-ช้า 


ไม่นานเคิ้งก็ปาดรังลูกอ่อนร่วงลงมา และปาดหัวน้ำหวานใส่ปิ๊บ พร้อมกับร้องบอกให้น้าเบค่อยปล่อยเชือก ถังปี๊บค่อยหย่อนลงมา พี่หญิงรอรับอยู่ข้างล่าง  ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง แทบจะไม่มีน้ำหวานอยู่เลย 

“น่าจะไม่ถึงขวด” เสียงพี่หญิงบ่น

ไม่นานเคิ้งก็ลงมาและเดินมาอย่างเร่งรีบ 

“คันๆๆ เทน้ำเร็ว”   เคิ้งบอกน้องสาว น้องเติ้งรีบเทน้ำให้พี่ล้างมือ

“ทำไมคันล่ะ”ฉันถามน้าเบ

“ตอนตอกทอย ยางมันจะไหลออกมา ยางต้นผึ้งมันคัน” น้าเบตอบ

“โดนผึ้งต่อยเปลือกตาด้วย”  เสียงเคิ้งบ่น แต่ก็ยังเห็นรอยยิ้มน่ารักๆ พวกเรามองดูที่เปลือกตาซ้าย แต่ไม่เห็นมีอาการบวม หรือผิดปกติอะไร คงจะเป็นเพราะเอาเหล็กในออกแล้ว 

ฉันมองดูเคิ้ง ด้วยความรู้สึกแปลกๆ  ชีวิตของชาวป่า ชาวเขา เสี่ยงเหลือเกิน แต่ช่างมีคุณค่าและงดงาม นี่แหละ “คน!” คนที่เกิดอยู่กับป่า หากินกับป่า ผิดจากคนเมืองบางคนที่เรียกตัวเองว่า “มนุษย์” แต่ทำนาบนหลังคน

เคิ้งถามพี่หญิงว่าเหลืออีก รัง จะให้ตีไหม พี่หญิงบอกแล้วแต่เคิ้ง เพราะรังแรกที่ได้มามันไม่มีน้ำหวาน ลุงโส่ยกับเคิ้งปรึกษากันและสรุปว่าไม่ตี เพราะกลัวไม่คุ้ม พวกเราทั้งหมดจึงกลับที่พัก

พี่นกกับยายนั่งรออยู่แล้ว พอไปถึงน้องเติ้งไม่รอช้านำกุ้งที่เราจับได้โยนเข้าข้างกองไฟ  เคิ้งเห็นแบบนั้นก็เอื้อมมือหยิบไม้ไผ่ข้างๆ ผ่าเป็นซี่เล็กๆ  เสร็จแล้วก็หยิบกุ้งเสียบเข้าไปทีละตัวๆ กุ้งนอนเรียงแถวเป็นระเบียบสวยงาม เคิ้งวางไม้เสียบกุ้งข้างๆ กองไฟ ไม่นานกุ้งก็สุกเหลืองน่ากิน พวกเราเลยได้กินมาม่าต้มยำกุ้งกันอย่างอร่อย 

ส่วนลุงโส่ยนั่งกินมะม่วงสุกที่เตรียมมาหลายลูก และส่งมาให้ฉันด้วย  โดยไม่ต้องใช้มีดฉันใช้ปากกัดเหมือนกะลุงโส่ยนั่นแหละ  มะม่วงหวานอร่อย  ฉันคิดว่าคนเราเวลาเหนื่อย อาหารง่ายๆ ก็ดูจะอร่อยกว่าอาหารราคาแพงตามห้างด้วยซ้ำ และที่สำคัญมันหาง่าย แม้จะไม่มีราคาแต่มันก็มีคุณค่า เมื่อเราอยู่ในป่า มันเป็นอาหารที่ดีที่สุด

พอกินอิ่มเคิ้งกับกล้าก็เก็บของ บอกว่าจะกลับไปนอนบ้าน เพราะพรุ่งนี้เช้าเคิ้งต้องไปตีผึ้งที่บ่อพลอย เก็บของเสร็จเคิ้งกับกล้าก็เดินไต่เขาฝ่าความมืดขึ้นไป  สักพักได้ยินเสียงเคิ้งฮัมเพลงเบาๆ แว่วมาในความมืด   แม้การตอกทอย ตีผึ้ง จะเหนื่อยและเสี่ยงอันตราย แต่เมื่องานเสร็จสิ้นและท้องอิ่ม ดูเหมือนเคิ้งจะไม่มีอะไรให้กังวลอีก เดินฮัมเพลงกลับบ้านอย่างสบายใจ ในยามนั้นคงไม่มีใครสุขใจเท่ากับเคิ้งอีกแล้ว

น้าเบกับพี่นกบอกว่าพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้ามืด เพราะเราพักใกล้ต้นผึ้งมากเกินไป ต้องรีบกลับ ไม่งั้นพรุ่งนี้เช้ามันจะบินลงมาเพราะได้กลิ่นควันไฟ   เรานั่งคุยกันสักพักน้าเบก็ส่งดีกรีมาให้ เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทฉันก็รับไว้ อิอิ ^^'' ก็บรรยากาศแบบนี้มันหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ท่ามกลางป่าเขายามค่ำคืน  นั่งล้อมวงรอบกองไฟ หากขาดดีกรีก็คงพิลึกอยู่ไม่น้อย อิอิ (ทำพูดดีไปงั้นแหละ คืนนี้แค่สองจอกก็พอแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้กลิ้งตกเขากันพอดี อิอิ) ไม่นานทุกคนก็เข้าเต็นท์นอน แต่ฉันยังไม่ง่วงเลย จึงนั่งคุยกับลุงโส่ย ลุงโส่ยก็คุยเก่งเหมือนกัน นั่งฟังแกเล่าเรื่องเกี่ยวกับพม่ามากมาย แต่ฟังไม่ค่อยถนัด เพราะลุงโส่ยพูดไทยไม่ค่อยชัด ^^’’

ลุงโส่ยเป็นคนที่ทำให้ฉันทึ่งมากที่สุดในการเข้าป่าครั้งนี้ แม้จะอายุมากแล้วแต่คล่องแคล่วว่องไวกว่าเด็กหนุ่มเสียอีก ฉันไม่สงสัยเลยว่าเคิ้งกับน้องเติ้งได้ลักษณะแบบนี้มาจากใคร เมื่อตอนหัวค่ำฉันเห็นลุงโส่ยปีนต้นไม้ไปเก็บลูกเนียง โดยที่ห่อผ้ายังอยู่บนหลัง (ห่อผ้าเล็กๆ แต่หนักจนน้องเติ้งยกไม่ขึ้น) ฉันมองดูลุงโส่ยยังกะลิงลมโหนต้นไม้ยังไงยังงั้น เพราะคล่องแคล่ว ว่องไว ดูแทบไม่ทัน อีกทั้งแววตาของลุงโส่ยเป็นประกายน่ามอง บางครั้งดูใสซื่อ บางครั้งเหมือนจะรู้ทัน บางครั้งเหมือนจะเข้าใจโลกทั้งโลก แววตานั้นนิ่ง เป็นประกายและน่าค้นหา


>>> มึนแล้ว ต้องรีบนอนไม่งั้นตื่นไม่ทัน  ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^^''




Create Date : 21 พฤษภาคม 2556
Last Update : 18 เมษายน 2560 23:52:41 น. 0 comments
Counter : 813 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปีกบาง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ปีกบาง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.