I can do everything But, I will do only I want

 
สิงหาคม 2555
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
20 สิงหาคม 2555
 

Slate Take: 04

Slate (4)

“คัท!”

“คัท!”

“คัท!”

“คัท!!!!!! มึงเอาเวลาของกูคืนมาเลยนะ!”

หลังจากที่นั่งกันอยู่ค่อนคืนด้วยเพียงเพราะการถ่ายทำเดินไปเดินมากันอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ยามค่ำ ที่มีเพียงแสงไฟของกองถ่ายและไฟในจุดต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้เปิดส่องสว่างรายทางประปราย สุดท้ายผู้กำกับที่อดทนทนอดอยู่เป็นนานสองนานกับการกำกับอยู่ด้านหลังจอมอนิเตอร์ก็แผดเสียงดังลั่นสะท้อนไปทั่วอาณาบริเวณ ก่อนลุกขึ้นเท้าสะเอวและชี้หน้าคาดโทษนักแสดงนำในเรื่องทั้งสองของตอนนี้อยู่สุดกลั้น อาจจะเพราะใหม่ด้วยกันทั้งคู่และแถมยังเป็น ‘ผู้ชาย’ อีกต่างหาก ฉากที่ถ่ายทำจึงดูลำบากเสียเหลือเกินกับการจะให้อินเนอร์เกิด

“พอๆๆ วันนี้ไม่ถ่ายแล้วว้อย เลิกกอง! มึง! ลุกได้แล้ว มานั่งหลับกรนน้ำลายไหลย้อยอยู่ได้ สบายอยู่คนเดียวนะมึงเนี่ยอิพิช เห็นแล้วกูโมโหไปๆๆๆ !!!”

ไม่ว่าเปล่ายังเอาเท้ายันขาเก้าอี้พับจนเกือบหงายหลังอย่างพาลพะโลฟาดงวงฟาดงา....ชายหนุ่มที่นั่งกอดอกหลับพริ้มอยู่เมื่อครู่ถึงกับสะดุ้งและพยุงสังขารบาลานซ์ตัวให้ตรงกลับมานั่งดังเดิม ก่อนจะเถียงออกไปอย่างเซ็งๆ

“เอ๊า ก็แล้วพี่มะเป็นคนเรียกให้เรามาเองนะ ยังมาไล่กันอีก”

ใช่แล้วล่ะ ก่อนที่จะขึ้นเชียงใหม่มานี่ ยังนอนกลิ้งเกลือกอยู่บ้านที่กรุงเทพสบายใจปรีดิ์เปรมอยู่เลย กระทั่งที่ได้รับโทรศัพท์โวยวายตามตัวให้มากองถ่ายด้วยกันนั่นล่ะ



“ต้องไปด้วยทำไมอ่ะ? ไม่มีซีนให้เราเข้าเสียหน่อย”

“มึงมานั่นแหละดีแล้ว อย่างน้อยมาให้กูด่าก็ยังดี”

“อ้าว พี่ก็ด่าเด็กในกองไปดิ เกี่ยวไรกับพิชอ่ะ”

ริมฝีปากอิ่มหยักยิ้มและหัวเราะในลำคออย่างขันๆ ทีฝ่ายปลายสายเอ่ยชักชวนเสีย....น่าไปเชียว เรียกให้ไปด่าแก้ว่างแล้วกูจะไปทำไมกันวะ สู้นอนหาแรงบันดาลใจอยู่กับบ้านหรือจับเครื่องบินไปภูเก็ตนอนฟังเสียงคลื่นลมเล่นเย็นใจไปพลางๆ ไม่ดีกว่าหรือไงกัน

“อย่างน้อยก็มาดูอิมาร์ชน้องมึงหน่อย มาช่วยสอนมันสักนิด”

อึ่ก.... พอได้ยินชื่อนี้หลุดออดมาก็ทำเอาชะงักไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จากคืนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรหรอก ก็ทำตัวเหมือนปกติแสร้งไม่รู้ไม่เห็นและทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กที่ดีของตัวเองต่อ กระทั่งแมงโพงรับตัวไปดูแลเองตามที่ได้บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรก ....เหงา.....มันก็มีอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกันที่ตัวยุ่งหายไปจากชีวิตแล้วรู้สึกโหวงๆ อะไรขาดหายไป แต่พอหลายๆ วันเข้า ความเหงานที่เป็นเสมือนเพื่อนกันมาตลอดทั้งชีวิตก็ทำให้อะไรๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติดังเดิมที่เคยเป็น ใช้ชีวิตที่ไม่มีใครหรืออะไรนั้นต่อไป

“ยังไม่อยากขึ้นเชียงใหม่”

“มึงมาซะให้จงไว กูรอพรุ่งนี้ที่บ้านนะ สวัสดี”

นั่นคือเหตุที่ให้ต้องมานั่งหลับข้างๆ ผกก.คนดังคนนี้โดยไม่ได้เต็มใจเลยจริงๆ ทุกคนในกองยังคงง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของและอุปกรณ์ทั้งหลาย ขณะที่ชายหนุ่มรุ่นเยาว์นั้นยังคงมองจ้องไปยังตึกเรียนที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า พิชจ้องมองดูรุ่นน้องและศิษย์ตัวเองพลางขมวดคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป กระทั่งที่เมื่อฝ่ายนั้นหันมาสบตาเข้าและผงะเล็กน้อยด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ทั้งที่ทุกครั้งปกติที่เจอกันจะต้องได้เห็นรอยยิ้มสดใสร่าเริงระบายอยู่บนใบหน้านี้เสมอแท้ๆ

จะเอายังไงดี... จะปล่อยให้มันซึมกะทือต่อหรือว่าจะเข้าไปหาชวนคุยให้หายนอยด์ดีวะ? ไม่ ไม่เอาดีกว่า ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละเผื่อมันจะคิดอะไรได้ด้วยตัวเอง ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะการเรียนรู้และประสบการณ์ บางครั้งไม่ยุ่งก็ดีกว่าเข้าไปก้าวก่ายและชี้นำ ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก เออไม่มีกูเดี๋ยวพี่มะก็เข้าไปปลอบมันเองล่ะน่ะ ผู้กำกับอธิบายและทำความเข้าใจกับนักแสดงเป็นเรื่องปกตินะ นั่นแหละๆ เดี๋ยวก็ต้องเป็นแบบนั้น แต่... แล้วพี่มะหายไปไหนแล้ววะ แล้วนี่มันจะยืนอยู่อีกนานป่ะเนี่ย เฮ้อออ.....

สุดท้ายก็เดินไปยืนข้างๆ มันจนได้....

“ว่าไง...”

“โคตรเครียดอ่ะพี่ พี่มะด่าซะเละเลย”

“ก็ไม่ได้เรื่องจริงๆ นี่นา”

“นี่พี่จะปลอบผมหรือว่าจะเหยียบผมซ้ำแน่เนี่ยพี่พิช”

“ฮะๆ ล้อเล่นๆ” พิชหัวเราะและตบไหล่มาร์ชเบาๆ

“มันแย่มากเลยเหรอพี่”

“อือ แต่มันก็งี้แหละก็ใหม่ด้วยกันทั้งคู่นี่ทั้งมาร์ชแลวก็แจ๊ค แต่ก่อนพี่ก็เป็นนะ พี่มะด่าสาดเสียเทเสียแทบทุกฉากเลย จริงๆ ต้องบอกว่าไม่มีฉากไหนไม่โดนนะ ก็....ตั้งใจให้มันมากกว่านี้ลองคิดและเข้าถึงบทที่เราได้รับให้มากกว่านี้ ประเดี๋ยวอินเนอร์มันก็มาเองแหละ อย่าให้เสียชื่อคนช่วยเทรนด์ดิ”

“พูดซะกดดันกว่าเดิมนะเนี่ย”

มาร์ชหัวเราะแห้งๆ ก่อนทำคอตกอีกครั้ง

“กลับไปนอนซะพรุ่งนี้สมองจะได้โล่ง ทำตัวให้ว่างเปล่าเอาเนเข้ามาใส่ในตัว โอเคนะ”

“.........”

“.........”

“พี่พิชครับ”

“หือน์”

“พี่ช่วยอะไรผมสักอย่างได้ป่ะ?”

“ช่วย? ยังไง?”

แม้ไม่ได้อยากช่วยเพราะกูง่วงจะแย่! แต่ก็ต้องถูกลากถูลู่ถูกังไปจนทั่วอาณาบริเวณโรงเรียนตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ทีมงานทยอยกลับกันไปแล้วบางส่วน มะเดี่ยวที่เห็นสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ต่อบทกันไปมาก็ปล่อยเลยตามเลย กลับบ้านไปก่อนเสียอีกคนโดยที่ไม่คิดจะรอหรือเตือนให้ทั้งสองรีบกลับ ...เตือนให้โง่ แค่นี้ก็เสียเวลาจะแย่แล้ว ถ้าพิชมันช่วยต่อบทจนอีคนแสดงมันเชี่ยวขึ้นมาได้เนี่ย ผู้กำกับอย่างเราก็จะเหนื่อยด่าน้อยลง เสียเวลาน้อยลง เพราะฉะนั้นถือเป็นเรื่องดีที่สุดแล้วที่จะปล่อยให้พวกมันซ้อมบทกันต่อไป

จู่ๆ ก็ต้องมาเล่นเป็นบีม พูดจ้อโน่นนี่ชวนเนคุยไปตลอดทางกับฉากซ้ำๆ ที่เจ้าตัวเล่นไม่ผ่านและคอบคอมเม้นท์ให้เป็นแนวทาง ดีที่แอบงีบไปบ้างระหว่างถ่ายทำนะความง่วงมันเลยลดลงกึ่งหนึ่งและโฟกัสไปยังการช่วยเหลือรุ่นน้องคนนี้ได้อย่างเต็มที่ ช่วงไหนที่ไม่ได้ต่อบทกัน มาร์ชก็จะซักถามถึงโรงเรียนแห่งนี้ที่ตนเคยเรียนอยู่และคะยั้นคะยอให้เล่าชีวิตในวัยเรียนให้ฟัง โรงเรียนก็ถือเป็นสถานที่แห่งความทรงจำอีกที่หนึ่งก็ว่าได้ และในยามนี้ที่ความมืดเข้าปรกคลุมทุกพื้นที่ ความเงียบสงัดที่ไร้ซึ่งผู้คนวิ่งเล่นไปมาขวักไขว่ ช่างไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ กลัวมั้ยก็ไม่กลัวนะ เนื่องจากไม่ใช่คนกลัวผีสางหรือความมืดแต่อย่างใดอยู่แล้ว สมัยเรียนอยู่เชียงใหม่บ้านเกิดนี้ก็เคยออกไปตะลอนกับเพื่อนๆ ลองของมุดเข้าออกบ้านร้างหรือที่ๆ เขาว่ากันว่ามีผีดุเจอกันมาเยอะอยู่เป็นประจำ นึกถึงแล้วก็ขำว่าแต่ก่อนใยถึงได้ซ่าบ้าบิ่นได้ขนาดนั้นวะ

“พรุ่งนี้มีฉากชวนดูหนังด้วย”

“อ้อ แล้วลองซ้อมกับแจ๊คบ้างหรือยังล่ะ?”

“ยังเลยพี่ พี่.....ซ้อมกับผมหน่อยนะ”

“พี่มะเซ็ทฉากนี้ไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ พี่ไม่ดูสตอรี่บอร์ดเสียด้วย”

“แปลว่าพี่พิชจะช่วยซ้อมกับผมใช่ป่ะ?”

“ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ซ้อมได้ไงวะ” พิชหัวเราะลงคอและเริ่มกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อหาทำเลที่จะจำลองฉากดังกล่าว ก่อนจะหยักยิ้มน้อยๆ และชักชวนให้ชายหนุ่มเดินตามมายังลานชั้นลอยของตึก

“น่าจะประมาณนี้ล่ะมั้ง ลองดูนะ”

แล้วทั้งสองคนก็เริ่มต้นสวมบทบาทของเนและบีมในเรื่อง แต่มันก็เป็นได้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น

“เอายั้งอ่ะ” พิชเอ่ยถามทั้งที่ยังคงหันหลังให้อยู่นี้ แต่ทางอีกฝ่ายหนึ่งสิกลับไม่ตอบรับคำใดๆ กลับมาแม้สักนิด

“..............”

“..........มาร์ช?”

“...ผมว่าเอางี้เหอะ พี่เล่นเป็นเนให้ผมดูดีกว่า แล้วเดี๋ยวผมเป็นบีมให้นะ ผมจะได้ดูตัวอย่างจากพี่พิชว่าต้องเล่นยังไง แบบนี้ดีกว่านะผมว่า....”

หลังจากที่เงียบอยู่นานมาร์ชก็เอ่ยปากบอกพร้อมเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้ายุ่งยากใจสุดๆ ร่างบางจึงพยักหน้ารับและหยิบบทเนออกมาอ่านพลางท่องแทน ทุกสิ่งกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี มาร์ชและเขาต่างก็ต่อบทกันไปมาได้อย่างเป็นธรรมชาติกระทั่งที่...

“พี่ไปดูหนังกับผมได้มั้ยครับ”

นัยน์ตาซุกซนขี้เล่นจ้องมองมาที่ตาคมคู่สวยหวานนี้พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ หัวใจที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกลับเต้นตึกตักไร้การควบคุมราวกับว่ามันมีชีวิตได้ด้วยตัวของมันเอง.... พิชชะงักท่าทีไปชั่วระยะเวลาที่ถูกสายตานั้นจ้องมองมาอย่างหลุดอยู่ในภวังค์ กระทั่งที่เหมือนมีอะไรบางอย่างมาสะกิดให้รู้สึกสำนึกได้ ถึงได้กลับมาสู่บทที่ตนแสดงอีกครั้ง เจ้าตัวเอ่ยลั่นแก้เขินและทำลายบรรยากาศเมื่อครู่นี้สิ้น.... จริงๆ มันก็บทเนแหละแต่เวลานี้มันชักเป็นตัวเองพิกล

“เฮ้ย พอก่อน” พูดไปได้แค่นั้นก็ถูกจับคว้าข้อแขนเอาไว้

“นะๆ ไปดูหนังกับผมเหอะนะพี่”

“...พอแล้ว เลิกๆๆ”

“อะไรกันกำลังเคลิ้มเลย” ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มและหัวเราะในทีก่อนปล่อยมือมาอ่านบทที่ตัวเองกำลังเล่นอยู่นี้....หรือเล่นเป็นตัวเองอยู่ก็ไม่อาจคาดเดาได้

“เป๊ะ! ผมเล่นเป็นบีมแทนดีกว่าอีกนะเนี่ย ว่ามั้ยพี่พิช”

“อือ...”

แล้วจะให้พูดอะไรได้อีกวะว่าเกือบจะหลุดปากตอบตกลงไปดูหนังกับมันแล้วน่ะเมื่อกี้นี้ ทั้งที่มันเป็นเพียงแค่บทพูดที่ต้องเล่นเท่านั้น

“แต่ผมจะทำแบบพี่พิชได้มั้ยเนี่ย ยากชะมัด”

“ก็ดูไว้เป็นตัวอย่างก็พอไม่ต้องทำให้เหมือนหรือทำแบบเดียวกันนี่หรอก เล่นเป็นตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว กลับบ้านเหอะเรา ...ไป”

พิชพูดตัดบทและเดินนำหน้าลงบันไดตึกไป

“แล้วถ้าผมชวนพี่จะไปดูกับผมหรือเปล่า”

????? หูแว่วแน่นอน สงสัยมันท่องบทอยู่ ช่างเหอะกูง่วงจะแย่อยู่แล้วขอกลับไปนอนพักเอาแรงไว้ให้พี่มะเดี่ยวด่าเล่นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน วันนี้ยิ่งรู้สึกแปลกๆ พิกลๆอยู่ด้วย คิดดังนั้นร่างบางเจ้าถิ่นจึงไม่ตอบความใดๆ ออกไปทั้งยังเร่งฝีเท้าลงตึกไม่พูดไม่จาอะไรอีก มีเพียงรุ่นน้องที่เดินตามลงมาด้านหลังนั้นที่ลอบยิ้มพึงใจอย่างเงียบๆ




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2555
0 comments
Last Update : 20 สิงหาคม 2555 20:48:07 น.
Counter : 3231 Pageviews.

 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

meichan
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




"ข้าพเจ้าไม่ขอข้องเกี่ยวกับผู้ใด"


ข้าพเจ้ารักอิสระเสรีภาพ ไม่ยึดติดอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นเสรีชนที่ไม่ใยดีหรือยินร้ายกับเรื่องของใคร

ข้าพเจ้ารักสงบ แต่ไม่เคยได้ความสงบจากคนทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ชอบความวุ่นวาย แต่จะถูกจุ้นจ้านจากคนอื่นอยู่ร่ำไป ข้าพเจ้าหวังความจริงใจ แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ให้ไปโดยไม่ได้สิ่งนั้นกลับมา

เตือนใจตัวเอง
ความซวยของข้าพเจ้า คือการรักคนอื่นมากเกินไปทั้งที่เค้าไม่ได้อะไรกับตัวข้าพเจ้าเลย




New Comments
[Add meichan's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com