|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
12 เมษายน 2553
|
|
|
|
โรคกระเพาะอาหารบิด Gastric Dilatation-Volvulus
โรคกระเพาะอาหารบิด Gastric Dilatation-Volvulus
Gastric Dilatation-Volvulus หมายถึง การโป่งพอง พร้อมกับการบิดตัวของกระเพาะอาหารซึ่ง ทำให้อากาศและของเหลวที่มีอยู่ภายในไม่สามารถเคลื่อนตัวไปตามลำไส้ได้ตามปกติ ถ้ากระเพาะอาหารมีการโป่งพอง แต่ไม่บิดตัวมีชื่อจะเรียกว่า Simple dilatation สามารถหายใจเป็นปกติได้ด้วยตัวเองคำว่า Dilatation หมายถึง การขยายตัวใหญ่ขึ้นของอวัยวะหรือโครงสร้างเกินขอบเขตรูปร่างปกติ การกระทำที่ทำให้เกิดช่องว่างหรือรูปร่างขยายขึ้น
โรคกระเพาะอาหารบิด จะเป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน พบว่าในสัตว์ที่มีภาวะเช่นนี้ในขณะที่ำกำลังให้การรักษา โอกาสสุนัขจะเสียชีวิตสูงถึง 25% - 45% การที่กระเพาะอาหารมีการโป่งพอง พบว่ามีสาเหตุจากการทำหน้าที่ของส่วนปลาย กระเพาะอาหารผิดปกติ หรืออาจจะมีการขัดขวางการบีบตัว จากอวัยวะใกล้เคียง แต่สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังระบุไม่ได้แน่ชัด แต่เมื่อใดที่เกิดการโป่งพองของกระเพาะอาหาร จะทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของน้ำและอาหารรวมทั้งก๊าซที่อยู่ภายในกระเพาะอาหาร ไม่เป็นไปตามปกติ จะเกิดการอุดตันของหลอดอาหารและ ส่วนปลายของกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารเกิดการบิดตัว อาจสังเกตุพบว่าขนาดของท้องจะป่องมากกว่าปกติอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการสะสมของก๊าซ น้ำ และอาหารที่สุนัขกินเข้าไป สุนัขที่มีความเสี่ยงของโรคนี้ได้แก่ สุนัขตัวผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน กินอาหารวันละ 1 ครั้ง หรือสุนัขที่ตะกละ กินอาหารรวดเร็วและมีนิสัยขี้กลัว นอกจากนี้สุนัขพันธุ์ที่มีช่องอกลึก หรือการให้สุนัขกินอาหารโดยให้ชามอาหารอยู่สูงกว่าตัวสุนัข จะเป็นสาเหตุโน้มนำ เนื่องจากสุนัขจะกินอากาศเข้าไปและเกิดกระเพาะโป่งตามมาได้
ข้อแนะนำสำหรับผู้เลี้ยงสุนัขในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการกระเพาะอาหารบิด ดังนี้
ถ้าเลี้ยงสุนัขหลายตัวในบ้าน การให้อาหารในบริเวณเดียวกันพร้อมๆกันอาจทำให้สุนัขรีบกินอาหาร ดังนั้นจึงควรแยกให้อาหารแต่ละตัวไม่ให้มองเห็นกันจะดีกว่า อย่าให้วิ่งหรือออกกำลังกายหลังกินอาหารทันที อย่าให้อาหารโดยให้ชามอาหารอยู่สูงกว่าตัวสุนัข อย่าผสมพันธุ์กับสุนัขที่มีประวัติเคยมีอาการดังกล่าวมาก่อนแม้จะไม่ถึงขั้นบิดก็ตาม ในสุนัขที่มีอาการดังกล่าวควรทำการผ่าตัดโดยยึดกระเพาะอาหารติดกับผนังช่องท้อง เพื่อเป็นการป้อกันกระเพาะบิด ควรรีบพาสุนัขพบสัตวแพทย์ทันทีที่มีอาการท้องป่องและควรเคาะที่ท้องว่ามีกาซอยู่หรือไม่ หรือสังเกตุว่าสุนัขมีอาการหายใจลำบากหรือกระวนกระวายหรือไม่ เพราะนั่นคือสัญญาณ เตือนว่าสุนัขของท่านกำลังมีความผิดปกติเกิดขึ้น
กลไกที่เกิดขึ้นในร่างกายสัตว์ขณะเกิดกระเพาะอาหารบิด
เมื่อกระเพาะอาหารมีขนาดใหญ่ขึ้น จะไปกดการไหลเวียนของเลือดที่จะนำเลือดไปสู่หัวใจ มีผลทำให้ปริมาณเลือดเข้าสู่หัวใจน้อยลง ทำให้มีการขาดเลือดไหลเวียนจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย และเกิดภาวะช็อคก็จะตามมา เนื่องจากเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆในร่างกาย ขาดออกซิเจน ได้แก่ไต หัวใจ ตับอ่อน กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก สัตว์จะเสียชีวิต เนื่องจากเกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ ( cardiac arrhythemias)
สุนัขพันธุ์ที่มีช่องอกลึกพบว่ามีโอกาสเป็นโรคนี้บ่อย ได้แก่ Greatdane ,Weimaraner, Saint Bernard, Iris setter นอกจากนี้ยังพบในพันธุ์ขนาดกลาง เช่น Chow chow , Basset hound, Bulldog
การวินิจฉัย อาการของโรคที่สำคัญคือ สุนัขจะมีการขยายใหญ่ของช่องท้องคล้ายลูกโป่ง เมื่อเคาะจะพบว่ามีเสียงดังเหมือนกลอง สุนัขมักจะอ่อนเพลียไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ มีอาการหายใจลำบากหรือหอบมากกว่าปกติ ไม่ยอมกินอาหารหรือน้ำ การเอกซเรย์จะเป็นการวินิจฉัยที่ดีที่สุด ควรมีการตรวจเลือดเพื่อหาค่า blood gas พบว่าสุนัขในภาวะดังกล่าวมักมีค่าเลือดเป็นกรด ซึ่งจะต้องรีบแก้ไขภาวะดังกล่าวก่อนที่จะลุกลามมากขึ้น
การรักษา
เบื้อง ต้นหลังจากการวินิจฉัยและตรวจ blood gas สัตวแพทย์จะต้องให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดสุนัขทันทีโดยเฉพาะในสัตว์ที่มีอาการ ช็อค และควรตรวจดูว่าหัวใจมีการเต้นที่ผิดปกติหรือไม่ถ้าสามารถสอดท่อ เข้าทางปากเพื่อระบายลมออกจะช่วยให้สุนัขสบายขึ้น และควรรีบทำการผ่าตัดโดยเร็วเพื่อแก้ไขภาวะช็อคและการเกิดภาวะไม่สมดุลย์ใน กระแสเลือดตามมา
จุดประสงค์ในการผ่าตัดแก้ไขกระเพาะอาหารบิด 1. เพื่อตรวจดูว่ากระเพาะอาหารและม้ามมีเนื้อตายหรือไม่ ถ้ามีต้องทำการตัดออกไป 2. เพื่อเอาลมออกจากกระเพาะอาหารและแก้ไขการบิดตัวของกระเพาะอาหาร 3. ทำการยึดกระเพาะอาหารเข้ากับผนังช่องท้องอย่างถาวร เพื่อป้องกันการบิดตัวที่จะเกิดขึ้นใหม่ โดยการใส่ท่อชนิดพิเศษ Peg tube โดยยึดผนังกระเพาะอาหารกับผนังช่องท้อง ด้วยวิธี เรียกว่า Tube Gastropexy การคาท่ออุปกรณ์ชนิดนี้ที่ช่องท้อง หลังการผ่าตัดอย่างน้อย 7-10 วัน ท่อดังกล่าวมีประโยชน์มาก เพราะนอกจากสามารถใช้ป้อนอาหารโดยตรงเข้าสู่ กระเพาะอาหาร ในรายที่สุนัขยังมีอาการเบื่ออาหาร ไม่ยอมทานอาหารเอง และสามารถช่วยระบายกาซที่เกิดขึ้นใหม่ออกทางท่อนี้ตลอดเวลา
ผลการผ่า ตัดพบว่า ถ้าสุนัขสามารถรอดจากการผ่าตัดภายใน 24 ชั่วโมงแรก อัตราการปลอดภัยและ สามารถกลับบ้านได้มีมากถึง 100% ( จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของผู้เขียน ) 4. หลังการผ่าตัด 24 ชั่วโมงแรก ควรมีการ monitor สภาพสัตว์ด้วยเครื่อง pulse oximeter ตลอดเวลา เพื่อดูอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ อุณหภูมิร่างกาย ความดันเลือด และควรให้ออกซิเจนตลอดเวลาเพื่อให้การทำงานของหัวใจเป็นปกติ สุนัขจะฟื้นตัวดีขึ้น
หมายเหตุ การดูแลหลังการผ่าตัดในรายดังกล่าว ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากสัตวแพทย์ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้สัตว์นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล ไม่อนุญาตให้กลับบ้าน เพื่อความปลอดภัยต่อตัวสัตว์
การดูแลหลังผ่าตัด 1. ตรวจเลือดเพื่อดูค่าชอง electrolyte ในกระแสเลือดและค่าความเป็นกรดด่างในร่างกาย พร้อมกับการแก้ไขให้สภาพเลือดในร่างกายอยู่ในสภาพที่สมดุลย์ที่สุด 2. ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG เพื่อดูว่า มีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะหรือไม่ ถ้ามีสัตวแพทย์ต้องรีบแก้ไข 3. ถ้ามีการอาเจียน เนื่องจากเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ต้องรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ควรให้ยาลดกรดในกระเพาะ 4. หลังการผ่าตัด 12-24 ชั่วโมง ควรให้อาหารอ่อนๆ ไขมันต่ำและควรให้น้ำในปริมาณแต่น้อยวันละหลายครั้ง เพื่อเริ่มการทำงานของระบบการย่อยอาหารให้ดีขึ้น 5. ควรให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อนตามมา 6. ถ้าการผ่าตัดใช้เวลานานและกระเพาะอาหารบิดอยู่นานมากกว่า 6-12 ชั่วโมง อัตราการตายจะสูงมากขึ้นอาจถึง 55% ของสัตว์ที่ได้รับการผ่าตัดแก้ไข 7. มีโอกาสเกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบภายหลังการผ่าตัด เนื่องจากการติดเชื้อของแบคทีเรีย
credet: siberianhuskyclubofthailand
Create Date : 12 เมษายน 2553 |
Last Update : 23 เมษายน 2553 9:54:09 น. |
|
0 comments
|
Counter : 4254 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
mooaoun |
|
|
|
|