ตุลาคม 2551หลวงพี่เท่ง 2 รุ่นฮาร่ำรวย -> เกรด C
ประโยคที่ว่า "ไม่ใช่ทุกครั้ง ที่ตัวอย่างหนังจะตัดสินหนังเต็มๆทั้งหมดได้" ยังคงจริงเสมอ..
และ "หลวงพี่เท่ง 2" ก็ได้พิสูจน์ว่ามันจริงมากๆ ..ที่บางครั้ง การหลวมตัวไปดูหนังที่เนื้อในไม่น่าคาดหวังอะไร เพียงเพราะตัวอย่างมันหลอกความรู้สึกเราได้ ...มันมักจะให้ผลลัพธ์ที่ ...เซ็งเป็ด!
ทั้งๆที่ผมก็ว่า ตัวเองพยายามปล่อยวางแล้วนะ.. และแค่จะให้โอกาสที่ท่านผู้กำกับปากห้อย กะจะเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยหนังเรื่องนี้ (แกพูดให้สัมภาษณ์ไว้อย่างนั้น) อีกทั้งเชื่อว่าประเด็นที่หนังเอามาเล่น (การทำเหมืองหินที่นำมาซึ่งความเดือดร้อนของชาวบ้าน และ การที่คนพุทธ คริสต์ และอิสลาม มาอยู่รวมกันได้อย่างมีสามัคคี) สามารถจะทำให้จริงจังก็ย่อมได้ ...แต่สุดท้ายมันก็แค่ความคาดหวัง ที่ไม่อาจมีวันเป็นจริงในเครดิตการเป็นผู้กำกับของ "โน้ต เชิญยิ้ม"
ถ้าบอกว่า ภาคแรก ก็ธรรมดาค่อนไปทางฝืดแล้ว ..มาภาคนี้ ยิ่งเละและเลอะ มากไปกว่าเก่า เพราะมันแทบจะไม่อาจเรียกว่าเป็นหนัง (หรือถ้าให้แซวแบบไม่ใช่ก็ใกล้เคียง.. ก็คงจะพูดว่ามันคือ "Disaster Movie" แบบฉบับไทยทำ ไทยเล่น ให้ไทยดูกันเอง) ...ถ้าไม่นับมุขฮาๆที่แทบทั้งหมดล้วนมาจากตัวอย่าง และอีกเล็กน้อยด้วยอารมณ์คนในโรงมันพาไป ก็แทบจะไม่มีสาระอันใดให้หยิบจับเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย
แล้วเรื่องของประเด็นที่กะจะจริงจัง ก็ช่างน่าเสียดาย ที่มันทำอะไรไม่ได้เลย ..ไม่ได้มีผลลัพธ์ต่อความรู้สึกใดๆด้วยซ้ำ เหมือนแค่บทจะยัดเข้ามาก็เพื่อให้มันมีอะไร ...ฉะนั้น ถ้าจะพูดว่าผู้กำกับได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไหม ก็คงว่า ไม่เลย ..แถมยังออกจะดูว่า สักจะกลับมาเพราะบุญเก่าๆ 140 ล้านแต่หนก่อนล้วนๆ
การเปลี่ยน "เท่ง เถิดเทิง" มาเป็น "โจอี้ บอย" อาจจะเข้าอีหรอบ แถเพื่อให้มีหนังก็เท่านั้น.. หากจะว่าไป การมาของหลวงพี่โจอี้ ก็พอยอมรับได้ในระดับหนึ่ง การแสดงเป็นพระที่เลื่อมใสทางธรรม(แต่ก็มักทางโลกอยู่ในบางที)ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร เพียงแต่บทไม่สามารถส่งให้เกิดได้เท่า หลวงพี่เท่ง ก็เท่านั้น
เอาเป็นว่า ..ไม่อยากจะบอกว่า อย่าไปดูเลย (ชาวบ้านร้านตลาด ที่ไม่คิดมาก..ห้ามได้ยาก) ..แต่เลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยงซะ ดีกว่าเยอะ!!!
Star Wars : The Clone Wars -> เกรด B+
ถ้าคุณเป็นแฟนมหากาพย์สงครามอวกาศเรื่องนี้ มาแต่ไหนแต่ไร ..อาจจะรู้สึก ไม่มั่นใจในแต่แรก ที่ได้เห็นภาพลักษณ์ของ "The Clone Wars"
แม้ว่าหนังจะหาเรื่องสร้างความน่าดึงดูดใจ ด้วยการเล่าเรื่องราวที่หายไประหว่างช่วงเวลาของหนังภาค 2 และ 3 ..กับเนื้อความของ สงครามโคลน ที่ยิ่งใหญ่ และไม่ง่ายจะจบ อย่างที่ ปรมาจารย์โยดา พูดว่าคราวที่สงครามกำลังระอุในภาค 2
หากเมื่อมันถูกนำมาทำเป็นรูปแบบการ์ตูน.. ที่เน้นความเข้าถึงผู้เป็นเด็ก มากกว่าผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยกับหนังชุดนี้มามากกว่าและนานกว่า ...ก็คงจะทำให้ยากต่อการตัดสินใจตีตั๋ว เพราะถึงใจหนึ่งจะรัก แต่อีกใจก็เกรงว่า อาจจะทำตัวให้เด็กมากไป จนอาจหงุดหงิดให้กับความต๊ะติ๊งโหน่งของมัน
ผมก็คือ คนหนึ่งที่คิดอย่างนั้น ..แต่เมื่อได้ลองวัดใจกันแล้ว ก็เอาสถานะความเป็นแฟนนำหน้า แล้วหวังว่ามันก็คงจะไม่ดูแคลนคนเป็นผู้ใหญ่จนเกินไปหรอกมั้ง (เพราะ "จอร์จ ลูคัส" ก็หนุนหลังอยู่ ..และย่อมรู้ว่า แฟนเก่าๆ ก็ยังอยากจะมันส์ไปด้วย)
ซึ่ง The Clone Wars ..ก็ถือว่า เป็นหนังการ์ตูนที่ตอบโจทย์ความสนุกแบบการ์ตูนของคนเป็นเด็กได้เป็นอย่างดี และในขณะเดียวกัน คนที่เป็นแฟน Star Wars ก็ยังดูได้แบบเพลินๆ เพราะความเข้มข้นของเรื่องราวก็มีอยู่อย่างพอเพียง และน่าติดตาม ..รวมทั้งฉากแอ๊คชั่นที่ใส่ไม่ยั้ง ก็มีความเข้มแข็งในระดับเดียวกันกับ เมื่อคราวเป็นหนังคนแสดง ได้เลยเชียว
เด็กปั้นของลูคัส ที่เข้ามาสานต่องานเล็กๆชิ้นนี้อย่าง "เดฟ เฟลอนิ" ทำหน้าที่ที่แบกรับในความยิ่งใหญ่ของหนังชุดอมตะตลอดกาลเรื่องนี้ไว้ได้อย่างน่าชื่นชม ..แม้ฉบับหนังโรง จะจบลงไปเหมือนเป็นแค่ตอนแรก ในตอนๆหนึ่งของหนังชุดที่กำลังฉายออกอากาศทาง Cartoon Network (ซึ่งผมคงไม่ได้ตามดูหรอก..เพราะที่บ้านใช้ UBC แบบฟรีวิว) แต่ตอนแรกตอนนี้ ก็พอจะทำออกมาได้น่าลุ้นอยู่
ในส่วนของบทหนัง ก็ไม่ได้หน่อมแน้มเกินไป ยังพอจะเรียกกลิ่นอาย Star Wars แต่หนก่อนมาได้อยู่ รวมไปถึงการใส่บทบาทให้ตัวละครต่างๆ ก็เรียกว่าพอดีพอดิบ ไม่ขาดไม่เกิน แม้จะเปลี่ยนแปลงคาแรกเตอร์คุณลักษณะของบางตัวละครไปเป็นอีกอารมณ์ แต่ก็ไม่ถึงขนาด ไม่น่าเชื่อถืออะไร ..อีกทั้งดนตรีประกอบ ที่ไม่ใช่เครื่องสายบรรเลงเหิมฮึกที่เคยคุ้น หากเป็นความเร้าใจแบบแนวๆวัยรุ่นแล้ว ก็ปรับให้เข้ากับธีมของหนังได้ดี
หากจะเสียดายอยู่อย่าง คือ.. เสน่ห์ของ Star Wars คืนมาสู่จอหนังในหนนี้ได้ไม่ครบ ...ก็อย่างว่า ถ้าไม่ใช่ จอร์จ ลูคัส ทำเอง ก็ยังยากเกินไปที่จะเอาใครมาจัดการความยิ่งใหญ่แห่งมหากาพย์นี้ ได้ดีจนหมดจด
อีติ๋มตายแน่ -> เกรด A- <- {Recommended}
ดูท่าว่าน่าจะเป็นหนังตลกเอาฮาก็อาจได้ ..ถ้ามองว่า "อีติ๋มตายแน่" คือ หนังที่มี "โน้ส-อุดม" เป็นพระเอก... และปล่อยตัวอย่างเรียกน้ำย่อยออกมาเป็นหนังล้อหนัง (ที่พี่โน้สแกโดนทุเรียนซัดแหนมตุ้มจิ๋ว..รวดร้าวยิ่งกว่าสายลับรหัสตัวเลขคนนั้น!!!) แต่นั่นก็เป็นเพียงความคาดหวังจากแควนๆพี่ท่าน + การผิดแผนที่แต่เดิมคิดจะทำหนังล้อหนัง ต้องล้มเลิกไป เนื่องด้วยทุนสร้างไม่เอื้ออำนวย ...ซึ่งสุดท้ายมันก็ได้กลายมาเป็นหนังรักตลกสไตล์อุดม ที่มีผู้กำกับเป็น "ยุทธเลิศ สิปปภาค" ด้วยประการฉะนี้
แต่ก็ใช่ว่า การผิดแผนจะทำให้หนังต้องล่มตั้งแต่ปากอ่าวเสมอไป.. กลับกลายเป็นว่าการผิดหนนี้ ยังได้มีคุณอนันต์ช่วยสร้าง หนังดีแบบยุทธเลิศออกมาอีกครั้ง หลังจากครั้งสุดท้ายที่ผมรู้สึกได้ก็ตั้งแต่ "สายล่อฟ้า" นู้นเลย
ถึงแม้ว่าหนังดีแบบยุทธเลิศเรื่องนี้ จะไม่ได้มีเขาเป็นคนยืนพื้นเล่าเรื่อง (มอบหมายให้พี่พระเอกเขียนบทด้วยตัวเอง ทั้งหมดทั้งมวลกันไป) แต่เรื่องของอารมณ์ การสร้างความรู้สึก นี่แหละคือหนังบันเทิงฉบับพี่ต้อมของจริงที่ผมต้องการ
และแม้ว่าตัวบทของพี่โน้ส ที่เพิ่งลองของ ริเขียนเป็นเรื่องแรก จะยังมีปัญหาบางอย่างที่เป็นข้อจำกัดของเรื่องความประทับใจ (ก็อาจจะติดความขี้เล่นของตัวเองมากไปหน่อย) แต่นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ทำอย่างน่าจดจำได้เลย โดยเฉพาะกับการแฝงนัยเสียดสีสังคม ยันไปถึงปมประเด็นที่เขาผูกเอาไว้ แล้วสุดท้ายก็กลับมาขมวดให้จบลงได้ซึ้ง พอจะเค้นๆน้ำตาให้ไหลออกมาได้อยู่
ซึ่งอานิสงส์ความน่าจำของบท ก็คงต้องขอบคุณไปถึงงานกำกับของพี่ต้อม อีกด้วยเช่นกัน.. ที่ดูไม่ฝืน ปลดปล่อยให้ดำเนินอย่างเป็นธรรมชาติ และไหลลื่น ยังทำให้เรารู้สึกสัมผัสได้ถึงตัวตนของคนในหนัง เสมือนว่าเขาเป็นเพื่อนที่เรารู้จักคุ้นเคย ..ซึ่งหากเทียบกับงานก่อนหน้าจาก "รัก|สาม|เศร้า" ที่มีพื้นฐานสถานการณ์ที่เป็นความจริงเช่นกัน แต่ก็ไม่มีความละเมียดละไมพอจะทำให้เราอินตามสถานการณ์ที่เป็นไปได้น่าเชื่อถือ
การแสดงหนังของพี่โน้ส อาจจะไม่ได้ดูโดดเด่นมาแต่ไหนแต่ไร รวมถึงเรื่องนี้ก็ยังติดความเป็นตัวของตัวเอง.. หากแต่เมื่อบทที่พี่ท่านเขียน ก็ไม่ได้ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขาเป็นอยู่แล้ว จึงทำให้เรารู้สึกเข้าถึงตัวละคร ไอ้ตึ๋ง ได้มากกว่าบทสามีที่ไม่รู้ค่าเมียใน "โคตรรักเอ็งเลย" ...และความเป็นตัวของตัวเองก็คือ อาวุธที่ทำให้เราได้หัวเราะกับมุขขำๆสไตล์ของเขาอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันเมื่อเป็นฉากดรามา ก็ไม่ฟูมฟายเกินไป และพอเพียงจะทำให้เราเข้าใจ เห็นใจ ในตัวไอ้ตึ๋ง
ส่วนถ้าใครที่เคยคาดหวังว่า จะได้เต็มอิ่มกับความน่ารักคิกขุของสาวยุ่น "อาซึกะ"(อึติ๋ม) แล้วละก็ ขอบอกว่าอาจผิดหวัง ..แต่สำหรับผม แค่นั้นก็เพียงพอต่อเรื่องราวทั้งหมด และส่งผลถึงความรู้สึกที่น่าผิดหวัง(เรื่องอะไร?..ต้องไปดูเอา)ในช่วงท้ายได้อย่างสมควร
แม้ว่า อีติ๋มฯ จะไม่ใช่หนังขายขำพันธุ์แท้ หากแต่ผสมเรื่องรักและตลกเล็กๆ มากลมกลืนกับดรามาเสียดสีสังคม ..แต่ก็ถือว่านี่เป็นหนังขายบันเทิงพันธุ์แท้ ที่ดูสนุก เพลินๆกับความเป็นธรรมชาติ ทั้งยังส่งเราออกจากโรงด้วยความรู้สึกดีๆ เรียกได้ว่า ถ้าไม่คิดมากมาย ก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียดายอย่างชัดเจน เช่นหนังของพี่ต้อม 3-4 เรื่องหลังๆ ..และเรื่องที่แน่ใจยิ่งกว่า นี่คือหนังที่ควรแก่การจะเรียกเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มจากคอหนัง มากกว่าว่าที่ร้อยล้าน อย่าง "หลวงพี่เท่ง 2" ได้แน่นอน... ผมขอ'คอนเฟิร์ม!!!'
Body of Lies -> เกรด B
เมื่อต้นปี ผมมองว่า "American Gangster" ..เป็นหนังของ "ริดลีย์ สก็อตต์" ที่ดี มีคุณภาพเปี่ยมล้น ..แต่เรื่องของความสนุกยังไม่เต็มที่ ความน่าติดตามยังไม่สุด และความประทับใจก็ยังมีเพียงครึ่งๆกลางๆ
แต่ก็ไม่คาดว่าในปีเดียวกัน กับงานอีกเรื่องอย่าง "Body of Lies" จะได้เป็นหนังดี อีกเรื่อง ..ที่ความสนุกยังด้อยกว่าได้อีกทั้งยังเป็นงานของ ริดลีย์ ที่พูดได้เลยว่าผิดฟอร์มอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่า หนังเรื่องนี้จะได้การแสดงที่ดีและเด่นเกินใครของ หนุ่มลีโอ มาประดับบารมี ..ได้บทหนังซับซ้อน ยอกย้อน ที่แม้จะงงบ้าง ตามไม่ทันบ้าง ก็ยังเล่าออกมาสนุกด้วยบทสนทนาโต้ตอบของตัวละครที่ซัดกันอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ ..และการสร้างเรื่องราวให้แวดล้อมไปด้วย การโกหก ที่เสริมสร้างบรรยากาศไม่น่าไว้ใจได้ชัดเจน
แต่หนังก็ยังดูน่าผิดหวัง และลดทอนความสนุกไปได้ประมาณใหญ่ เนื่องด้วยการกำกับที่จับเรื่องของอารมณ์ร่วมมาผูกมัดกับคนดูได้ไม่สำเร็จ ..อีกทั้งความเข้มข้นก็ไม่คลั่กมากพอ จะทำให้อยากตามติดไปกับตัวหนังได้ตลอดทั้งเรื่่อง โดยเฉพาะช่วงแรก ไปถึงกลาง ที่แวดล้อมไปด้วยความน่าเบื่อชวนง่วงอยู่หลายที ...กว่าจะมาอยากเกาะติดได้ ก็ต้องอาศัยความรู้สึกที่กดดันบนความอ้างว้าง ไม่น่าวางใจ ที่ตัวละครของหนุ่มลีโอ ต้องประสบอย่างน่าเห็นใจ ในช่วงท้ายถึงไคลแมกซ์ที่พระเอกกลืนไม่เข้า คายไม่ออก จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้
แม้ผมจะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้หนังแอ๊คชั่นที่มันส์สะเด็ด ประมาณเดียวกับ "Black Hawk Down" ..แต่นี่ก็เป็นหนัง ฝีมือริดลีย์ ที่ยังมีคุณภาพเปี่ยมล้น แต่อารมณ์ชวนมันส์ก็ยังจะมีอยู่อ่อนกว่า American Gangster ที่ว่าสนุกบนความธรรมดาแล้วเสียอีก
Max Payne -> เกรด C- <- It's Baddd!!!
ถ้าจะถามกับผม ..ว่าหนังที่สร้างจากเกมเรื่องไหนที่ทำออกมาได้ดี(ไม่ถึงกับเยี่ยม) ผมจะไม่รีรอตอบว่า "Tomb Raider" ..เพราะถึงหนังจะเพ้อเจ้อจนเกินเลย แต่เรื่องของการรักษาต้นแบบก็ยังพอเอามาเทียบได้เกือบมิด ...หรือกระทั่งกับ "Resident Evil"(ภาคแรก) ที่น่าเบื่อ ก็ยังมีบรรยากาศอึดอัดแบบเดียวกับในเกมส์มาพอกดดันได้บ้าง
จนล่าสุดเมื่อต้นปีกับ "Hitman" ที่ทำอะไรไม่เงียบเชียบ โฉ่งฉ่าง แต่ตัวพระเอกหัวโล้นก็สวมวิญญาณมือปืน พูดน้อย เล่นหนัก ออกมาน่าเชื่อ และหนังก็ดูจะมีความใส่ใจในคนดูอยู่บ้าง ไม่เหมือนกับความหวังล่าสุด ที่พลาดพลั้งไปดูแล้ว พบว่ามันน่าเบื่อ น่าหลับ และชวนให้น่าจะออกจากโรง นาทีไหนก็ได้เลย (แต่ผมก็ไม่ออกไปถึงจนจบ)
"Max Payne" ..อาจจะทำได้ดีในแง่ของการรักษาความนัวร์ จากตัวเกมมาสู่บนจอหนังได้ ส่วนภาพก็ดูมีศิลป์ที่สวย แต่นั่นจะมีความหมายอะไร เมื่อตัวหนังหามีความสนุกไม่ และความเป็นหนัง แทบจะหาคำว่า 'หนังแอ๊คชั่น' ได้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
มันก็อาจจะดีอยู่หรอก ที่ทีมงานคนทำ นำความเป็นดรามามานำหน้าหนังแอ๊คชั่น ..แต่ความเป็นจริงที่เกมนี้ คือ เกมแอ๊คชั่นที่โคตรมันส์ติดอันดับต้นๆในความทรงจำของผม มันได้สลายสิ้นไปกับความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง จนเสียรูปกระบวนท่า แม้กระทั่งกับการคงไว้ซึ่ง การสโลว์โมชั่น Bullet-time ที่เป็นของจำในเกมนี้ ..ก็มาแบบน้อย และเป็นการน้อยที่แห้ง จืด ชืด กันสุดๆ ...ยังไม่นับรวมกับฉากแอ๊คชั่นที่มีอยู่น้อยนั้น พยายามจะให้เกิดอะไรที่วินาศสันตะโรก็แล้ว แต่มันก็ให้ผลลัพธ์ชวนลุ้นที่แสนจะน้อยต่ำเตี้ยเรี่ยดินซะ
คือ ถ้าจะดรามา ไม่ว่าอะไรเลย ..แต่ถ้าหนังพยายามจะดรามานำกันเกินไป จนไปบดบังความสำคัญส่วนอื่นๆ ก็ไม่ไหวจะรับได้หรอก
เรียกได้ว่าถ้าใครเคยเล่นเกมนี้กันจริงๆ ..เกินครึ่งต้องผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง และน่าจะอยากกลับบ้านมาเล่นเกมอีกสักรอบ เป็นการล้างตา ล้างสมอง ..แม้จะอยากชม "มาร์ก วอห์ลเบิร์ก" ว่าเป็น Max Payne ได้ถึงจิตวิญญาณ และเลือกเขามาได้ถูกต้องแล้ว ...แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่การแสดง ณ เบื้องหน้าไม่ช่วยอะไรเลย ตราบใดคนที่อยู่เบื้องหลังไม่เข้าถึงความเป็น Max Payne ที่คอเกมต้องการได้จริงๆ
Serbis -> เกรด B
ต้องสารภาพ ณ ตรงนี้.. ว่าผมดูหนังเรื่องนี้แล้วหลับๆตื่นๆ จึงรู้ความเป็นไปไม่ต่อเนื่อง
ซึ่งมันก็อาจจะเกี่ยวกับความเนิบนาบ ไม่เร้าอกเร้าใจอะไร ส่วนหนึ่ง ..แต่ส่วนสำคัญคงเป็นเพราะ ฤทธิ์ยา ที่กินเข้าไปก่อนเข้าโรงหนังมันแรง จนทำให้ผมชักเคลิ้มกับบรรยากาศเงียบๆ แอร์เย็นๆ และมีอันสลบไสลไป โดยพยายามต้องข่มตาให้ตื่นอย่างเมามันส์
ฉะนั้นแล้ว คำแนะนำสำหรับการดูหนังเรื่องนี้ของผม จึงขึ้นอยู่กับความกระปรี้กระเปร่าเป็นที่สุด ..ถ้าขณะนั้นคุณไม่รู้สึกตื่นเต็มที่ ก็มีสิทธิ์จะหมดเรี่ยวแรงอยากดูหนังอย่างผมก็ได้
แล้วยิ่งหนังก็เล่าเรื่องแบบเงียบเชียบ (จะมีเสียงสนทนาบ้าง..แต่ก็น้อยต่อการดำเนินเรื่อง) และถ่ายทำแบบกล้องแฮนด์เฮลด์ (เพื่อให้รู้สึกเหมือนแอบถ่ายกิจกรรมตึงๆ โจ๊ะตึ๋งๆ อย่างลับๆ) ..แต่ผมกลับเคลิ้มในความเงียบ และเวียนหัวให้กับมุมกล้องเอามาก (ทั้งๆที่ปกติ เทคนิคนี้ในหนังแอ็คชั่น ก็รับได้และชอบทั้งนั้น) จนทำให้สมองรับรู้ดูหนังผิดเพี้ยนไปหมด
แต่ถึงจะเพี้ยนไปอย่างไร ..สาส์นที่หนังต้องการสื่อ ก็ถือว่ายังพอจะมีความแรงที่ทำให้หนังไม่ได้มีแต่ความน่าเบื่ออย่างเดียว ..มิหนำซ้ำอาจจะเป็นเจตนาเสียด้วย ที่นำเสนอความขัดแย้งของครอบครัวออกมาแบบเงียบๆ แต่ทุกคนต่างก็ล้วนเก็บกด และบึ้งตึงถมึงทึงในอารมณ์ จนนำมาสู่การแสดงออกแบบเงียบๆ แต่ร้าวรานกันทั้งนั้น
สรุปแล้ว.. ถ้าผมไม่หลับเอากับการเดินเรื่องของหนัง ก็คงจะได้รับสาส์นอะไรมากกว่านี้ และคงจะรู้สึกว่ามันเป็นหนังสะท้อนปัญหาสังคมอย่างถึงแก่นที่ดี อย่างที่ใครๆเขาว่าได้เต็มที่
ถ้ามีโอกาสผมอาจจะดูตอนเป็นแผ่นอีกรอบหนึ่ง (หวังว่าคงจะไม่เซ็นเซอร์บานหทัยละกัน ..ไว้ใจไม่ได้จริงๆ)
ปล. บรรทัดที่ 3 ..อย่าคิดลึกนะครับ ...มิได้เกี่ยวกะอวัยวะส่วนนั้นแต่อย่างใด หุหุ
City of Ember -> เกรด B
ดูเอาสนุก ..ก็พอได้ สำหรับแฟนตาซีผจญภัยใต้ดินเรื่องนี้
แต่ถ้าดูเอาประทับใจ ..ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกว่าเป็นหนังดูเอาเพลิน ฆ่าเวลาอีกเรื่อง
ถึงการเล่าเรื่องค่อนข้างจะเร็ว ไม่ยืดยาด เยิ่นเย้อ แต่ก็แห้งแล้งไปด้วยอารมณ์ร่วม ..เราไม่รู้สึกจะลุ้นตามตัวละครเท่าไหร่ แม้สถานการณ์หลายอย่างจะเอื้อให้ต้องตามเชียร์ก็ได้อยู่ ..อีกทั้งเรื่องของการคาดเดา(สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านหนังสือ) แทบไม่ใช่ปัจจัยใดๆต่อความน่าสงสัยถึงเรื่องราวเลย เพราะหนังเดินตามสูตรเป๊ะๆ
จากหนังผีการ์ตูนที่จะหลอนก็ใช่ที่ จะมันส์ก็ชวนให้ระทึก กับ "Monster House" ..ผลงานชิ้นต่อมาของ "กิล คีแนน" กลับทำออกมาได้น่าผิดหวัง อย่างที่ได้แต่สงสัย ว่าใช่ผู้กำกับคนเดียวกันจริงหรือ? ..เพราะหนังที่เน้นขายเด็ก จินตนาการบรรเจิดเหมือนๆกัน แต่ทำไมความสนุกจึงออกมาต่างกันมากมายนัก
สุดท้ายนี้ สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกดีได้มากที่สุด.. ก็คือ น้องหนู "เซียร์ซ่า โรแนน" (ยัยไบรโอนี่..ตัวแสบแห่ง "Atonement") น่าร้ากกกกกกกกซะ!!!
มีแต่ 6 ตุลา 19 (ไม่ใช่ 16 ตุลา)
วันนี้ถ้ามีคนตายขึ้นมาจริงๆ คงเป็น 7 ตุลาฯ 51
(แต่กับพันธมิตรเนี่ยนะ ??? ไม่ไหวมั้ง)
ส่วนคนที่ "อาจจะ" ออกมาดับเชื้อไฟได้
ตอนนี้อาจจะกลายเป็นคนที่คอยเติมเชื้อไฟก็เป็นได้
(เหมือนที่ตอน 6 ตุลา เขาก็คือคนที่โยนคบไฟให้มาเผาเองเลยกับมือ - -*)
ส่วนคนที่ขาขาดคนแรกตามข่าว
ดูภาพแล้วเหมือนจะเป็นคนชุมนุมที่ "ขาขาดอยู่ก่อนหน้า" แล้วต่างหาก - -*
ไม่รู้ว่าีทีวีนำเสนอข่าวกันยังไง