"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
นอกจากติดตามตัวผมในบล็อกนี้แล้ว ก็ขอชวนไปสนุกกันในอีกช่องทางกับ "Facebook" และ "Twitter" ด้วยครับ
Like Me @ //www.facebook.com/Onc3.UPoN.a.MaN
และ Follow Me @ //twitter.com/once_upon_a_man
รีวิวนี้ ถูกเผยแพร่ไปแล้วก่อนหน้า ทาง //www.chicministry.com ลิงค์
ไม่รู้ว่าเจตนาของหนังจากเกมอย่าง Resident Evil จะอยากให้คล้ายคลึงกับตัวเกมมันหรือเปล่า? ..ที่จบตัวเองไม่ลง เลยต้องสานต่อให้ออกมามีอีกหลายภาค เพียงแต่มันอาจจะแตกต่างสักหน่อย ตรงที่ ตัวเกม สร้างภาคต่อออกมาแล้วคอเกม ยังนิยมชมชอบ เพราะรู้สึกว่ายังสนุก ทั้งกับการต่อสู้ และเรื่องราวที่ทำอย่างกะเป็นหนัง อย่างตั้งใจของคนทำเกม... แต่ ตัวหนังจริงๆ ไม่ว่าจะคอหนังหรือคอเกม (ที่รักมากจนต้องตามมาดูหนัง) กลับค่อยๆ ถอยห่างมันออกไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกถึงความน่าเบื่อหน่ายมากกว่า เพราะคนทำหนัง ตีความไม่เก่งเท่าคนทำเกมซะอย่างงั้น แต่ก็อาจเป็นความโชคดีอยู่อย่างของหนัง Resident Evil ที่ยังเหลือไม้ตายเด็ดๆ อีกหนึ่ง คือ สิ่งที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันกาลนี้เป็นที่สุด ..เพราะ เพียงแต่ต่อท้ายชื่อหนังด้วยคำว่า 3D เข้าไป ก็เป็นอันไม่ต้องพูดกันว่า ทำไม ภาคนี้ ถึงควรได้ดู! แล้วยิ่งมาการันตี โดยเอาชื่อของหนังอภิมหึมามหาเทพเรื่องสามมิติ อย่าง Avatar มาช่วยขายพ่วงเพื่อให้รู้เลยว่า เราใช้เทคนิคการถ่ายทำเดียวกันแบบหนังเรื่องนั้น ...มันยังมีอะไรให้สงสัยอีกล่ะ ถึงความน่าดู!
แต่นั่นมันก็แค่ การขายของ แหละครับ... เพราะของจะดี จริงหรือไม่ มันจะรู้ก็หลังจากที่แลกมันมาด้วยเงินนี่แหละหนา?
Resident Evil : Afterlife ... เล่าเรื่องราวต่อจากภาคสาม หลังจากเหตุการณ์ที่ Alice และชาวคณะสามารถหลุดมาจากทะเลทรายที่รายล้อมด้วย เจ้าผีชีวะ (ซอมบี้) รอดมาเพื่อจะเดินทางไปสู่ Arcadia ซึ่งเป็น สถานที่แห่งหนึ่งในโลก ที่เชื่อว่า เป็นแหล่งที่ Virus-T ยังเข้าไม่ถึง ..แต่แทนที่ จะไปด้วยกัน อลิซ กลับขอแยกวงชั่วคราว เพื่อไปเคลียร์ในอีกภารกิจหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องของความแค้นใจส่วนตัวเสียก่อน และเมื่อเปิดมาเป็น ภาค 4 นั่นเอง ภารกิจที่อลิซ อยากเคลียร์ด้วยนั้น มันก็จะเป็นอะไรไปได้อีก ถ้าไม่ใช่ การไปถล่มรังร่ม (Umbrella Corp) ถึงถิ่น เพียงเพื่อจะเก็บบอสตัวใหญ่สุดอย่าง Wesker ซึ่งทำให้เธอต้องกลายมาเป็น ครึ่งคนครึ่งซอมบี้ อย่างงั้น ...แต่คิดเหรอว่า มันจะจบง่ายๆ แต่ต้นเรื่อง ในเมื่อ แวงเกอร์ เอง ก็อุตส่าห์ยอมฉีดโคตรไวรัสใส่ตัวเองให้กลายเป็นโคตรลูกครึ่งเหมือนๆ กัน ที่ยังเหนือกว่าได้อีก! จุดมุ่งหมายการเสนอเรื่องราวของ ภาค 4 ก็ยังคงคอนเซปต์ที่ไม่แตกต่างจากภาคที่ผ่านๆ มา ..เพราะมันจะมีพลอตแค่สองพลอตที่ดำเนินไปด้วยกันคือ หนึ่ง การได้พบบอสใหญ่ที่แฟนเกมปลาบปลื้ม และสอง คือ การที่อลิซเป็นฮีโร่ เป็นความหวังของทุกๆ คน เป็นคนเดียวที่ต่อกรกับซอมบี้ได้มันส์ที่สุด (ส่วนคนอื่นๆที่ตามมาอีกพะเรอเกวียน ก็ค่อยๆ โดนกำจัดไปเรื่อยๆ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นแค่ตัวประกอบ!) คือ ถ้าไม่คิดอะไรมากมายนักกับตัวพลอต ก็คงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายอะไรนักกับแนวทางเรื่องราวของมัน ซึ่งก็ให้อารมณ์เดียวกับที่เป็นเกม เพียงแต่เมื่อมาพิจารณาเอากับ สถานการณ์ ระหว่างการเดินทางของเรื่องราวเหล่านั้นแล้ว มันกลับแล้ง ไร้ซึ่งความตื่นเต้น ระทึกขวัญ ไม่ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับตอนที่มันเคยสนุกสุดๆ ไปกับการเล่นเป็นเกม แม้ถึงในภาคนี้จะได้ Paul W.S. Anderson กลับมานั่งเก้าอี้ ผู้กำกับให้ในอีกครั้งหนึ่ง หลังจากครั้งท้ายสุด ก็คือครั้งแรกที่มันถูกทำขึ้นมาบนจอเงิน แล้วยังพาให้คาดว่า ภาค 4 คงจะดูมีอะไรให้น่าจดจำได้เช่นเดียวกับภาคแรกอยู่หรอก ...แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่เชิงว่าทำได้เทียบเท่าอยู่ดี
แน่นอนว่า ภาคสี่ มันพอดูจะมีเรื่องราวที่เข้าร่องเข้ารอยมากกว่า สองกับสาม ที่พาคนดูออกทะเลไปไหนต่อไหน! ..หากในแง่ของความลงตัว ก็ยังเป็นเรื่องที่ถือเป็นข้อด้อย ข้อหนึ่ง ที่ผู้กำกับคนนี้ มีอยู่ ไม่เปลี่ยนไป ...เพราะถึงต่อให้เป็นคนทำหนัง ที่มีผลงานสนุกๆ ให้เชิดหน้าชูตาได้อย่าง Death Race (ฉบับรีเมค) หรือจะเป็นภาคแรกของ ผีชีวะ ที่ยังพอจะมีคนชื่นชมอยู่บ้าง แต่ชื่อนี้ก็ยังรับประกันอะไรไม่ได้เช่นกันว่า ภาค 4 จะกลับมาเรียกลูกค้าได้อย่างสมราคาค่าตั๋ว ในเมื่อคนดูหนังก็ต้องการความสนุกที่สมส่วน ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน แล้วยิ่งมาทำหนัง ด้วยการใส่มิติที่สามเข้าไปให้ เพื่อจะทันยุคทันสมัยกับเขาด้วยอย่างนี้ ..ถ้าไม่รู้วิธีที่จะสร้างความตื่นเต้นด้วยภาพ และเสียงที่มีมิติมากกว่า ความสนุกที่หนังควรจะให้ก็มาไม่ครบเครื่องอยู่ดี เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ถึงแค่ได้ดูในแบบ 2D ..ก็ยังไม่ยักกะรู้สึกว่า ฉากขายต่างๆ ที่น่าจะสนุกมากกว่า ด้วยมุมมอง 3D เพิ่มเข้ามา น่าจะทำออกมาได้คุ้ม ...และยังแตกต่างจาก Avatar (ที่ถูกยกมากล่าวอ้างเปรียบเปรย ด้วยการใช้กล้องถ่ายแบบเดียวกัน) ที่เรื่องนั้นเห็นว่าทำออกมาอย่างตั้งใจ ในทุกกระเบียดนิ้ว แล้วรู้ว่าจะทำยังไง ให้คนดูต้องอู้หูอู้หาไปกับภาพ ...แต่เรื่องของผีชีวะ กลับนำเสนอภาพบนจอออกมาดูแบนๆ ที่นอกเหนือจะไม่ได้แปลกใหม่ (ฉากแอ๊คชั่นหลายแหล่ แทบยก The Matrix ทั้งสามภาคมาเป็นต้นแบบ) ก็ยังเล่นกับมิติที่สามไม่ได้มากมายไปกว่าที่เราเห็นในตัวอย่างหนัง (คือ ฉากเรียกน้ำย่อยทั้งหลายที่เห็นในตัวอย่าง ก็คือ ฉากที่เล่นกับ 3D แทบทั้งหมดที่หนังมี)
ถึงกระนั้น หากจะมาดูเอาความเท่ห์ ของ Milla Jovovich เป็นเน้นๆ ..ภาคสี่ ภาคนี้ ก็ใช้งานเธอได้คุ้มดี เพราะกลับมาคราวนี้ได้เป็น อลิซ มากกว่าหนึ่ง!! ..แถมสาวๆ คงได้กรี๊ดเบาๆ ไปกับความเท่ห์แสนสุดจะแมนของ Wentworth Miller ที่แม้จะออกน้อย แต่ก็ขโมยซีนขำๆ ไปพอตัวกับการที่จับให้ตัวละครนี้ ถูกเปิดตัวออกมา ในจังหวะที่กำลังติดอยู่ในกรงในคุกพอดีเด๊ะ! (คุ้นๆละสิ ว่ามันเจตนาจะล้อถึงอะไร??) ส่วนฉากแอ๊คชั่น (ที่ออกแนว The Matrix นั่นแล) ไม่แปลก แต่ก็พอดูเพลินๆ ได้ โดยเฉพาะช่วงถล่มรังอัมเบรลลาที่เปิดตัวได้ชวนลุ้น ...แล้วก็ลุ้นมากที่สุดเท่านั้น เพราะหลังจากนั้น มันเรื่อยๆ เปื่อยๆ กระทั่งไปถึงฉากไคลแม็กซ์ที่ เรียบ และง่าย! และสุดท้าย ท้ายที่สุด มันก็จบลงด้วย ฉากจบ (หลังเครดิต) ที่ทิ้งเชื้อไวรัสทีให้ยังสานความร้ายกาจต่อไปในภาค 5 ได้อีก กับหนึ่งตัวละครที่หลายคนคงคิดถึง! เพราะอย่างงี้ ถึงได้เกริ่นหัวข้อแต่ต้นไว้เลยว่า สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!! ..ความตั้งใจของคนทำหนัง มันหมายความตามนั้นจริงๆ
เกรด B ... {}
ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ |
|
|
Create Date : 22 กันยายน 2553 |
|
6 comments |
Last Update : 22 กันยายน 2553 16:16:03 น. |
Counter : 3737 Pageviews. |
|
|
|
เวสท์เกอร์ครับ ไม่ใช่ แวงเกอร์
ผมว่าสนุกดีครับ ฉากที่เล่นกับ 3D แทบทั้งหมดที่หนังมี มันก็แทบทั้งเรื่องครับ ไม่ใช่แค่ฉากในตัวอย่างอย่างที่ได้บอกนะ