Group Blog
 
 
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 กันยายน 2555
 
All Blogs
 
“รักปัดฝุ่น” Trip @ French Riviera & Italy (Day 11): เดินมาราธอน ย้อนอดีต ณ กรุงโรม (Rome) ตอน 2

24 June 12 : Rome

Blog ที่แล้วเราได้เที่ยวมา 2 ที่ ก็มาต่อที่เหลือกันใน blog นี่ค่ะ

Highlight ของ blog นี้
Castel Sant'Angelo
Pantheon (วิหารแพนธีออน)
Trevi Fountain
Spanish Step
Home Sweet Home




ต่อจาก blog ที่แล้ว…. เรามุ่งหน้าไป Castle Angelo กันต่อ
จาก St.Peter ไป Castle Angelo ง่ายมากกกกกกกกก เดินตรงไป 10 นาทีก็ถึงแล้ว
รูปนี้เดินมาครึ่งทางแล้ว ไกลๆ โน้นคือ St.Peter
จริงๆ ติดกับ St.Peter คือ Vatican ซึ่งเป็นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากกกกก
แต่เที่ยวในนี้ต้องใช้เวลาเป็นวัน ตารางเรา fixed ไปแล้วก็คงต้องข้ามไป ไม่เป็นไร เราเฉยๆ




ถึงแล้ว จริงๆ เดินตรงมาจะเจอด้านข้างน่ะ แต่เราเดินเลยมาเพื่อถ่ายรูปกับด้านหน้าก่อน
ด้านหน้าตรงนี้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Tiber ที่เก่าแก่มากๆ ข้างสะพานมีการตกแต่งด้วยศิลปะ Baroque
ตั้งรูปเทวดาแต่ละองค์ และรูปประวัติพระเยซูเจ้าเพิ่มขึ้นมา






รูปปั้นต่างๆ สีตัดกับสีฟ้า สวยมาก
นกชอบมาเกาะบนรูปปั้น เกาะแล้วยืนนิ่งมาก มองอยู่นานว่านกจริงหรือนกรูปปั้น 555







ระหว่างทางและหลายๆ ที่ใน Italy เราเจอคนที่ทำเป็นหุ่นเยอะมาก แต่ไม่ค่อยกล้าถ่ายรูป
แต่เรานับถือเลยน่ะ ทั้งเรื่อง costume ที่ดูมืออาชีพและเรื่องการเคลื่อนไหวที่นิ่งเป็นนิ่ง ขยับก็เป็นจังหวะ เก่งมากๆ




เราใช้บัตร Roma Pass มาเบ่งที่นี้เป็นที่ๆ 2
เข้าไปด้านในเพื่อจะขึ้นไปข้างบนสุด เดินเข้าไปจะเป็นเหมือนถ้ำเดินวนขึ้นไป
อากาศข้างในเย็นสบายดี แต่เดินกันแฮ่กๆ เหมือนกันน่ะ






Castel Sant'Angelo ถือว่าเป็นปราสามอยู่ในอาณาจักรของวาติกัน
จะมีทางเดินลับเชื่อมระหว่างปราสาทแห่งนี้กับพระราชวังของพระสันตปาปาเพื่อเอาไว้หลบภัยจากศัตรู
จากวังของ Pope จะมีทางเดินในช่องกำแพงไปจนถึงปราสาทนี้ ซึ่งช่องทางเดินนี้เรียกว่า Passetto di Borgo
ช่องทางนี้มีประโยชน์ในการติดต่อกันและในยามฉุกเฉินก็ใช้เป็นทางหนีภัยของ Pope ด้วย
เช่นตอนที่ Pope Clement VII หนีภัยจากพระเจ้า Charles V ในการบุกยึดกรุงโรมใน ปี ค.ศ. 1527
ต่อมาปราสาทนี้ก็ยังถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นคุกขังบรรดานักโทษและขัง Pope บางองค์ด้วยเหตุผลทางการเมือง
และยังเป็นที่ประหารชีวิตนักโทษบางคนอีกด้วย




หยุดพักเหนื่อย ตรงนี้ลมเย็นมากๆ วิวก็สวย








เหนื่อยจริงไรจริง ตอนแรกอยากแวะกินข้าวบนนี้เลย แต่สามีบอกไปหาอะไรกินข้างล่างดีกว่า
เราเลยต้องเดินลากขาต่อไป ทำไมเดินที่แบบนี้มันเหนื่อยกว่าไป shopping เนี่ย 5555





เดินลากขาลากตัวขึ้นไปถึงชั้นบนสุด ในที่สุด เย้!!! เห็นวิวได้ 180 องศา
ที่เห็นตรงโน่นคือ St.Peter






รูปปั้นบนยอดนี่คือที่มาของชื่อปราสาทแห่งนี้ Castel Sant’ Angelo ซึ่งถูกเปลี่ยนในภายหลัง
จากตำนานเล่ากันว่าในปี ค.ศ. 590 Archangel Michael ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 เทวดาองค์ใหญ่ในศาสนาคริสต์
ปรากฏองค์ขึ้นมาบนยอดปราสาท เพื่อยับยั้งกาฬโรคซึ่งกำลังระบาดอยู่ในเวลานั้น และกาฬโรคก็ได้ยุติลงอย่างอัศจรรย์ ปราสาทนี้ก็ได้รับชื่อใหม่นี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา







ตอนจะเดินลงไป หลงค่ะ เดินวนไปวนมาเพราะมีห้องเยอะ มีรูปมีช่องเต็มไปหมด กว่าจะลงไปได้ 555
เดินไปเจอที่ยิงอาวุณหินโบราณ เรียกสามีถ่ายรูปให้หน่อย ชอบอ่ะ ได้เห็นของจริงๆ
สามีบอก อุ้ย! มีนั่งร้านโบราณด้วย (- -*)
สถานที่ท่องเที่ยวที่นี้หลายๆ ที่ที่ไปมา ชอบมีการปรับปรุงซ่อมแซม
เวลาจะถ่ายรูปต้องหามุมกันแทบแย่ อะไรจะปรับปรุงกันเยอะขนาดนั้น







ในที่สุดก็สามารถหาทางออกมาจนได้ จุดต่อไปคือ Panteon
จริงๆ ก็หิวน่ะ แต่มันเหนื่อยจนจุก อยากหาที่นั่งมากกว่าและกินอะไรนิดๆ หน่อย
ไปเจอร้านที่เค้าคงเน้นขาย take away ซื้อเสร็จขอเค้านั่ง เค้าบอกต้องคิดเงินเพิ่มคนละ 1 Euro ก็ได้อ่ะขอไปแล้วนี่
พอกินเสร็จเก็บตังค์ โดน Tax เพิ่มอีก มื้อนี้จ่ายค่านั่งไปหลายร้อยเลยตรู T__T




จากตรงนี้ก็ไป Panteon ต่อด้วยการเดิน เดิน เดิน และ เดิน (ปวดน่องมาก)
เที่ยว trip นี้กลับเมืองไทยเพิ่งเห็นว่าฝ่าท้าแตกรอบด้าน ผ่านการเดินอย่างหนักหน่วง 555
มอง Castle Angelo อีกทีก่อนร่ำลา




ระหว่างทางก็เจอจุดท่องเที่ยวที่นี้ จำชื่อไม่ได้ ไม่ได้ตั้งใจจะแวะ แต่ไหนๆ ผ่านก็แวะเข้าไปดูหน่อย







ดูจริงๆ ชะโงกหน้าแล้วบอกสามี ป่ะ! ไม่มีที่ให้นั่งเลย 555
เดินไปมองแผนที่ไป ทำไมมันไกลจัง เราหลงหรือเปล่า
มองไปเห็นฝูงเดินมาเป็นแถว เราไม่หลงแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าที่เราจะไปใช่ Panteon หรือเปล่าเท่านั่นเอง ;P




แต่มันใช่ ดีใจเหลือเกิน
เชื่อไหมว่าดูที่นี่จากในรูปก็เฉยๆ น่ะ แค่อยากเข้าไปดูลำแสงสวยๆ ด้านในมากกว่า
แต่พอได้เห็นของจริง มันว้าวววว..อ่ะ มันแบบ เฮ้ย! ตื่นตาตื่นใจกว่าที่คิด
ชอบมากตรงอาคารที่ทำเป็นทรงกลมๆ มันใหญ่มากน่ะนั่น อลังดีแท้





ถ่ายรูปด้านหน้าก่อนเข้าไปด้านใน






วิหารแพนธีออน หมายถึง ที่อยู่ของเทพเจ้าทั้งปวง ลักษณะของวิหารเป็นรูปทรงกลม
จุดเด่นของวิหารคือการออกแบบโดมด้านบน เว้นเป็นช่องวงกลมเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาได้
ซึ่งเชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าบนสวรรค์
ช่องว่างบนหลังคาที่แสงส่องเข้ามาด้านในได้ ทำให้ไม่ต้องใช้ไฟส่องสว่างด้านในวิหาร
แต่ถ้าฝนตกจะมีช่องระบายน้ำออกอยู่บนพื้นทางเดิน




ตอนเราไปแสงไม่ได้ส่องลงมาที่พื้น น่าจะต้องมาตามเวลาน่ะ
แต่ไม่เป็นไร ได้เห็นใน St.Peter แล้ว สวยเหมือนกัน แทนกันได้ (ปลอบใจตัวเองอยู่)




เราอยู่ในนี้กันนานเลย ประมาณ 30 นาทีได้
นั่งเงยหน้ามองลำแสง เหมือนจะชิว จริงๆ เมื่อยขามากกกกกกกกกก





จากจุดนี้เดินไป Trevi Fountain ง่ายมาก ข้างทางเป็นร้านขายของ เดินไปดูไปเพลินๆ
วินแวะซื้อน้ำ ยกซดเสร็จหันไปมอง อ้าวว!! ถึงแล้วนี่ 555




น้ำพุเตรวีเป็นการสร้างน้ำพุอยู่ตรงปลายสะพานส่งน้ำของน้ำพุธรรมชาติที่ได้ค้นพบ
การออกแบบเป็นแบบสถาปัตยกรรมบาร็อก ส่วนกลางของน้ำพุเป็นรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูนขี่รถม้าติดปีก
อันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักร เนปจูนเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำของชาวโรมันโบราณ





คนเยอะมากและนั่งปูเสื่อกันยาวเลย ถามเราว่าสวยไหม สวยน่ะ ใหญ่โตอลังการกว่าเห็นในรูป
มีความเชื่อว่าให้หันหลังโยนเหรียญลงบ่อ จะได้กลับมาที่นี่อีก
แต่เราไม่โยน ยังไม่อยากกลับมาอีก ขอไปเที่ยวที่อื่นให้ทั่วโลกโลกก่อนน่ะ







จากนี้ไปต่อที่สุดท้ายแล้ว เย้!!! ทำเวลาได้เร็วกว่าที่คิด แต่ไม่สามารถโอ้เอ้ไปไหนได้อีก
เหนื่อยมากจริง ร่างกายเราชรามากแล้วหรือนี่
จากนี่เดินไป Spanish Step ดูเหมือนไม่ไกลแต่ก็หลงทิศ ไม่ได้เดินไปตาม shopping street ตามที่วางแผนไว้
หรือนี่จะเป็นแผนของคุณสามี 5555
เราวางแผนจะเดินไปที่นี้ตามถนนสายนี้ Via Condotti ซึ่งเต็มไปด้วยร้าน brand name
แต่ผิดทิศเลยมาโผล่ด้านข้างแทน คนล้านแปด





Spanish Steps (บันไดสเปน) เป็นบันไดสูงที่ทอดยาวอยู่ระหว่าง Piazza di Spagna และ Piazza Trinita dei Monti
มีทั้งหมด 138 ขั้น ถือเป็นบันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป
ที่มาของชื่อบันไดสเปนเพราะสถานทูตสเปนตั้งอยู่บริเวณบันไดนี้
ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยว วัยรุ่นชาวโรมมานั่งกันตรึม นั่งกันจริงจัง เราก็ไปนั่งบ้างจะได้ feel ว่ามาถึงแล้วน่ะ อิ อิ
เดินบันไดขึ้นมาดูวิวสักหน่อย




มองลงไป ถนนที่เห็นตระหว่านต่งหน้าที่คนเยอะๆ นั่นแหละ Via Condotti





เดินขึ้นไปต่อ ระหว่างทางเจอคนขายของและขอทานเยอะเลย
แต่ทุกสถานที่ท่องเที่ยวในโรมจะมีรถตำรวจและตำรวจประจำการอบู่ทุกที่ โอน่ะ มันรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาหน่อย






เดินลงดีกว่า เราว่าน่ะมันไม่มีอะไรเลย แต่ดูจากในรูปส้วยสวย
ปากบอกไม่มีอะไรแต่แวะถ่ายรูปทุกขั้นบันได 5555




คนมหาศาล




กะจะลงมาหามุมถ่ายรูปกับน้ำพุ แต่หามุมไม่ได้เลย คนมานั่งชิวมองน้ำพุกัน (ทำไม?)
มีคนปีนไปรองน้ำใส่ขวดด้วย กล้ากินเหรอ ถามจริง?





รูปสุดท้ายก่อนโบกมืออำลา




ขึ้นรถไฟกลับที่พัก จาก Spagna ไปลง Termini
รูปเราน่ะ ไม่ใช่จูออนโผล่มาจากรางรถไฟ 5555




ถึงที่พัก 5 โมงเย็นเห็นจะได้ เมื่อเช้าตอน check-in ทางโรงแรมมีแนะนำร้านอาหารหลายร้าน
เราเลือกไปร้านใกล้ๆ เพราะอยากพักผ่อนแล้ว เดินติดต่อกันมาตั้งแต่ 10 โมงเช้า ไม่ไหวจริงๆ
ร้านที่เราไปกิน ได้ส่วนลด 15% ด้วย เลือกนั่งในร้าน เมาบุหรี่มาก ณ จุดนั้น
นั่งในร้านมักจะโหวงเหวงเสมอ เพราะส่วนใหญ่เค้านั่งข้างนอกกัน






สั่ง 4 จานมี Salad 2, Pizza 2 หน้า, Spagtthi อร่อยมาก




ล้างปากด้วย Homemade Tisamisu
อร่อยเวอร์ ทำไมของ original มันอร่อยแบบนี้อ่ะ อยากกินอีกกกกก
มื้อนี้จ่ายไป 40 Euro อร่อย






เดินออกจากร้านยืนตรงสี่แยก หันไปมองรอบๆ มีร้านอาหารทุกที่ แนวเดียวกันหมด
มาดูรูปตอนนี้จำไม่ได้อ่ะว่าร้านที่เราไปกินคือร้านไหน 5555




คืนนั้นมีแข่งบอลโลกพอดีเป็นนัด Italy vs. England มั่งถ้าจำไม่ผิด
คนที่นั่นก็มายืนดูและเชียร์กันตามร้านอาหารที่เปิด TV ดู match นี้อยู่
เราก็ฮีกเหิม เชียร์ Italy ไปกะเค้าด้วย แบบว่ามันอิน ;P
ตึกซ้ายมือโน่นอ่ะคือ Roma Termini ที่พักเราเดินไปทางขวานิดเดียว ใกล้มากเลยเนอะ




คืนนี้ก็หลับสบาย ใจนึงก็ดีใจได้กลับบ้านแล้ว ได้เจอลูกแล้ว
อีกใจนึงก็ขี้เกียจอ่ะ ต้องกลับไปทำงานแล้วเหรอ อยากเที่ยวอีก
เอาน่า…กลับไปทำงาน เก็บเงินมาเที่ยวกันอีก
ตอนนี้มีเงิน ไม่อยากได้อะไรแล้ว อยากเที่ยวอย่างเดียว อยากไปที่ไม่เคยไป อยากเห็นโลกกว้าง
เป็นเช้าแรกที่ได้กิน breakfast ของโรงแรม เพราะทุกเช้าเราวางตารางออกเช้าตรู่ตลอด
คราวหน้าไปเที่ยวคงไม่ออกแต่ไก่โห่แล้ว เพราะเอาจริงๆ ก็หมดแรงกลับที่พักเร็วตลอดอ่ะ ;P
อาหารเช้าเป็นพวก Croissant ใส้ต่างๆ เค้าเอาวางไว้ที่ห้องครัวด้านนอก
แขกก็มาหยิบเข้าไปกินในห้องกันเอง เราก็เอาแค่พอกินอ่ะ คุณสามีก็ชงกาแฟไป






วันนี้ flight เราบินกลับตอน 13:35 บินจาก Fiumicino Airport
ก็ตั้งใจไปถึงสนามบินก่อน 2 ชั่วโมงโดยนั่งรถไฟ Leonardo Express รอบ 10:22 ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที
ปรากฏไปถึง platform เร็วทันขบวน 9:52 เลยโดดขึ้นไปนั่งซะเลย กลายเป็นว่าเรามีเวลา 3 ชั่วโมงที่ airport
ดูเหมือนเยอะใช่ไหม แต่ไปเสียเวลาตอนทำ Vat Refund ไม่ทันได้ shopping ต่อเท่าไหร่
Leonardo Express เป็นรถไฟเพื่อวิ่งเชื่อมต่อระหว่าง Roma Termini & Fiumicino Airport ค่าโดยสาร 14 Euro
ลงจากรถไฟก็เดินเข้า Airport ได้เลย สบายใจเฉิบ




มาหยุดดูจอก่อนว่า flight เราต้องไป Terminal ไหน ก็ลากกระเป๋าไปกันต่อ




เข้ามาในสนามบินก็ดูที่จอต่อว่า flight เราอยู่ counter ไหน




Check-in เสร็จสรรพ ร่ำลากระเป๋า รู้สึกดีใจมากที่ชีวิตสามีเราไม่ต้องมีพันธะอีกต่อไป วิ่งตัวเบาได้แล้ว






รีบไปทำ Vat Refund ต่อ หลายขั้นหลายตอนมาก เพลีย
ก่อนทำเรื่องขอ Vat Refund เราต้องเอาเอกสารที่ได้จากร้านค้าไปประทับตรารับรองก่อน
แล้วค่อยมาตามเข้าแถวเพื่อขอ Vat Refund กับ Global Blue
เห็นหลายคนเลย เข้าแถวตรงนี้จนถึงคิว สรุปต้องไปเอาตราประทับก่อน เสียเวลามากๆ





เสร็จจากตรงนี้ก็จะหมดเวลาแล้ว ได้เดินดูของแค่ 1-2 ร้านเอ้งงงง
ขึ้นเครื่องซึ่งเราก็ได้รับความเมตตาจากเฮียหมีอีกที ได้นั่งสบายๆ ชั้น Business Class
รอบนี้ได้นั่งชั้น 2 ด้านข้างของที่นั่งก็กว้างใช้เก็บกระเป๋าได้สบาย




สิ่งที่ต้องทำเสมอๆ เวลาขึ้นเครื่อง นั่นคือ…. ดูเมนูอาหาร เรื่องกินคือเรื่องใหญ่ของเรา 555




ในขณะที่เมียเห็นแก่กิน คุณสามีดูมีสาระมากกกก




กินยังมีสาระ เมียก็มีน่ะ สาระ (แน) 555




อาหารมื้อแรกเริ่มด้วย Chicken Satay อร่อยมากกกกกกกกกก
ตามด้วย Salad จานหลัก ผลไม้ & cheese และเค้ก กาแฟ อร่อยหมดทุกอย่าง ปลื้ม








เราพยายามจะนอนเพราะ flight บิน 8 ชั่วโมงถึงไทยเป็นอีกวันตอนตี 5
แต่นอนยาวไม่ไหวเพราะชินกับเวลาที่ Italy ไปแล้ว เพิ่งจะบ่าย 2-3 เองอ่ะ
นอนไปได้งีบเล็กๆ เอง ตื่นมาสามีก็นอนไม่หลับ ยังมีสาระอยู่





ก็เลยหาหนังดูจนอาหารอีกมื้อมาเสิร์ฟและเรากถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ








เร็วน่ะ 12 วันแล้ว เวลามีความสุขเวลามันผ่านไปเร็วเนอะ
มา trip นี้เป็นโอกาสดีจริงๆ ที่ได้ปัดฝุ่นความหวานและความรักสำหรับเราและสามี
เพราะเราได้อยู่กัน 2 ต่อ 2 กันหลายวันเลย


การมาเที่ยวเองมันเหนื่อยแต่มันตื่นเต้นและสนุกดีน่ะ
ที่สำคัญ ทำให้เราได้เห็นว่าสามีมีน้ำใจ ช่วยเหลือ อยู่ข้างๆ และอดทนกับเราตลอด trip
มาเที่ยวครั้งนี้เราไม่ได้ทะเลาะกันเลย มีแต่เราที่หลุดหงิด เหวี่ยงเวลาอะไรต่ออะไรผิดแผน
ขอบคุณที่อดทน ขอบคุณที่ปล่อยให้เราได้เที่ยวที่ๆ เราอยากไป ขอบคุณที่ไม่บ่น ไม่ชักสีหน้า
ขอบคุณที่รับภาระ แบกกระเป๋า ถือของหนักๆ ให้เราตลอด trip
ขอบคุณที่มาเที่ยวกับเรา ขอบคุณที่ทำให้เราได้มี moment ดีๆ จาก trip นี้
ขอบคุณสำหรับ “รักปัดฝุ่น” Trip season 1





แน่นอนว่า season 2 ต้องมีอีกอย่างแน่นอน ;)
แล้วเจอกัน Japan ปีหน้าฟ้างาม เราได้ปะกันแน่นอน แค่คิดก็สุขแล้ว


:)




Create Date : 14 กันยายน 2555
Last Update : 14 กันยายน 2555 11:17:17 น. 3 comments
Counter : 4300 Pageviews.

 
อ้าวทริปหมดแล้วหรอ อ่านเพลินเลยค่ะ คุณอรก็มีสาระนะ สาระเพียบเลยในบล็อคพาเที่ยวใน 12 วันเนี่ย ได้ความรู้เยอะแยะมากมาย ได้รื้อฟื้นความทรงจำที่ได้เคยไปเที่ยวที่อิตาลี ฮ่าๆๆ ขอบคุณค่ะ


โดย: พี่โซเองจ้า IP: 124.122.115.53 วันที่: 14 กันยายน 2555 เวลา:20:46:13 น.  

 
ภาพสวย นางแบบสวย คู่รักหวานค่ะ


โดย: mariabamboo วันที่: 16 กันยายน 2555 เวลา:20:03:09 น.  

 
น่าอิจฉา น่ารัก ด้วยนะครับ รอดูปี 2 นะครับ


โดย: juapung IP: 58.9.32.43 วันที่: 18 กันยายน 2555 เวลา:11:31:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จ้าว..จอม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เมื่อชั้นอยาก

"บอกรักลูกผ่านตัวหนังสือ"

blog นี้จึงได้บังเกิดขึ้นมาเพื่อหมูเรย์ของหม๊ามี๊


Lilypie Premature Baby tickers


วันนี้คุณ "ใจเย็น" แล้วหรือยัง?

อิ อิ ตอนนี้ทำไอติม homemade เสริฟ์ด้วยน่ะเพื่อนๆ
แวะมาใจเย็นกันได้น่ะจ้ะ จุ้บ จุ้บ :)

Friends' blogs
[Add จ้าว..จอม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.