OLOS in เพชรบูรณ์ [เมืองต้องห้ามพลาด] ... พาเที่ยวเขาค้อ รอชมหุบเขาสีชมพู ซากุระเมืองไทย ที่ภูลมโล

//pantip.com/topic/33169336
 สวัสดีครับอมยิ้ม01

หากพูดถึงดอกไม้ สายหมอก และขุนเขา จะนึกถึงที่ไหนกันครับ  ถ้าคำตอบคือ เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ แล้วล่ะก็ อมยิ้ม16

วันนี้ผมจะพาไปเที่ยวเขาค้อ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมาอย่างยาวนาน

สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ทุกฤดู   ไม่ว่าจะฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว

"เขาค้อ" ที่เราได้ยินนั้น เป็นแนวทิวเขาน้อยใหญ่ของจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเดิมมีต้นค้อขึ้นอยู่มากมาย

จุดสูงสุดที่ยอดเขาค้อ มีความสูงประมาณ 1,174 เมตรจากระดับน้ำทะเล  อากาศที่นี่จึงเย็นสบายตลอดทั้งปี

ทริปนี้ทาง ททท.ชวนให้มาเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์ และนี่ก็เป็นครั้งแรกของผม ที่มาเยือนเขาค้อแห่งนี้

เดี๋ยวมาชมกันครับ ว่าจังหวัดเพชรบูรณ์มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจบ้าง  พร้อมแล้วตามมาเลยครับเพี้ยนแว๊น




ก่อนที่เราจะเตรียมตัวไปเที่ยว มาดูกันก่อนครับว่า  10 สิ่งในเพชรบูรณ์ ที่ไปแล้วห้ามพลาดเด็ดขาด มีอะไรบ้าง

1.อุทยานเพชรบุระ พุทธมหาธรรมราชาองค์จำลอง
2.กิจกรรมโรยตัว น้ำตกวังตุ้ม
3.ทะเลหมอกเขาค้อ
4.วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
5.งานภูดอกไม้สายหมอก
6.ภูทับเบิก
7.ขนมจีนเส้นสด
8.แมงกะพรุนน้ำจืด แก่งบางระจัน
9.ขี่เสือข้ามทุ่ง อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
10.ไก่ย่างวิเชียรบุรี

เดี๋ยวมาดูกันครับว่าทริปนี้จะเก็บครบทั้ง 10 สิ่ง หรือเปล่าอมยิ้ม35



แผนที่การเดินทาง และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดเพชรบูรณ์

ขอบคุณแผนที่จากชมรมคนรักเขาค้อ-ภูทับเบิกด้วยครับ



หลังจากได้ข้อมูลคร่าวๆแล้ว ก็ได้แผนการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์ 2 วัน 1 คืน เป็นแบบนี้

วันที่ 1
05.00 ออกเดินทางสู่จังหวัดเพชรบูรณ์
07.30 แวะชิมไก่ย่างที่อำเภอวิเชียรบุรี
10.00 ชมอุทยานเพชรบุระ สักการะพระพุทธมหาธรรมราชาจำลอง
11.30 ชมไร่สตรอเบอรี่คุณสิงห์
13.00 ทานอาหารกลางวันที่ร้านเจ๊นวล
13.30 ชมวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
15.00 จิบชายามบ่าย ที่ Blue Sky Resort เขาค้อ
17.00 เที่ยวงาน  Flora in the Mist
18.30 ทานอาหารเย็นที่ร้านครัวบ้านสวน
20.00 เข้าที่พักที่ ฉัตรฟ้ารีสอร์ท

//goo.gl/cJQBUQ



วันที่ 2
05.30 ออกเดินทางจากที่พัก เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ
07.30 แวะจุดชมวิวทะเลหมอกเขาค้อ ริมถนน
07.45 ทานอาหารเช้าที่ฉัตรฟ้ารีสอร์ท
08.45 ออกเดินทางไปยังภูลมโล
11.00 ถึงบ้านร่องกล้า
11.30 ถึงภูลมโล
12.30 ออกเดินทางจากภูลมโล
13.00 ทานอาหารเที่ยงที่ร้านรังทอง
14.00 ออกเดินทางจากอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
15.45 แวะซื้อของฝากที่งานมะขามหวานเพชรบูรณ์
16.15 แวะซื้อของฝากที่ ไร่กำนันจุล
20.15 ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

//goo.gl/BMn2Ak



เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตี 5 ฟ้ายังไม่สว่างเลยครับ ขับมาเรื่อยๆ จนถึงอำเภอวิเชียรบุรี

ที่นี่มีอาหารขึ้นชื่อของเพชรบูรณ์ ที่ใครผ่านมาจะต้องแวะชิมกันแทบทุกคน นั่นก็คือ " ไก่ย่างวิเชียรบุรี " นั่นเอง

เราแวะกันที่ร้านนี้ครับ "ไก่ย่างบัวตอง "



ขับเข้ามาด้านในเลยครับ มีลานจอดรถอยู่ด้านใน



ร้านไก่ย่างที่วิเชียรบุรีส่วนใหญ่จะเปิดตั้งแต่เช้า ช่วง 7 โมงก็เริ่มเปิดขายกันแล้วครับ

ปิ้งกันร้อนๆ กลิ่นหอมฉุยเลยทีเดียว





นอกจากไก่ย่างอันเลื่องชือแล้ว ที่นี่ยังมีไส้อั่ว กับหมูย่างอีกด้วยครับ หน้าตาน่ากินเชียว







หาที่นั่งกันก่อนครับ ช่วงที่มาถึงลูกค้ายังไม่มีเท่าไร แต่เผลอแปบเดียว เต็มร้านเลยครับ ร้านนี้ฮอตจริงอะไรจริง



เริ่มกันที่เมนูแรกที่ต้องสั่ง ก็คือ ไก่ย่าง  (ครึ่งตัว 90 บาท) สั่งมาพร้อมกับข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ (ห่อละ 15 บาท)ทานกับน้ำจิ้มมะขาม  อร่อยสุดๆ



ถัดมาเป็นส้มตำไทย (40 บาท) จริงๆ เมนูแนะนำของที่นี่จะเป็นส้มตำทอดครับ แต่ไม่กล้าลอง กลัวไม่ถูกปาก เลยสั่งแบบธรรมดามา อร่อยใช้ได้ครับ



จานนี้ คือ ตับหวาน (60 บาท) ดูสีสันแล้วท่าทางแซ่บน่าดู แต่รสชาติออกเปรี้ยวไปนิดครับ



จานนี้ คือ ลาบเป็ด (60 บาท) จานนี้ก็ออกเปรี้ยวนำอีกแล้วครับ



และอย่างสุดท้าย คือ ต้มแซ่บซี่โครงหมู (60 บาท) รสชาติเข้มข้นดีครับ

โดยรวมแล้วอาหารอร่อย ราคาไม่แพง  แต่คิดว่าบางจานรสชาติออกเปรี้ยวไปหน่อยครับ



จุดขายอีกอย่างของที่นี่ คือห้องน้ำ ครับ  เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน อยู่บริเวณลานจอดรถด้านหลังครับ



ภายในตกแต่งอย่างสวยงาม สะอาดสะอ้าน ชอบไอเดียตรงที่ทำอ่างล้างมือไว้บนที่ปัสสาวะครับ

เวลาเราทำธุระเสร็จ เมื่อล้างมือ น้ำก็จะไหลผ่านลงไปยังด้านล่าง เป็นการประหยัดน้ำไปในตัว



อีกอย่างที่ชอบ คือ ด้านข้างเปิดโล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่อับด้วยครับ

สำหรับในห้องสุขาก็มีสวนเล็กๆ เปิดโล่งอีกด้วย เรียกว่า ทำธุระไป นั่งชมสวนไป  เก๋ไก๋ซะไม่มี เพี้ยนโบ๊ะหน้า



จากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อไปยัง อุทยานเพชรบุระ ครับ ระหว่างทางจะเจอทุ่งปอเทืองสีเหลืองอร่ามตา สามารถแวะลงไปถ่ายรูปได้ครับ



ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึง "อุทยานเพชรบุระ" แล้วครับ ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 21

สังเกตง่ายๆ เราจะเห็นองค์พระขนาดใหญ่อยู่ทางขวามือ เลี้ยวขวาที่แยกไฟแดง เข้าไปจอดรถด้านในได้เลย





ภายในอุทยานเพชรบุระ ประกอบไปด้วย องค์พระพุทธมหาธรรมราชาจำลองขนาดใหญ่ ซึ่งชาวเพชรบูรณ์สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา







องค์พระนี้ได้หล่อขึ้นที่ โรงหล่อพุทธรังสี นครปฐม และมีพิธีอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาเฉลิมพระเกียรติฯ ขึ้นประดิษฐาน ณ พุทธอุทยานเพชรบุระ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2554

สำหรับพระพุทธมหาธรรมราชาจำลององค์นี้ เป็นพระพุทธรูปเนื้อโลหะหล่อด้วยทองเหลืองบริสุทธิ์ ขนาดหน้าตัก 11.984 เมตร ซึ่งมีความหมายถึง

1 หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์เอก หนึ่งในดวงใจของชนชาวไทย
1 หมายถึง พระพุทธมหาธรรมราชา ซึ่งมีเพียงองค์เดียวในโลก เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์ เป็นองค์พระที่อัญเชิญมาประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเพชรบูรณ์
9 หมายถึง รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
84 หมายถึง วโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา






นอกจากนั้นภายในอุทยานเพชรบุระ ยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ของชาวเพชรบูรณ์อีกด้วย





ภายในด้านหลังองค์พระ  เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และรูปหล่อ  เราสามารถเข้ามาทำบุญได้ครับ แถมยังได้ดอกดาวเรืองมงคลกลับไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย

















สำหรับผู้ที่จะมาที่อุทยานเพชรบุระ แห่งนี้ แนะนำให้มาช่วงเย็น เพราะอากาศไม่ร้อน และสามารถถ่ายภาพได้สวยกว่าช่วงเช้า เนื่องจากไม่ย้อนแสงครับอมยิ้ม36





ไหว้พระทำบุญกันแล้ว เราจะเดินทางต่อ ไปที่อำเภอเขาค้อ  โดยเราจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหมายเลข 2258 ที่สามแยกนางั่ว

ถนนบางช่วงกำลังมีการก่อสร้างขยายเส้นทาง ต้องใช้ความระมัดระวังนะครับ







ใช้เวลาไม่นาน เราก็เดินทางมาถึง ไร่สตรอเบอรี่คุณสิงห์ ครับ  ตั้งอยู่ริมถนนทางซ้ายมือ  

สังเกตลูกสตรอเบอรี่ยักษ์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าไว้ รับรองไม่พลาดแน่ๆครับ





ที่นี่เป็นไร่สตรอเบอรี่ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม  และยังสามารถเก็บสตรอเบอรี่สดๆในแปลงได้อีกด้วย สนนราคากิโลกรัมละ 450 บาทเท่านั้นครับ

พร้อมแล้วคว้าถัง แล้วลุยเลยยย



สตรอเบอรี่ที่นี่เป็นพันธุ์ 80 ลูกใหญ่ หวานหอม  เดินไปเก็บสตรอเบอรี่ไป ถ่ายรูปไป ก็เพลินดีครับ











เก็บกันจนพอใจ เต็มถังแล้ว ก็ไปจ่ายเงินให้เรียบร้อย ห้ามแอบกินในแปลงนะครับ โดนปรับไม่รู้ด้วยนะ อิอิ













จากไร่สตรอเบอรี่คุณสิงห์ เราก็เดินทางต่อโดย เลี้ยวขวาที่สี่แยกรื่นฤดี  และขับตรงไปตามเส้นทางหมายเลข 2196



ผ่านจุดชมวิวทะเลหมอกเขาค้อ  





พอถึงสามแยกแคมป์สน เลี้ยวขวาสู่ทางหลวงหมายเลข 12



ขับตรงไปอีกนิดเดียว ชิดซ้ายไว้นะครับ  เราจะไปทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านเจ๊นวล ซึ่งอยู่ติดๆกับร้านครัวเขาค้อ

สังเกตรถที่จอดข้างทางเยอะๆ ก็ได้ครับ ตรงนั้นแหละ 555



เราสั่งอาหารจานเดียวทานกันง่ายๆ  แต่ผิดคาด อร่อยมากก ทั้งกระเพราหมูกรอบ ข้าวผัดกุ้ง

โดยเฉพาะข้าวผัดกุ้ง  ร้านนี้ผัดได้หอมมาก เนื้อกุ้งก็เด้งดึ๋ง   ส่วนตัวชอบข้าวผัดที่ไม่ร่วน และแห้งจนเกินไป เละนิดๆกำลังดี  อร่อยจนอยากเบิ้ลเลยครับ555





อิ่มท้องกันเรียบร้อย ออกเดินทางต่อไปยังวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วครับ ถัดจากร้านเจ๊นวลไปไม่ไกล จะมีป้ายเลี้ยวซ้ายบอกทางไปวัดแบบนี้

ซึ่งถ้าเข้าถนนเส้นนี้ ทางลงจะชันมากครับ ถ้ากลัวใต้ท้องรถขูด แนะนำให้ไปเข้าซอยถัดไป ทางจะปกติ

แต่เส้นนี้ก็เข้าได้เหมือนกันครับ ตรงเข้าไปจนสุดจะมีที่จอดรถอยู่ทางซ้ายมือ ค่าจอดรถคันละ 20 บาท สามารถเดินเข้าวัดทางด้านหลังได้เหมือนกัน

ส่วนเราขับรถวนไปจอดอีกฝั่งครับ ค่าจอดรถคันละ 30 บาท



เราไม่ได้จอดฝั่งนี้ครับ แต่ขับอ้อมไปด้านหลังเพื่อไปจอดรถอีกฝั่ง  ซึ่งด้านนี้จะมีจุดชมวิวมุมสูง สามารถเห็นวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วได้อย่างชัดเจน  

สำหรับความเป็นมาของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว นั้น เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงราย โอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม

และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่า

เป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์ จึงเรียกตามกันว่า “ผาซ่อนแก้ว” และเมื่อพุทธสถานที่มาตั้งในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขาดังกล่าว

จึงเรียกว่า “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” เพื่อเป็นนิมิตมงคลแก่ชาวบ้านทางแดง และผู้มาปฏิบัติธรรม

//www.phasornkaew.org/



วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2547 ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” ต่อมา ได้รับการอนุมัติจัดตั้งเป็นวัด ในนามว่า “วัดพระธาตุผาแก้ว” เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 ซึ่ง

ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ตั้ง ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า “ผาซ่อนแก้ว”



เราเริ่มกันที่ มหาวิหาร พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ กันก่อนครับ  

มหาวิหารแห่งนี้ สร้างขึ้น เพื่อเป็นการร่วมน้อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในมหาวโรกาสเฉลิมฉลองพระชนม์มายุ 85 พรรษา ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และยังเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงอยู่คู่แผ่นดินไทยต่อไป



โดยรูปจำลองของมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ นี้  ตัวฐานมีขนาดความกว้าง 41 เมตร ยาว 72 เมตร  สูง 45 เมตร

แบ่งเป็น 6 ชั้น โดยส่วนของชั้นที่ 1 และ 2 ได้จัดเป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรม

ส่วนบริเวณอื่นๆนั้น ใช้เป็นที่ประกอบศาสนากิจ ได้แก่ การสวดมนต์ ฟังธรรม และการปฏิบัติภาวนา













สำหรับองค์พระเจดีย์ นั้น สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี

และเป็นที่สืบพระศาสนา ให้ดำรงอยู่คู่แผ่นดินไทย เพื่อประโยชน์แก่มนุษยชาติ และคนรุ่นหลังได้มีโอกาสเรียนรู้ต่อไป

เจดีย์แห่งนี้เป็นทรงดอกบัว 7 ชั้น เรียงซ้อนกันอย่างประณีต สวยงาม โดดเด่นด้วยกระเบื้องเคลือบสีต่างๆ ที่ไม่เหมือนที่ใด

บนยอดเจดีย์ จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก

และ บริเวณใต้ฐานพระเจดีย์จะใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน, ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป







เมื่อขึ้นมายังด้านบน จะสามารถมองเห็นมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ โดดเด่นเป็นสง่า

ส่วนอาคารด้านหลัง มีชื่อว่า อาคารสัจปารมี  มีกุฏิ ที่พัก เรือนไทย และหอฉัน  สำหรับผู้ที่มาปฎิบัติธรรมที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว



รายละเอียดของตัวเจดีย์ ถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสีสันสวยงาม รวมถึงจานชามต่างๆ ทำให้เจดีย์แห่งนี้ดูโดดเด่น และแปลกต่างต่อผู้พบเห็น



















มุมนี้จะมองเห็นลานจอดรถทางฝั่งตัววัดที่เราจอดด้วยครับ



เมื่อเดินอ้อมมาทางด้านหลัง จะเป็นฝั่งที่มีบันไดหลายขั้น ซึ่งหากจอดรถที่ฝั่งนี้ จะต้องเดินขึ้นบันไดผ่านเข้าวัดทางด้านนี้

ดังนั้นหากมีผู้สูงอายุ  แนะนำให้จอดฝั่งตัววัดจะสะดวกกว่าครับ





ทางฝั่งนี้ เป็นที่ตั้งของ เสาพุทธชัยมงคล  ซึ่งเป็นเสาหินแกะสลัก ขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก

โดยรอบทิศทั้ง 4 ด้านนั้นได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่พระพุทธองค์ทรงมีชัยชนะเหนือหมู่มารทั้งหลาย ซึ่งมีพระสมเด็จพุทธะชัยมงคลชนะมารทรงประทับอยู่ด้านบนสุด









ใช้เวลาอยู่ที่นี่พอสมควร  ช่วงกลางวัน อากาศร้อนอบอ้าวมากครับ แถมวันนี้นักท่องเที่ยวเยอะมากเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะวันเสาร์ด้วย

ถ้าให้ดี แนะนำให้มาในวันธรรมดา  โดยเฉพาะช่วงเช้าหรือช่วงเย็น จะเหมาะสมกับการถ่ายรูปมากกว่า



ก่อนกลับมีร้านค้าให้แวะซื้อของกิน ของฝากกันด้วย หรือใครจะเสี่ยงโชคก็มีเช่นกัน 555



ออกจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เราเดินทางต่อบนทางหลวงหมายเลข 12 ผ่านสามแยกแคมป์สน ตรงไปอีกไม่ไกล

เพื่อไปยัง Blue Sky Resort รีสอร์ทที่สวย และน่าพักที่สุดบนเขาค้อ อมยิ้ม29

แนะนำให้ขับช้าๆ และชิดขวาไว้ เพราะต้องเลี้ยวขวาเข้าซอย ปากทางจะมีป้ายบอกอย่างชัดเจนแบบนี้



ขับเข้ามาตามทางนิดเดียวก็ถึงแล้วครับ  แค่ด้านนอกก็สัมผัสได้ถึงความสวยงามและสีสันของดอกไม้ ที่ปลูกอยู่รายล้อมรอบรีสอร์ท















เมื่อเข้ามาด้านในตัวอาคาร จะเป็นส่วนของล็อบบี้  หากเข้าพักก็เช็คอินกันที่บริเวณนี้เลยครับ



ซ้ายมือ จะเป็นมุมจำหน่ายของที่ระลึกต่างๆ  ซึ่งของแต่ละชิ้น ถูกจัดวางกันอย่างสวยงาม

เรียกได้ว่าเป็นอีกมุมที่น่าถ่ายรูป  เพราะมีทั้งตุ๊กตาหมี ของน่ารักๆ เยอะแยะเต็มไปหมด



























จากส่วนของอาคารด้านหน้า ถัดเข้าไปจะเป็นสวนสไตล์อังกฤษ  มีน้ำพุสีขาวตั้งอยู่ตรงกลาง  รายล้อมด้วยรูปปั้น และมุมเก้าอี้เล็กๆ ในสวน









ถัดจากน้ำพุ ด้านขวามือจะเป็นส่วนของอาคารที่พัก ซึ่งมีทั้งหมด 3 หลัง  จำกัดพื้นที่เฉพาะผู้ที่เข้าพักที่บลูสกาย เท่านั้น







สำหรับทางซ้ายมือ จะเป็นมุมพักผ่อนเล็กๆ ในสวน ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงาม







ด้านในเป็นส่วนของห้องอาหาร ซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวของที่นี่    อมยิ้ม01











สามารถเลือกนั่งได้ทั้งในอาคาร  หรือที่ริมระเบียงด้านนอกก็ได้วิวภูเขาสวยๆ ไปอีกแบบ











สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้พักที่บลูสกาย สามารถแวะมาทานอาหาร หรือจิบน้ำชาเก๋ๆ ยามบ่ายที่นี่ได้

อย่าง Tea Set ซึ่งมี ชา Lavender ด้านหลังเป็น  Banoffee  



และ Set ขนม อย่าง Macaroons, Tuna Sandwich, Brownie, Scone, Cookies





ส่วนตัวชอบแซนวิชทูน่าครับ อร่อยถูกปาก



Waffle





น้ำผลไม้ปั่น แนะนำน้ำมะนาวปั่น หอมชื่นใจ



บรรยากาศที่นั่งด้านนอกริมระเบียง  สามารถเห็นวิวของภูเขาที่อยู่ด้านหลังได้อย่างชัดเจน

หากมาช่วงหน้าฝน คงจะเขียวขจีกว่านี้แน่ๆเลยครับ







ด้านล่างมีแปลงซัลเวียสีม่วงทั้งแปลง สามารถลงไปถ่ายรูปได้



มาชมห้องน้ำของที่นี่กันบ้าง ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างทางเข้าห้องอาหาร  มีเจ้าแมวเหมียวคอยเฝ้ายามอยู่ตรงทางเข้า

ภายในตกแต่งน่ารักสไตล์อิงลิชคอทเทจ เช่นกัน









ใครที่ชอบดอกไม้ รับรองว่าจะต้องหลงรักที่นี่แน่นอนครับ เพราะแทบทุกจุด จะถูกประดับไปด้วยไม้ดอกหลากสีสัน

และถูกสับเปลี่ยนหมุนเวียน ให้งดงามอยู่ตลอดเวลา









เวลา 2 ชั่วโมง ผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ถ้ามีโอกาสจะกลับมาใหม่นะ บลูสกายยิ้ม









จากบลูสกายรีสอร์ท เลี้ยวขวาที่สามแยกแคมป์สน จากนั้นตรงมาเรื่อยๆ จุดหมายของเราอยู่ที่ด้านหน้าไร่บีเอ็น

เพื่อมางาน  "Flora in the Mist"

สำหรับงานนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2558 เข้าชมฟรีครับ

ภายในงานจะมีทุ่งดอกไม้นานาพรรณ สีสันสวยงาม ให้นักท่องเที่ยวได้ชม และถ่ายภาพเป็นที่ระลึก



























นอกจากนั้นยังมีประติมากรรม Land Art พสุธศิลป์ ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะจากผืนดินและดอกไม้ธรรมชาติ











มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆ หลายจุดเลยครับ  ใครชอบถ่ายรูปไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เยี่ยม











ช่วงเย็น จะมีกิจกรรมดนตรีในสวน นั่งฟังเพลงชิลๆ บรรยากาศสบายๆ  ยามเย็น ท่ามกลางดอกไม้  สุดแสนจะโรแมนติค



















นอกจากนั้นด้านในสุด ยังมีทุ่งคอสมอส ขนาดใหญ่ สีสันสดใส ให้เราได้ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก อีกด้วย

















และภายในงานยังมีการจำหน่ายอาหาร และผลิตผลทางการเกษตรของจังหวัดเพชรบูรณ์  ให้เลือกซื้อกันอีกด้วย







หลังจากชมงานกันแล้ว ก็ได้เวลาทานอาหารเย็นกันแล้วครับ  ที่ร้านอาหารครัวบ้านสวน

ตั้งอยู่เยื้องๆ กับพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษกครับ



เริ่มจานแรกกันเลย กับ  "ปลาทับทิมทอดน้ำปลา " ทอดได้หอมสุดๆ



ถัดมา เป็น "ต้มแซ่บขาไก่ "



จานนี้ชื่อ "กุ้งวาซาบิ "



"ปีกไก่ทอด" ทอดได้กรอบ  อร่อยมาก



"ผัดเผ็ดปลาคัง" จานนี้แซ่บมาก ปลาก็สด ใครชอบเผ็ดๆ จานนี้เลยครับ



และเมนูเด็ด "กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา" ผัดได้หอมมากกกกก



"ไส้กรอกอีสาน"



"ยำผักแม้ว"



อิ่มท้องกันแล้ว ก็ได้เวลาเข้าที่พักกันแล้วครับ

เราพักกันที่ " ฉัตรฟ้า รีสอร์ท" ตั้งอยู่เยื้องๆ กับร้านครัวบ้านสวน เลย

สังเกตเสาสีโทริอิ สีส้ม ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าแบบนี้



จุดเด่นของรีสอร์ทนี้ คือ เจ้าหมีสี่ตัว ด้านหน้าที่พัก นี่ล่ะครับ



รวมถึงเก้าอี้นั่งรูปผลไม้ นี่ก็เช่นกัน



ห้องพักเราอยู่ด้านในสุด ตรงเข้าไปจอดรถทางโน้นได้เลย



ห้องพักอยู่ในบ้านสีเหลืองนี้ครับ  ที่พักโซนนี้น่าจะเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน เพราะยังดูใหม่ๆอยู่

ที่นี่ไม่มีแอร์ และ ไม่มี Wifi นะครับ โดยรวมแล้วก็ใช้ได้ครับ





เช้าวันรุ่งขึ้น เรานัดกันว่าจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่เขาตะเคียนโง๊ะครับ นัดเวลากันว่าจะออกเดินทางจากที่พักประมาณ 05.30น.

จากที่พักเราขับรถมาตามเส้นทาง 2196 ถึงสี่แยกรื่นฤดี แล้วเลี้ยวขวาขับตรงตามเส้นทาง 2258 ไปเรื่อยๆ จะเจอทางขึ้นจุดชมวิวอยู่ทางขวามือแบบนี้ครับ



สามารถขับรถยนต์ขึ้นมาจอดที่ด้านบนได้เลย  ซึ่งมุมยอดฮิต และสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น จะอยู่ทางขวามือ

นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงบันไดด้านหลัง เพื่อลงไปถ่ายรูปที่ทางเดินด้านล่างได้ครับ (ไม่มีต้นไม้บัง)



บรรยากาศยามเช้าวันนี้ มีหมอกระเรื่อๆจางๆ เบื้องหลัง คือ เขาย่า มีความสูงประมาณ 1,290 เมตร

เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับภูเขาไฟฟูจิ เขาย่าแห่งนี้ จึงถูกเปรียบว่า เป็นภูเขาไฟฟูจิ แห่งเขาค้อ



มองลงไปด้านล่างจะเห็นถนนที่เราขับผ่านมา





เป็นเช้าวันใหม่ ที่รู้สึกสดชื่นและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกครับ





เราใช้เวลาอยู่บนเขาตะเคียนโง๊ะ กว่า 1 ชั่วโมง พระอาทิตย์ดวงโต จึงโผล่ขึ้นมาให้เราได้ชื่นชม











หากเดินทางมาในช่วงฤดูฝน บรรยากาศรายรอบ คงจะมีแต่ความเขียวขจีกว่านี้แน่นอน













บนเขาตะเคียนโง๊ะ สามารถชมทัศนียภาพได้โดยรอบ อีกฝั่งหนึ่งของจุดชมวิว จะมองเห็นหมอกสีขาวปกคลุมแน่น มองแทบไม่เห็นด้านล่าง





หลังจากอิ่มเอมกับการชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้ากันแล้ว เราเดินทางกลับเส้นทางเดิม

แวะจุดชมวิวทะเลหมอก ที่ริมถนนเส้น 2196 ที่เราผ่านเมื่อวานกันก่อน

สังเกตง่ายๆ จะมีรถจอดเรียงรายตลอด 2 ข้างทาง  แต่วันนี้หมอกไม่ค่อยสวยเท่าไรครับ









นอกจากมาชมหมอกกันที่จุดนี้แล้ว ที่นี่ยังมีอาหาร รวมถึงผักสด  ดอกไม้ และ ของที่ระลึก ต่างๆ มาจำหน่ายอีกด้วย





ดอกกระดาษแห้งสีสด



หรือจะเป็นไก่ทอดร้อนๆ  ชิ้นใหญ่ 50 บาท ชิ้นเล็ก 40 บาท ข้าวเหนียวห่อละ 15 บาท  น่ากินมากๆ ครับ แต่ไม่ได้ซื้อ  รอกลับไปกินที่รีสอร์ทดีกว่า





นมหรือกาแฟ ร้อนๆ ก็มี หรือจะเป็นผักสดๆ อย่างมะระหวาน ก็ราคาไม่แพง กิโลละ 20 บาท/ 3 กิโล 50 บาท



จากนั้นเราก็กลับที่พักที่ฉัตรฟ้า รีสอร์ท กันเลย

ตอนเช้าที่นี่มี ข้าวต้มหมูสับ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋  ให้ทาน ตักได้ไม่อั้น  ขอบอกว่าอร่อยทุกอย่างเลยครับ









ก่อนที่จะเก็บของเตรียมเช็คเอ้าท์ เพื่อเดินทางไปยังภูลมโลกันครับ

จากที่พัก วิ่งตามเส้นทาง 2196 ถึงแยกแคมป์สน เลี้ยวขวาไปบนทางหลวง หมายเลข 12 ซึ่งกำลังขยายเส้นทาง ทำให้ใช้เวลาพอสมควร

ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทาง 2372 และเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เข้าสู่เส้นทาง 2331 สู่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าครับ











สภาพเส้นทางโค้งเยอะมาก นั่งจนเวียนหัว แต่วิวระหว่างทางก็สวยงามไม่น้อย





เราลัดเลาะขึ้นมาจนถึงด้านบน  จะเห็นด่านเก็บเงินของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า  ตรงเข้าไปเลยครับ เพื่อมุ่งหน้าสู่ภูลมโล

หากจะไปภูทับเบิกให้เลี้ยวขวาที่บริเวณ แยกนี้ครับ



ผ่านผืนป่าอันเขียวขจี สภาพถนนมีการซ่อมถนน ราดยางมะตอยเป็นระยะๆครับ





เมื่อมาถึงแยกนครไทย ให้เลี้ยวขวา ตรงไปอีก 6 กิโลเมตรก็จะถึง หมู่บ้านร่องกล้า



พอใกล้ถึงหมู่บ้านร่องกล้า รถติดมากครับ ไม่ขยับเลย

ได้ความว่า ที่จอดรถด้านบนเต็มครับ



เนื่องจากเส้นทางไปภูลมโล เป็นทางลูกรัง ระยะทางกว่า 15 กิโลเมตร จึงควรเดินทางโดยรถที่เหมาะสม

หากใครประสงค์จะเหมารถไป ให้จอดรถที่นี่ แล้วเหมารถนำเที่ยวของชมรมกกสะทอนไปภูลมโลได้ครับ ราคาเหมาประมาณ 1,200/คัน

ติดต่อรถได้ที่ชมรมกกสะทอน โทร 088-4395727

และควรทำธุระส่วนตัว เข้าห้องน้ำที่นี่ให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทาง



สภาพรถเหมาเที่ยว เป็นรถกะบะ มีไม้พาดสำหรับนั่งครับ





ส่วนพวกเราเดินทางกันด้วยรถกะบะกับเจ้าหน้าที่ ของ ททท.

แนะนำให้เตรียมผ้าคลุมหัว ผ้าปิดปาก และ แว่นกันแดด มาด้วยนะครับ

เพราะระหว่างทางฝุ่นจะคลุ้งไปทั่วแบบนี้เลยครับ 555

กว่าจะถึงภูลมโล เรียกได้ว่าโยกกันมันส์ ระบมก้นกันไปเลย สนุกได้รสชาติไปอีกแบบครับ ต้องมาลองนะ อิอิพาพันดี๊ด๊า



ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที จากบ้านร่องกล้า เราก็มาถึงภูลมโลแล้วครับ

เรามาเที่ยวกันวันอาทิตย์ นักท่องเที่ยวเยอะมากครับ  ถ้าให้ดีมาวันธรรมดา คนจะน้อยกว่ามาก



วันที่เรามาผ่านช่วงพีคของภูลมโลมาอาทิตย์นึงแล้วครับ มาช้าไปหน่อยเดียว

เจ้าหน้าที่บอกว่าอาทิตย์ก่อน ทั้งหุบเขาเป็นสีชมพู สวยกว่านี้มากๆ



ช่วงที่เราไป ต้นนางพญาเสือโคร่งเริ่มแทงยอดแทงใบ กันแล้ว



สำหรับภูลมโล แห่งนี้ มีต้นนางพญาเสือโคร่งกว่า 1,200 ไร่ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของชาวบ้านและชาวม้งในแถบนี้  แทนการปลูกกะหล่ำปลีในสมัยก่อน

จนทำให้ปัจจุบันหุบเขาแห่งนี้กลายเป็นหุบเขาสีชมพู ที่มีต้นนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยผลิบานมากที่สุดในเมืองไทยดอกไม้







ตลอดเส้นทางการชมซากุระบนภูลมโล เราจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพของทั้ง 3 ภู คือ ภูทับเบิก ภูหินร่องกล้า และภูขี้เถ้า

รวมถึงแปลงซากุระตลอดสองข้างทาง บางช่วงก็จะดูคล้ายเป็นอุโมงค์ซากุระ สวยมากๆครับ









โดยปกติแล้วนางพญาเสือโคร่งที่ภูลมโลจะทยอยบานทีละแปลง จนบานเต็มภูในเดือนมกราคม

ต้องสามารถติดตามการอัพเดทจาก ททท.พิษณุโลก หรือ ชมรมกกสะทอนได้ครับ

//goo.gl/nG5bpq

https://www.facebook.com/ChmrmSngSerimKarThxngTheiywTkkSaThxn







น่าเสียดายที่เรามีเวลาชื่นชมความงามเพียงแค่ชั่วโมงเศษ  ไว้จะกลับมาหาใหม่นะ "ภูลมโล"





ออกจากภูลมโล ผ่านบ้านร่องกล้า และขับผ่านสามแยกนครไทยไปอีก 6 กิโลเมตร

เพื่อมาทานอาหารกลางวันที่ร้าน "รังทอง" ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ก่อนเดินทางกลับ

ร้านนี้ลูกค้าเยอะมาก โดยเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์   แบบนี้

อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้ครับ โดยเฉพาะส้มตำ ไก่ทอด



เมนูแรก ปลาทอด กรอบดี แต่ก้างเยอะไปหน่อยครับ



กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา  รสชาติจืดไปนิด



ไข่เจียวทรงเครื่อง



หมูผัดพริกแกง



ส้มตำไทย แซ่บๆ



ไก่ทอด อันนี้ทอดร้อนๆ อร่อยสุดๆ



ทานอาหารกันอิ่มเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้วครับ จากอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตรงกลับเส้นทางเดิม ผ่านสามแยกนครไทย เลี้ยวขวาเข้าเส้นทางเดิม

ขากลับเราแวะซื้อมะขาม ที่งานเทศกาลมะขาม ใกล้ๆ อุทยานเพชรบุระ กันด้วย มาถึงถิ่นแล้ว ไม่ซื้อก็กระไรอยู่อมยิ้ม16





ก่อนที่จะแวะซื้อของฝากอีกเล็กน้อย ที่ "ไร่กำนันจุล" แถวๆ วังชมภู

คนเยอะมากครับ  ของฝากที่น่าซื้อกลับก็พวก ปลาส้ม และผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตรต่างๆ









ไส้อั่วปลาที่นี่ก็อร่อยนะครับ







เป็นอันจบทริปภูดอกไม้สายหมอก เมืองต้องห้ามพลาด จังหวัดเพชรบูรณ์ อย่างสมบูรณ์แบบ

ขอบคุณ ททท.สำนักงานพิษณุโลก ที่ชวนไปเที่ยว และขอบคุณเพื่อนๆร่วมทริปทุกคนเลยครับ

ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามชมรีวิวด้วยครับ โอกาสหน้าพบกันใหม่คร้าบ อมยิ้ม36







 

Create Date : 29 มกราคม 2558
3 comments
Last Update : 29 มกราคม 2558 15:30:12 น.
Counter : 7429 Pageviews.

 

สวยมากค่ะ อยากไปมั่งจังค่ะ

 

โดย: mariabamboo 29 มกราคม 2558 18:40:24 น.  

 

thx u crab

 

โดย: Kavanich96 30 มกราคม 2558 3:14:38 น.  

 

ภาพสวยมากค่ะ

 

โดย: tuk-tuk@korat 19 กุมภาพันธ์ 2558 12:39:00 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


One Light One Shadow
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]




กด like / ถูกใจ OLOS

qrcode free counters
Group Blog
 
<<
มกราคม 2558
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 มกราคม 2558
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add One Light One Shadow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.