Over 3,000 Miles in 20 Days : U.S. West Coast Road Trip [DAY 13]Monument Valley & Arch National Park

//pantip.com/topic/32403585

สวัสดีครับ อมยิ้ม01

คราวก่อนเราได้ไปชมความสวยงามของ  Antelope Canyon และ Horseshoe Bend กันแล้ว วันนี้เราจะเดินทางต่อจาก รัฐ Arizona ผ่าน " Monument Valley " ซึ่งมีความน่าสนใจตรงภูเขาหินรูปร่างแปลกๆ ที่ถูกดันตัวขึ้นมาจากพื้นดิน ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่องครับ ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังรัฐ Utah ซึ่งมี TOP 5 National Park ที่ใครมาแล้ว ไม่ควรพลาดครับ  โดยเราจะเดินทางไป " Arch National Park " เป็นแห่งแรก   เพื่อชมอาณาจักรความยิ่งใหญ่ของก้อนหิน รูปทรงต่างๆ ที่รับรองว่าคุณจะต้องตะลึงกับความแปลกที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้นมา

ไปชมพร้อมกันเลยนะครับ พาพันไฟท์ติ้ง



เช้าวันนี้เราออกเดินทางจากเมือง Page ประมาณ 7 โมงกว่าๆ

จุดหมายแรกมุ่งหน้าสู่ Monument Valley โดยใช้เส้นทางหมายเลข 89 ที่เราผ่านไปทัวร์ Antelope Canyon เมื่อวานนี้ครับ







ผนังบ้านหลังนี้เก๋มากครับ  ว่าแต่นั่นรูปใครอ่ะอมยิ้ม35





ขับตรงมาเรื่อยๆ พอข้ามทางรถไฟ ให้เลี้ยวซ้าย เข้าสู่เส้นทางหมายเลข 160 มุ่งหน้าสู่ Kayenta ครับ

เช้านี้ท้องฟ้าสวยทีเดียว แต่เมฆเยอะไปนิด สองข้างทางก็จะเป็นที่ราบสลับกับภูเขาหิน นานๆ จะเจอบ้านคนสักที

พาพันชอบ











พอถึง Kayenta เราจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหมายเลข 163

อีกไม่ไกลเราก็จะเดินทางข้ามจาก รัฐ Arizona ไปสู่ รัฐ  Utah แล้วครับ



อีกประมาณ 25 ไมล์ ก็จะถึงจุดหมายแรกแล้ว พาพันไฟท์ติ้ง



ว้าว สวยมาก เหมือนอยู่ในหนังไหมครับ





ขับอยู่ดีดี ตาก็สังเกตเห็นตัวอะไรกำลังข้ามถนนอยู่  ต้องบอกให้คนขับชะลอรถ

นี่มัน "สุนัขจิ้งจอก " !! นี่นา  ใช่ไหม ..ใช่แน่ๆ ขนสวยเชียวครับ



หลังจากตื่นเต้นกับสุนัขจิ้งจอก  ก็เริ่มสงสัยกันต่อ เพราะข้างทางแถวนี้   เราสังเกตเห็นประกายระยิบระยับ สะท้อนเข้าตามาตลอดทาง มองดูเหมือนเป็นเศษกระจก หรือพวกขวดแก้วแตก

แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร หรือจะเป็นเพชร !!! เพราะเห็นชาวบ้านแถวนี้ก็จอดรถลงมาเก็บ อยากจะลงไปถามเหมือนกัน 555



อีกไม่ไกลก็จะถึง Monument Valley แล้ว ซึ่งถ้าดูในแผนที่ ยังอยู่ใน Arizona นะครับ แต่ใกล้เส้น Utah State Line มากๆ





ข้างทางก็มีร้านขายของ ของชาว Navajo(นาวาโฮ)ให้ได้เลือกซื้อกันด้วย แต่เราไม่ได้แวะครับ

มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับภูเขาหินรูปทรงแปลกตา ที่เริ่มโผล่ให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ  บ้างก็มียอดแหลม บ้างก็มียอดตัดแบนราบ

เหม่ือนกำลังเข้ามาอยู่ในหนังคาวบอย กันเลยทีเดียว ม้า







ถึงปากทางเข้าแล้วครับ เลี้ยวขวาเข้าไปอีก ประมาณ 4 ไมล์ก็จะถึง Monument Valley



ทางขวามือมีป้ายให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก แต่จอดไม่ทัน  ร้องไห้





ถึงด่านเก็บเงิน ต้องเสียค่าเข้าคันละ $20 สำหรับ 4 คน คนต่อไป จ่ายเพิ่มคนละ $10 ครับ (ตอนผมไปจ่าย $5) เข้าใจว่าเพิ่งเปลี่ยนแปลงนะครับ

เจ้าหน้าที่ก็จะให้แผ่นพับรายละเอียดคร่าวๆ ของ Monument Valley มาด้วย

//navajonationparks.org/htm/monumentvalley.htm





ขับตรงเข้ามาที่ Visitor Center กันเลยครับ  ตึกติดกันจะเป็น The View Hotel เผื่อใครอยากพักที่นี่ แต่ค่าห้องสูงเอาการอยู่เหมือนกัน  ตอนนี้หาที่จอดรถกันก่อนครับ

//monumentvalleyview.com/









เข้ามาที่ Visitor Center หาห้องน้ำเข้าก่อนเป็นอันดับแรก นั่งรถมานาน ไม่ไหวละ อมยิ้ม35



ใกล้กันจะมีห้องจัดแสดง Navajo Code ซึ่งเป็นโค้ดลับ ของชนเผ่านาวาโฮ ที่ใช้สื่อสารกันภายในครับ







ถัดไปก็จะเป็นห้องที่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ของชาว Navajo รวมถึงเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และ อาวุธในยุคต่างๆ

ชุดสวยดีนะครับ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สีสันสดใสมากๆ  จะว่าไป ชาวนาวาโฮ ก็หน้าตาคล้ายๆ คนไทยเหมือนกันนะ



















ออกไปที่ด้านนอกจะเป็นจุดชมวิว ซึ่งที่จุดนี้จะเป็นมุมยอดฮิต ที่ทุกคนต้องมาถ่ายภาพครับ

ภูเขาเหล่านี้ มีชื่อว่า (จากซ้ายไปขวา) West Mitten Butte, East Mitten Butte และ Merrick Butte  ตามลำดับ

เห็นแบบนี้แล้วหลายคนคงคุ้นๆ กันบ้าง ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่องเลยครับ ล่าสุดก็ The Lone Ranger (2013) และ A Million Ways to Die in the West (2014)

//indiancountrytodaymedianetwork.com/2013/09/28/12-movies-shot-monument-valley-navajo-nation-151484













สำหรับเส้นทางรถที่เห็นอยู่ด้านล่าง เราสามารถขับเข้าไปได้ครับ  แต่ต้องเป็นรถที่สมบุกสมบันหน่อย เพราะวิ่งบนพื้นดินทราย

ระยะทางรวม ประมาณ 17 ไมล์ มี 11 จุดสำคัญที่ต้องแวะ และต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ $5 ด้วยครับ



หากไม่ขับเข้าไปเอง ก็สามารถนั่งรถของที่นี่เข้าไปชมได้ครับ แต่ค่าบริการก็จะสูงนิดนึง สำหรับเราไม่มีเวลาพอครับ  

หรือหากจะเดิน Trail ก็มีเส้นทาง Wildcat Trail ระยะทางประมาณ 3.2 ไมล์ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครับ



แผนที่เส้นทางภายใน Monument Valley





จากนั้นเราเข้ามาด้านในกันต่อครับ





ร้านขายของที่ระลึก ที่นี่ใหญ่ทีเดียว มีของจำหน่ายมากมาย หลายประเภท ราคาก็สูงเช่นกัน

ราคาที่เห็นยังไม่รวม Tax นะครับ อย่าลืมคิดเผื่อ ส่วนผมได้แค่แม็กเนท ไปอันเดียว ไว้เป็นที่ระลึก

















ชมกันพอหอมปากหอมคอ ประมาณ 11 โมงเศษๆ เราก็ออกเดินทางกันต่อครับ เส้นทางยังอีกยาวไกล  ขับไปตามเส้นทางหมายเลข 163 ครับ









ช่วงนั้นก็กำลังมองหาจุดถ่ายภาพถนนที่เป็นเส้นตรง และฉากหลังมียอด Mesa, Buttes และหินแหลมๆ  แต่ก็หาไม่เจอสักที

จนมองหันหลังกลับไป อ่อ มันอยู่ด้านหลังที่เราขับรถมานี่เอง ... จอดๆๆๆๆ



ตลอดเส้นทางที่ Utah จะเจอแต่วิวแบบนี้ครับ ยิ้ม





นี่ Mexican Hat



ขับชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ  ใครง่วงก็หลับกันได้  หลังรถหลับกันหมดแล้ว อมยิ้ม35อมยิ้ม35





ตอนนี้เข้าสู่เมือง Bluff เมืองเล็กๆ ระหว่างทาง  ช่วงนี้จะเปลี่ยนเป็นเส้นทางหมายเลข 191







จุดหมายปลายทางของเรา คือ เมือง Moab(โมอับ)



ผ่านเมือง Blanding มีพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ด้วยนะครับ







ขับกันเพลินๆ  แต่อย่าเพลินมาก ดูความเร็วด้วยนะครับ ไม่งั้นเจอตำรวจขับตามแน่ๆ  

ซึ่งถ้าเจอตำรวจเรียก ให้นั่งอยู่บนรถนะครับ เพราะถ้าลงมาดู จะเหมือนเป็นการขัดขืน เดี๋ยวตำรวจจะเดินมาทักทายที่รถเองครับ อิอิ











ยังไม่ถึงที่หมายดี ก็เจอ The Window ข้างทางซะละ





ขับกันยาวๆ ครับ







ก่อนถึงตัวเมือง Moab แวะเข้าห้องน้ำที่  Rest Area กันก่อน ที่นี่สวยมากๆครับ บรรยากาศดีสุดๆ นานาเยี่ยม







ใช้เวลาไม่นานเราก็ถึงเมือง Moab  ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของรัฐ Utah กันแล้วครับ  

แต่ขอแวะ Village Market หาของกินกันก่อน ที่นี่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดย่อมๆ ครับ มีสินค้าหลากหลายมาก





จากนั้นตรงเข้าไปในตัวเมือง  Moab ครับ สองฝั่งถนนเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม ปั้มน้ำมัน บริษัททัวร์ เรียกได้ว่า มีครบทุกอย่าง







ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักของเรา Inca Inn เราจะพักกันที่นี่  2 คืนครับ

//www.incainn.com



ด้านหน้ามีร้านอาหารเม็กซิกัน " La Hacienda " เป็นร้านอาหารของที่พักครับ



เข้าไปเช็คอินกันก่อนครับ บริเวณเช็คอินจะอยู่ทางขวามือ ด้านในเป็นห้องอาหารสำหรับทานอาหารเช้าครับ

ตอนเช้าก็จะมีขนมปังหลากหลายชนิด แยม กาแฟ ไข่ต้ม ผลไม้ ให้บริการที่นี่ครับ ถือกลับไปกินที่ห้องก็ได้



ห้องพักจะตั้งอยู่โดยรอบ ตรงกลางเป็นลานจอดรถครับ จอดได้หน้าห้องพักเลย



ที่นี่มีสระว่ายน้ำด้วยนะครับ อยู่ทางด้านหน้าบริเวณทางเข้า เป็นสระขนาดเล็กๆ พอเล่นได้ครับ แต่ลึกมาก

ห้องที่ติดกันกับสระว่ายน้ำ มีเครื่องทำน้ำแข็ง สามารถเอาถังน้ำแข็งในห้องไปรองน้ำแข็งได้





ห้องพักเราอยู่ตรงกลางครับ พุ่งตรงไปเลย เราจองห้องแบบ 3 Queen Beds Superior ไว้ครับ  มีเตียงควีน 3 เตียง พร้อมห้องน้ำ

สะดวกสบายและประหยัดมากครับ  เราจองมา 2 คืน ในราคา ประมาณ $250 ครับ ไม่แพงเลยใช่ไหม

















เก็บของพักผ่อนกันแปปนึง ก็ออกเดินทางกันเลยครับ จากที่พักเลี้ยวขวาไปตามเส้นทางหมายเลข 191



ข้างทางมีกระเช้าให้นั่งด้วยครับ ไม่แน่ใจว่าขึ้นไปชมวิวอะไรกัน



พอมาถึงสามแยก ด้านขวามือจะเป็น Lion Parks มีสะพานข้ามแม่น้ำ Colorado และเส้นทางเดินเลียบแม่น้ำครับ

ลงไปดูแล้วไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร  แต่ถ้ามีเวลา ลองเลี้ยวขวาขับเลียบแม่น้ำ Colorado ไปเรื่อยๆครับ วิวสวยใช้ได้เลย





สำหรับค่าธรรมเนียมของที่นี่ คันละ $10 ครับ แต่เรามี บัตร Annual Pass อยู่แล้วก็โชว์ได้เลย  เจ้าหน้าที่ก็จะแจกเอกสาร แผนที่มาให้









แผนที่ภายใน Arch National Park เป็นแบบนี้ครับ เราเริ่มต้นจากด้านล่างสุดขึ้นไปด้านบนครับ



สำหรับเย็นวันนี้ เราจะเดินทางจาก Visitor Center ไปยัง The Window Section กันก่อนครับ



ผ่าน Visitor Center แต่เราไม่ได้แวะครับ อิอิ





พอขับเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของแท่งหินก้อนยักษ์ ที่ตั้งอยู่ตลอดเส้นทาง



ตอนนี้เราขับขึ้นมาบนเขาแล้วครับ เห็นวิวถนนเส้น 191 ที่เราขับมาอยู่ด้านล่าง



ด้านขวามือยังเห็นภูเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่ นี่คือ " La Sal Mountains"



ขับต่อไปเรื่อยๆ เราจะแวะกันตามทางครับ มีหลายจุดให้แวะ ด้านหน้านั่นเป็นจุดแรกของเราครับ  " Park Avenue ViewPoint "



ลักษณะเป็นกำแพงหินบางๆ คล้ายกับตึกตั้งตระหง่านอยู่  จากจุดนี้ มี Trail ให้เดินด้วยครับ















จากนั้นไปต่อกันที่ " La Sal Mountain ViewPoint "







ที่จุดนี้ ยังสามารถมองเห็น Landmark อื่นๆ ภายใน Arch National Park ได้ด้วยครับ



จากซ้ายไปขวา Three Gossips, Sheep Rock, Tower of Barbel, The Organ







มาดูกันใกล้ๆบ้างครับ



ซ้ายมือ คือ  Three Gossips เหมือนคนสามคนกำลังซุบซิบกัน  ขวามือ คือ Sheep Rock มองออกไหมครับ นานาโอเค







ใกล้ๆกันทางขวามือ คือ  " The Organ "



ด้านหลัง The Organ คือ " Tower of Barbel "



ขับต่อไปเรื่อยๆ เวลาตอนนี้ประมาณ 4 โมงเย็น แล้ว บางจุดก็จะย้อนแสงครับ





จุดต่อไป " Petrified Dunes Viewpoint " เป็นเนินทรายเล็กๆ ที่ผ่านเวลามานาน จนกลายเป็นหิน อย่างที่เห็น









ทางซ้ายมือ เป็นกลุ่ม ของ " Rock Pinnacles " มีลักษณะเหมือนแท่งหินที่ตั้งเรียงรายโผล่ขึ้นมา





จุดต่อไป " Balanced Rock " ไม่น่าเชื่อว่าหินก้อนใหญ่ๆ จะตั้งอยู่บนนั้นได้นะครับ





มี Trail สั้นๆ ให้เดินเข้าไปชมใกล้ๆ



ข้างๆ Balanced Rock คือ  " Bubo Tower "





จากนั้นเราจะเลี้ยวขวาไปต่อกันที่ The Window Sections



ติ่งเล็กๆ นั่น คือ Ham Rock ครับ



จุดแรกที่จะแวะ คือ " Garden of Eden Viewpoint " คิดว่าคงคล้ายตรงองค์ประกอบการวางตัวของหินแต่ละก้อน จนดูเหมือนสวนอีเดน











หันไปมองอีกที โอ้ว มีปีนหน้าผาหินกันด้วย ไม่แน่ใจปีนกันเอง หรือทางอุทยานเปิดให้บริการ



ที่จุดปลายสุดของถนนที่ Garden of Eden มองไป จะเห็นโค้งถนนเบื้องล่างอันสวยงาม







จากนั้นเดินทางต่อครับ



จนมาถึง " Parade of Elephants "





จินตนาการกันหน่อย เหมือนโขลงช้างไหมครับอมยิ้ม16



และแล้วก็มาถึง The Window ของจริงครับ  ซึ่งเป็นลักษณะของก้อนหินขนาดใหญ่ มีรูโค้งตรงกลาง จนดูคล้ายกับหน้าต่าง

ด้านซ้ายมือที่เห็น เรียกว่า " North Window " ส่วนตรงกลาง คือ " Turret Arch "



Turret Arch



North Window





มี Trail ให้เดินสั้นๆ ระยะทางประมาณ 0.7 ไมล์ครับ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที -1 ชั่วโมง

//www.everytrail.com/guide/windows-loop-trail











จากจุดนั้น ขับวนออกมาอีกฝั่ง จะเห็น " Double Arch " ครับ





มุมนี้จะเห็นเป็นวงสองวงอยู่ติดกัน  ลองมองตรงกลาง 1 โค้ง ด้านในมีอีก 1 โค้งครับ





ออกจาก The Windows เราก็กลับที่พักกันครับ  พรุ่งนี้เราจะตามมาเก็บที่เหลือต่อ  เป็นไงครับ ดูหินกัน เริ่มเบื่อหรือยัง ครับ อิอินานาแต่งตัว





วันถัดมาช่วงบ่ายๆ เราแวะมาที่ Arch National Park กันอีกครั้งครับ  สำหรับแพลนวันนี้เราจะไปในยัง Devils Garden และ Delicate Arch กันครับ



เริ่มกันที่ Rock Pinnacles ที่เราผ่านมาแล้วเมื่อวานนี้  เราจะขับเลย The Window Section ไปด้านบนกันต่อครับ



จุดแระที่แวะ คือ " Panorama Point " สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้กว้าง ทั้ง La Sal Mountain รวมถึงชั้นหินที่มีลวดลายอันสวยงาม ซึ่งเกิดจากการทับถมของชั้นเกลือจากมหาสมุทรในอดีต  และผ่านการทำปฎิกิริยากับ สารต่างๆ และแรงดันใต้ผืนโลก มานานกว่า 200 ล้านปี จนเกิดเป็นชั้นหินเกลือ ที่เรียกว่า " Salt Valley " อย่างที่เห็นครับ











Salt Valley ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งเราจะเห็นตลอดสองข้างทางในช่วงนี้



ขับมาถึงทางแยกไปยัง Delicate Arch แต่เรายังไม่แวะครับ ไว้แวะตอนขากลับ



เป็นวิวที่ชอบที่สุดใน Arch ละครับ แต่ละชั้นไล่สีกันอย่างสวยงาม  



ผ่าน Salt Valley Overlook แต่แวะไม่ทัน



เรามาแวะกันที่ " Fiery Furnace Viewpoint " กันก่อน



มี Trail ให้เดินสั้นๆ แต่แดดแรงแบบนี้ ดูอยู่นอกรั้วดีกว่าครับ



ที่จุดนี้ จะมีลักษณะเป็นกลุ่มแท่งหิน ซึ่งมีสีแตกต่างกันไป  ตามแร่ธาตุที่ทำปฎิกิริยากับอากาศ แบคทีเรีย หรือน้ำ จนเกิดสีสันแตกต่างกันไป  หากมาชมช่วงพระอาทิตย์ตกดิน  แสงจะสะท้อนที่แท่งหินจนดูมีลักษณะเหมือนแปลวไฟ สีแดงครับ





ออกเดินทางกันต่อครับ ธรรมชาติสร้างสรร จริงๆ แต่ละจุดก็จะมีหินที่มีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนกันเลย





ที่เห็นนั่น คือ Skyline Arch มี Trail ให้เดินสั้นๆ แต่ไม่ได้แวะครับ





และจุดสุดท้ายที่เราจะมาชมก็คือ  " Devils Garden " ที่จุดนี้เป็นจุดสุดท้ายภายใน Arch National Park ครับ  

วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ และเป็นวันอีสเตอร์ด้วย ดูจากปริมาณรถที่จอด เยอะมากกกก

ในส่วนนี้ดูลึกลับแปลกตา สมกับชื่อ Devils Garden ไหมครับ เหมือนฉากในหนังเทพนิยายเลย







ภายในก็มี Trail ให้เดินหลายจุดครับ ที่น่าสนใจคือ " Landscape Arch "   แต่เห็นคนเยอะแบบนี้ ที่จอดก็ไม่มี ตัดใจ ไม่ไปละ55



หน้าตาของ  " Landscape Arch " เป็นแบบนี้

จริงๆตามรูปร่าง แล้วมันต้องชื่อ " Delicate Arch " ครับ แต่ทางอุทยานใส่ชื่อสลับกัน จนเรียกเลยตามเลยมาจนถึงทุกวันนี้

cr : //en.wikipedia.org/wiki/Landscape_Arch



ขับวนออกมา และขับย้อนกลับไปทางเดิมครับ





เราตรงไปยัง Delicate Arch ที่เราขับผ่านมาก่อน   เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยครับ

หากต้องการเดิน Trail ของ Delicate Arch ต้องแวะที่ Wolfe Ranch ครับ





จอดรถให้เรียบร้อย เราจะไปกันที่ Delicate Arch Viewpoint ครับ



เตรียมหมวก ให้พร้อม และเดินตามมา  สำหรับ " Delicate Arch Viewpoint " นั้นมีทั้ง Lower และ Upper ครับ

เราเลือกเดินไปที่ Upper เพราะ Lower คงมองไม่เห็นอะไรเท่าไร



เดินมาทางซ้ายเลยครับ  



ทางเดินก็เป็นดินปนทราย แต่เดินไม่ยากครับ





มองย้อนกลับไป ที่เราเดินขึ้นเนินมา เมื่อยขาเหมือนกันครับ 555



ในที่สุดก็ถึงแล้ว มองไปที่ฝั่งตรงข้าม จะเห็น Delicate Arch ครับ ซึ่งถ้าใช้เวลาเดินไปยังจุดนั้น ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทีเดียว

แอบมาส่องจากฝั่งนี้ก็โอเคละ อิอิ อมยิ้ม36









เป็นอันจบสำหรับในส่วนของ Arch National Park ครับ ครั้งหน้าเรายังอยู่ที่เมือง Moab แต่เราจะไปเที่ยวกันที่ Canyonlands National Parks

และ Dead Horse State Park กันครับ รับรองสวยไม่แพ้ที่นี่เลย อย่าลืมติดตามชมกันต่อนะครับ



------------------------------------------------

ขอบคุณเพื่อนๆ ที่แวะมาชม นะครับ  พบกันใหม่คราวหน้าครับ พาพันขอบคุณพาพันขอบคุณ

หากเพื่อนๆต้องการติดตามหรือพูดคุย เชิญที่นี่นะครับ

FB: https://www.facebook.com/oLosMagazine

Instagram :onelightoneshadow




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2557
0 comments
Last Update : 2 สิงหาคม 2557 11:53:02 น.
Counter : 2432 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


One Light One Shadow
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




กด like / ถูกใจ OLOS

qrcode free counters
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2557
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
2 สิงหาคม 2557
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add One Light One Shadow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.