I dont miss you,
I miss the person
I thought you were...
(。→‿←。)

:: Stay Hungry Stay Foolish ::

จริง ๆ แล้ว ข้าพเจ้าก็ทั้งหิวและก็โง่อยู่ตลอดอยู่แล้วอ่ะนะคะ

Stay Hungry Stay Foolish? Stanford Report, Jun 14, 2005
โดย : สตีฟ จ็อบส์ (CEO Apple Computer และ Pixar Animation Studio)


ถอดความโดย กิตติ สิงหาปัด



“ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกับพวกท่านในวันนี้ ความจริงที่คนรู้กันทั่วไปก็คือผมไม่จบปริญญาครับ จะว่าไปแล้วการมาที่นี่ในวันนี้ถือว่าทำให้ผมได้อยู่ใกล้กับคำว่าได้ปริญญามากที่สุด วันนี้ผมอยากจะบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตผมให้ฟัง สามเรื่อง เป็นแค่เรื่องของชีวิตผมเองเท่านั้นจริง ๆ นะครับ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร”



เรื่องแรก

เป็นเรื่องของการมองเส้นทางเดินของชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งมันเป็นคล้าย ๆ การต่อเชื่อมจุดให้เป็นรูปร่าง ผมดรอปจากมหาวิทยาลัย Read หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 6 เดือน แต่ก็ยังเตร็ดเตร่อยู่ในมหาวิทยาลัยอีก 18 เดือน ก่อนที่จะออกมาจริง ๆ ถามว่าทำไมผมถึงดรอป บางทีเรื่องนี้อาจจะเริ่มมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป แม่ของผมเป็นสาวรุ่นที่เพิ่งจบการมหาวิทยาลัยและไม่ได้แต่งงาน เธอตั้งใจว่าจะยกผมให้คนที่ต้องการเด็กรับไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เธอมีเงื่อนไขในใจที่ค่อนข้างแกร่งกล้าว่า จะยกผมให้กับคู่สามีภรรยาที่ต้องจบมหาวิทยาลัยเท่านั้น ตอนแรกผู้ที่จะรับผู้ไปอุปการะนั้นเป็นคู่ทนายความกับภรรยา แต่ปรากฏว่าตอนผมคลอดนั้น ทั้งสองอยู่ในรายชื่อถัดไปที่ต้องการรับเด็กไปเลี้ยง พอคู่ของทนายปฎิเสธ ก็เลยมาถึงคิวของท่าน แต่ปัญหาก็คือ...พ่อแม่ผมไม่ได้จบมหาวิทยาลัยในหนแรก แม่ผมจึงไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะพ่อแม่ผมให้สัญญาว่าจะส่งผมเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อผมโตขึ้นอย่างแน่นอน



17 ปีต่อมาผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยจริง ๆ แต่ผมดันไปเลือกมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงพอ ๆ กับที่นี่ ด้วยเงินเก็บของพ่อแม่ผมซึ่งท่านก็เป็นคนระดับทำงานธรรมดา หมดไปกับค่าเทอมของผม หกเดือนในมหาวิทยาลัยผมมองไม่เห็นว่า มันจะคุ้มกับค่าเล่าเรียนยังไง ผมไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี และมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ให้ทางออกกับผม ผมใช้เงินที่พ่อแม่สะสมมาทั้งชีวิตหมดไปในหกเดือนที่ Read ในที่สุดผมตัดสินใจดรอปโดยมั่นใจว่าทุกอย่างจะดีขึ้น จริง ๆ ตอนนั้นผมก็ค่อนข้างกลัว แต่เมื่อมองกลับไป การตัดสินใจดรอปเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต การดรอปทำให้ผมไม่ต้องเรียนวิชาบังคับที่ผมไม่ชอบ แต่ในขณะเดียวกันกลับทำให้ผมได้เข้าเรียนวิชาที่ผมสนใจ

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมดนะครับ ผมไม่มีหอพัก ต้องสิงในห้องของเพื่อน ผมต้องเก็บกระป๋องโค้กไปคืนที่ร้านเพื่อเอาเงินมัดจำกระป๋องละ 5 เซ็นต์ ไปซื้อข้าวประทังชีวิต และทุก ๆ วันอาทิตย์ผมต้องเดินข้ามเมืองถึง 7 ไมล์ เพื่อที่จะได้กินอาหารดี ๆ ซักมื้อที่โบสถ์พราหมณ์ และมีหลายอย่างที่ผมอาจจะก้าวพลาดไปโดยบังเอิญเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือโดยสัญชาตญาณ ได้ให้บทเรียนที่มิอาจประเมินค่าได้กับผม ผมอยากยกตัวอย่างให้ฟังซักเรื่อง

มหาวิทยาลัย Read ในตอนนั้นอาจจะเรียกได้ว่ามีคอร์สสอนการออกแบบตัวอักษร (calligraphy) ที่ดีที่สุดในอเมริกาก็ว่าได้ ป้ายหรือโปสเตอร์ต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยจะถูกออกแบบอย่างสวยงาม ผมตัดสินในเข้าเรียนวิชานี้ เนื่องจากไม่ต้องลงเรียนวิชาปกติ หลังจากดรอปไว้ ผมได้เรียนรู้ตัวอักษร serif และ san serif ได้รู้เรื่องการจัดวางช่องไฟ การผสมผสานตัวอักษรขนาดต่าง ๆ กันให้งานออกมาดูดีที่สุด มันเป็นอะไรที่บ่งบอกถึงความสวยงาม มีที่มาที่ไป และมีศิลปะแบบที่วิทยาศาสตร์ก็สอนเราไม่ได้ มันสุดยอดจริง ๆ

แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในชีวิตผมเลย จนกระทั่งสิบปีต่อมาเมื่อเราออกแบบคอมพิวเตอร์ แมคอินทอชเครื่องแรก นั่นแหละวิชาที่เรียนตอนดรอปถึงช่วยได้จริง ๆ ทุกท่านคงเห็นเครื่องแมคฯ ที่มีตัวฟอนท์ที่สวยงาม นี่ถ้าผมไม่ได้ลงเรียนวิชาการออกแบบตัวอักษร (calligraphy) ในตอนนั้นแล้ว เราก็คงไม่มีเครื่องแมคอย่างที่เราเห็นในวันนี้ และความจริงก็คือถ้าวินโดวส์ไม่ลอกเราในวันนั้น พีซีในยุคปัจจุบันก็จะไม่มีตัวฟอนท์อย่างนี้ก็ได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะผมลงเรียนวิชาคัดลายมือครั้งนั้นทีเดียวจริง ๆ แน่นอนครับว่าเราคงไม่สามารถต่อเชื่อมจุดเป็นรูปร่างได้เมื่อผมอยู่ที่ Read แต่เมื่อตอนสิบปีผ่านไปทุกอย่างก็เห็นได้ชัด

ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เราไม่สามารถต่อจุดให้เป็นรูปร่างได้โดยการมองไปข้างหน้า เราจะทำได้ต่อเมื่อเรามองย้อนหลังไป (ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงเวลาเราเชื่อมจุดเป็นรูปต่างๆ ถ้าเราเอากระดาษปิดจุดที่เราต่อมาแล้วเราจะต่อไปข้างหน้าไม่ถูก) ฉะนั้นขอให้เชื่อว่าจุดต่าง ๆ ที่ผ่านมานั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราในวันข้างหน้า เราต้องเชื่อในอะไรซักอย่างไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจ ชะตาชีวิตหรือกรรม อะไรก็ได้วิธีคิดแบบนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังท้อแท้ แต่กลับสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นกับชีวิตผมมากมาย



เรื่องที่สอง

ที่จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความรักและการสูญเสียครับ ผมโชคดีที่ได้พบกับสิ่งที่ผมรักที่จะทำตั้งแต่วัยหนุ่ม วอซ (Stephen Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple) กับผมเริ่มทำคอมพิวเตอร์แอปเปิลกันที่โรงรถของพ่อแม่ผมตอนผมอายุ 20 เราทำงานกันอย่างหนัก ภายในระยะเวลา 10 ปี แอปเปิลที่เริ่มจากเราสองคนในโรงรถเติบโตขึ้น มีสินทรัพย์ถึง 2,000 ล้านเหรียญ มีพนักงานกว่า 4,000 คน เราเพิ่งสร้างคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดคือ แมคอินทอช ตอนผมเพิ่งย่างสามสิบ แต่ผมกลับถูกไล่ออก หลายคนอาจสงสัยว่าผมถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมาได้ยังไง คือเมื่อแอปเปิลเริ่มเข้าที่และเติบโต เราก็หาคนที่เราคิดว่าเก่งมาร่วมบริหาร แรกก็ไปได้ดี แต่พอซักพัก วิสัยทัศน์เราก็เริ่มไม่ตรงกัน หนักเข้าก็กลายเป็นความขัดแย้ง และในที่สุดคณะกรรมการบริหารก็เลือกข้างเขา และผมก็เป็นฝ่ายต้องออกมา เป็นการออกที่คนรู้กันทั่วไปใหญ่โต สิ่งที่เป็นหัวใจในชีวิตของผมมลายหายไป ชีวิตผมเหมือนไม่เหลืออะไรเลย

ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรอยู่หลายเดือน ผมรู้สึกว่าผมได้ปล่อยให้ความเป็นเจ้าของกิจการหลุดลอยไป ทั้งๆ ที่มีโอกาส ช่วงหลังผมได้พบกับ David Packard (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง HP) และ Bob Noyce (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Intel) เพื่อขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น คนทั่วไปมองว่านี่เป็นความล้มเหลวของผม จนผมคิดจะออกจากธุรกิจไอทีนี่แล้ว แต่แล้วผมก็รู้สึกว่าเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิลไม่ได้ทำให้ความรักของผมกับคอมพิวเตอร์ลดลงแม้แต่น้อย ถึงผมจะถูกปฎิเสธ แต่ผมก็ยังรักมัน ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ถ้ามามองตอนนี้ การออกจากแอปเปิลกลับถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมความรู้สึกหนักอึ้งที่แบกรับไว้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ กลับถูกแทนที่ด้วยการที่ไม่มีอะไรต้องเสียจากการที่เป็นผู้ที่เริ่มต้นใหม่ ผมกลายเป็นคนที่จะไม่มั่นใจกับอะไรมากจนเกินไป และที่สำคัญ มันเป็นการปลดปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ช่วงที่ถือว่ามีพลังสร้างสรรค์มากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต

ในช่วง 5 ปีหลังจากนั้นผมเริ่มทำบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และอีกบริษัทหนึ่งคือ Pixar และพบรักกับหญิงสาวคนที่เป็นภรรยาผมตอนนี้ Pixar ได้ผลิตหนังการ์ตูนแอนนิเมชั่นด้วยคอมพิวเตอร์เรื่องแรกของโลก คือ Toy Story และปัจจุบันนี้ Pixar ก็เป็นสตูดิโอที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และเหตุการณ์ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกจุดหนึ่งก็มาถึง แอปเปิลซื้อกิจการ NeXT และผมก็กลับแอปเปิล และสิ่งที่ผมสร้างไว้ที่ NeXT ก็กลายมาเป็นหัวใจของแอปเปิลในยุคฟื้นฟู และผมก็ได้แต่งงานกับ Laurene

“ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจากแอปเปิล ถือว่าเป็นการให้ยาที่แรงสุด ๆ แต่ก็ถือว่าถูกกับคนไข้ บางทีชีวิตก็เล่นกับเราแรง แต่ขออย่าเสียความเชื่อมั่นศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ผมก้าวหน้ามาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะผมรักในสิ่งที่ผมทำ พวกคุณต้องค้นหาว่าคุณรักอะไร ความจริงมันก็คล้าย ๆ กับการหาแฟนซักคนนั่นแหละ จะว่าไปแล้วการทำงานนี่ถือเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตของเรา ทางเดียวที่จะทำให้เรามีความพึงพอใจสูงสุดก็คือ การได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ มีความหมาย และการที่จะทำให้การทำงานที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จก็คือ การรักในสิ่งที่ทำ ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ตัวเองชอบอะไร ก็จงค้นหาต่อไป อย่าเพิ่งหยุด คุณจะรู้ได้ด้วยใจคุณเองเมื่อคุณค้นพบมัน และมันจะทำให้เราดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นจงค้นหา ต่อไป”



เรื่องที่สาม

ที่จะเล่าให้ฟังวันนี้เป้นเรื่องเกี่ยวกับความตาย เมื่อตอนผมอายุ 17 ผมอ่านเจอคำพูดของคนๆ หนึ่งพูดไว้ว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ สักวันคุณจะดีขึ้นแน่นอน” ผมประทับใจมาก และตลอด 30 ปีตั้งแต่นั้นมา ผมจะมองกระจกและถามตัวเองทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมจอยากทำอะไรและวันนี้จะทำอะไรบ้าง ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบออกมาว่า ไม่รู้จะทำอะไรติดต่อกันหลาย ๆ วันผมรู้ว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว

การระลึกอยู่เสมอว่าเราต้องตายเร็ว ๆ นี้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุด ที่ผมใช้ในยามต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิต เพราะเกือบจะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังต่าง ๆ จากคนภายนอก ความภาคภูมิใจ การกลัว การเสียหน้า หรือล้มเหลว ล้วนแต่ไม่เป็นสาระทั้งสิ้น เมื่อเราต้องเผชิญกับความตาย มันทำให้เรานึกถึงแต่สิ่งที่เป็นแก่น เป็นความสำคัญที่สุดเท่านั้น การระลึกว่า คุณกำลังจะตายเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะหลุดพ้นจากความคิดที่กลัวการสูญเสียอะไรบางอย่าง ชีวิตคุณมีแต่ตัวนี่ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุอะไรที่ไม่เดินตามความฝันของตัวเองเมื่อปีที่แล้วผมไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง หมอทำสแกนผมราว เจ็ดโมงครึ่ง และเห็นชัดว่ามีก้อนเนื้อที่ ตับอ่อน ผมเองไม่รู้แม้กระทั่งว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเท่าที่ดูแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่มีทางรักษา และบอกว่าผมน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 – 6 เดือน หมอแนะนำว่าให้กลับบ้านและจัดการอะไรต่าง ๆ ให้เรียบร้อย พูดแบบชาวบ้านก็คือ หมอบอกให้ไปเตรียมตัวตายนั่นเอง มันหมายความว่าคุณต้องรีบคุยกับลูกในสิ่งที่คุณคิดว่าจะคุยในอีกสิบปีข้างหน้า หมายความว่าต้องเตรียมสิ่งต่าง ๆ ไว้ให้ครอบครัวเมื่อคุณต้องจากไป และหมายความว่าคุณต้องลาโลกนี้ไปแล้ว

ผมอยู่กับความรู้สึกว่าเป็นมะเร็งและต้องตายเร็ว ๆ นี้ทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็นหมอต้องตัดเอาเนื้อเยื่อเพื่อวิเคราะห์อีกครั้ง หมอใช้กล้องส่องภายในสอดผ่านลำคอ ผ่านกระเพาะ ลงลำไส้เล็ก และใช้เข็มเล็ก ๆ เจาะก้อนเนื้อเล็ก ๆ ในตับอ่อนออกมาตรวจ ตอนนั้นผมถูกวางยาสลบอยู่แต่ภรรยาผมบอกภายหลังว่า เมื่อหมอตรวจเนื้อเยื่อผ่านกล้องจุลทรรศน์อีกครั้งหนึ่งก็พบว่า ผมเป็นมะเร็งแบบที่พบได้น้อยมากคือ เป็นชนิดที่รักษาได้ด้วยการผ่าตัด และผมก็เข้ารับการผ่าตัดรักษาจนหายดีแล้วในตอนนี้

นี่ถือว่าเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดของผม และผมก็หวังว่ามันจะรักษาสถิติที่ใกล้ที่สุดไปอีกหลายสิบปีข้างหน้าด้วย การที่ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ก็ทำให้ผมเล่าให้พวกคุณฟังได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดเชิงหลักการอย่างเดียว ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ แม้แต่คนที่อยากไปสวรรค์ก็ไม่ต้องการตายเพื่อที่จะไปถึงที่นั่น แต่ทุกคนต้องตายครับ ไม่มีใครหลีกพ้นความตายได้ และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมถือว่า ความตายน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิต ความตายทำให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเป็นการกำจัดคนเก่าเพื่อเปิดทางให้คนใหม่ ตอนนี้คนใหม่คือพวกคุณทั้งหลาย และจะค่อย ๆ แก่ไปในที่สุดและจะถูกกำจัดไป ขอโทษที่ผมอาจจะพูดอะไรที่เป็นนิยายไปหน่อย แต่ก็เป็นความจริงนะครับ

ชีวิตของพวกคุณมีจำกัดครับ จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตอยู่บนชีวิตของคนอื่น อย่าตกอยู่ในหลุมพรางของความเชื่ออะไรบางอย่าง ซึ่งทำให้เราดำรงชีวิตอยู่บนความคิดของคนอื่นมากดความต้องการที่แท้จริงภายในใจของเรา สิ่งที่สำคัญนะครับ จงมีความกล้าหาญที่จะก้าวเดินตามสิ่งที่หัวใจเราเรียกร้อง ซึ่งตอนนี้อาจจะรู้แล้วว่าคุณต้องการเป็นอะไร อย่างอื่นเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น

ตอนผมหนุ่มๆ มีสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งได้รับความนิยมมากในยุคนั้นคนที่ทำมันขึ้นมาชื่อ Stewart Brand ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ คือที่ Menlo Park ใน Whole Earth Catalog มีบทกวีดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเยอะ ตอนนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1960 ก่อนที่จะมีพีซีเพราะฉะนั้นนิตยสารนี้จึงทำขึ้นด้วยพิมพ์ดีดมือ กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันก็คล้าย ๆ กับ Google ฉบับหนังสือนั่นแหละ คือเกิดก่อน Google 35 ปี มันเป็นอะไรที่อุดมคติ มีคำสอน ข้อคิดเตือนใจดี ๆ มากมาย

Stewart ออก Catalog หลายฉบับแต่ทุกอย่างก็ย่อมมีจุดสิ้นสุด มาถึงฉบับสุดท้ายเมื่อราวกลางทศวรรษ 1970 ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุเท่า ๆ กับพวกคุณนี่แหละ ในปกหลังของฉบับสุดท้ายนี่เป็นรูปถ่ายถนน ในชนบทยามเช้า เป็นภาพที่หลายคนคงเคยสัมผัส ถ้าเผื่อเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ด้านล่างของภาพเขียนว่า “Stay Hungry. Stay Foolish” มันเป็นเหมือนการกล่าวอำลาของพวกเขาด้วย “จงเป็นคนที่หิวอยู่เสมอ จงเป็นคนที่โง่อยู่เสมอ” เป็นสิ่งที่ผมใช้เตือนตัวเองตลอดเวลา และในโอกาสที่พวกคุณจะจบการศึกษาออกไปเผชิญโลกกว้าง ผมขอให้พวกคุณ จงเป็นคนที่ “Stay Hungry. Stay Foolish”




ท้าย FWD mail นี้เขียนว่า
นำมาจาก space //ol2ethanb.spaces.live.com/
ขอบคุณค่ะ
หวังว่าคงกระตุกต่อมอะไรในใจกันได้บ้างนะคะ
หมายเหตุ ถ้าได้อ่านถึงบรรทัดนี้

บุญรักษาค่ะ




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2551
2 comments
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2551 21:08:19 น.
Counter : 774 Pageviews.

 

อ่านแล้วก็กลับมานั่งคิดตาม สอนอะไรได้เยอะจริง ๆ ค่ะ
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ นะคะ

มีความสุขมาก ๆ นะค้า

 

โดย: บัวริมบึง 27 กุมภาพันธ์ 2551 21:32:23 น.  

 

มาอ่านอีกรอบครับ

 

โดย: นายแจม 28 กุมภาพันธ์ 2551 18:33:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สาวแกร่งแรงเหลือน้อย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ถ้าคนเราอยู่ใกล้กันตลอดเวลา
ไฉนเลยจะเข้าใจในคุณค่าของคำว่า "คิดถึง"


จะตำหนิตรงไหน...
หลังไมค์หาข้าพเจ้าได้ตลอดค่ะ



ถ้าคนเราอยู่ใกล้กันตลอดเวลา ไฉนเลยจะเข้าใจคุณค่า ของคำว่า "คิดถึง"



Counter Stats
beauty competitions
beauty competitions Counter
Emo น้องลิง
Emo น้องเพนกวิน
X
X


Quote DB




Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
27 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สาวแกร่งแรงเหลือน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.