+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!

"Little Children" ... โดนัทมีรู กับ ลูกกวาดมีพิษ



หลังจากที่ผมดู "Little Children" จบ ...ผมก็ได้ลองนึกถึงสิ่งที่เพิ่งผ่านตามาอย่างพินิจพิเคราะห์และต้องคิดว่า ผมจะเขียนรีวิวหนังเรื่องนี้ออกมาอย่างไรดี

เริ่มแรกดูเอาจากชื่อหนัง Little Children ก็บอกความหมายได้นัยน์ๆว่า "เด็กเล็กๆ" เมื่อมาตีความไปกับเนื้อเรื่องดูด้วย ก็ปิ๊งกับสิ่งที่หนังสื่อถึงว่า "ผู้ใหญ่ที่ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ ไม่รู้จักโต"

จนแล้วที่สุดความคิดวิเคราะห์ของผมมันก็ได้ไปคลิกกับ พวกขนมนมเนย ที่เด็กเล็กๆชอบกินกัน ...ซึ่งมันก็ไปสอดคล้องต้องพ้องกับ ลักษณะของตัวละครหลัก 3 คน ที่ต่างคนต่างก็มีเรื่องราวของตัวเอง



ตัวละครที่ 1 : "ซาร่าห์ เพียร์ซ" ... แม่บ้านผู้ที่ต้องทนใช้ชีวิตที่เหมือนมีพันธนาการติดพันตลอดเวลา ...เธอทั้งต้องจำทนกับสามีที่ชอบทำปั้มปั่มหน้าจอคอมฯ (พอนึกภาพออกใช่ไหมครับ ว่าผมหมายถึงอะไร) และต้องจำยอมเอาใจลูกสาวหัวดื้อขี้งอแงที่ไม่เคยยอมอะไรเธอง่ายๆ



ตัวละครที่ 2 : "แบรด อดัมสัน" ... พ่อบ้านผู้ที่ต้องทนใช้ชีวิตอันอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ "เคธี่" ภรรยาที่ทำตัวเป็นช้างเท้าหน้า ...เขามีความต้องการที่จะทำงานเป็นทนาย แต่ก็ด้วยความที่เขาเคยพลาดจากการสอบงานมาแล้ว 2 ครั้ง จึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาท้อแท้ต่อความที่ไม่เคยประสบความสำเร็จสมดังหวังในชีวิตเลย เขารู้สึกย่ำแย่ที่ต้องจำทนเห็นตัวเองเป็นได้แค่คนที่เกาะเมียกินไปวันๆ และต้องจำยอมเดินไปในทางที่เมียเขาต้องการให้เดินเท่านั้น

ถ้าเปรียบ ซาร่าห์ และ แบรด เป็นขนมนมเนยของเด็กๆ ...ผมนึกถึง "โดนัท"

ซึ่งลักษณะเฉพาะที่เราจะนึกถึง โดนัท เป็นอย่างแรก เลยก็คือ มันเป็นขนมปังที่มี 'รู'



และ 'รู' ของโดนัท มันก็เปรียบได้กับ ส่วนว่างเปล่าที่ต้องการให้มีอะไรมาเติมเต็ม ของ ซาร่าห์ และ แบรด

ซาร่าห์ และ แบรด ต่างก็มีความคิดความต้องการที่จะได้มีชีวิตอย่างเป็นอิสระ อยากมีลมหายใจโดยไม่ต้องไปจำทนจำยอมให้กับอะไรที่มันทำให้พวกเขาต่างต้องจมปลักกับความทุกข์ ...ซึ่งก็ด้วยการที่เธอและเขาได้พรหมลิขิตบันดาลให้มาพบกัน อันคือ จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์แบบ 'ชู้'



ถ้าเนื้อขนมที่เป็นสสาร เปรียบได้เป็น คนในครอบครัวของซาร่าห์และแบรด ที่มีรสชาติน่าเบื่อ แล้ว ...มิเช่นนั้นความหมายของ 'ชู้' ก็คือ 'รู' ของโดนัท ที่มีว่างเอาไว้เพื่อให้ เธอและเขา ได้จินตนาการรสชาติกันเอาเองว่า มันจะอร่อยดีเป็นเช่นไร



ตัวละครที่ 3 : "รอนนี่ แม็คกอร์วี่ย์" ... อดีตคนคุก ที่เพิ่งพ้นโทษออกมา ฐานกระทำอนาจารเด็ก ...เขาผู้ที่ไม่มีที่ซุกหัวนอนที่อื่น ได้กลับมาอยู่อาศัยกับแม่ของเขาในละแวกหมู่บ้านที่ไม่มีเพื่อนบ้าน คนใดนับถือเขาเป็น เพื่อน ซ้ำร้ายก็ยังพากันรังเกียจ แล้วร่วมกันลงประชามติให้ขับไล่ออกไปโดยไม่สนหัวอกคนเป็นแม่ ผู้ที่ร้าวรานทุกครั้งที่ลูกของตัวเองโดนด่าว่า "ไอ้ปีศาจ"

ถ้าเปรียบ รอนนี่ เป็นขนมนมเนยของเด็กๆ ...ผมนึกถึง "ลูกกวาด"

ถ้าไม่นับว่ามันเป็นของหวานชนิดหนึ่งแล้ว ...ขนมชนิดนี้ ก็ยังมีพิษสง เปรียบเป็นดังอาชญากรตัวร้าย ในสายตาของผู้ปกครองเด็กๆทั้งหลาย

บ้างก็มองว่ามันจะทำให้ลูกหลานฟันผุ บ้างก็มองว่ามันเคยทำให้เด็กๆตัวน้อยหลายคนต้องตาย ทั้งที่กลืนแล้วมีติดคอ หรือจะมีสารบางอย่างที่อันตรายใส่ผสมเข้ามา

ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ว่าบ้างนั้นบ้างนี้ มันก็เป็นเพียงแค่ความประพรั่นหวั่นพึงที่ผู้ปกครองตีกรอบล้อมรอบลูกหลานเอาไว้แบบลวกๆ ...และก็คงจะมีเพียงน้อยคนนักที่จะใช้วิธีลึกๆ เสี้ยมสอนในประโยชน์และโทษไปโดยความปราณี



รอนนี่ ต้องอยากจะนึกขอบคุณคนในกลุ่มหลังเป็นแน่ ที่ยังทำให้เขามีความเป็นคน หลงเหลืออยู่ ...หากแต่ในโลกของคนที่ชอบอคติอันมีเกลี่อนกลาดไปหมดเช่นนี้แล้ว มันก็ย่อมยากยิ่ง ที่ภาพจำของคนทั่วไป จะมองเขาเป็น "คน" มากกว่า "ปีศาจ"

ถ้าขนมลูกกวาด คือ ปีศาจของเด็กๆ(ในความคิดของผู้ปกครอง) แล้ว ...ฉะนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่ รอนนี่ จะถูกมองเป็น ปีศาจของท่านๆผู้ปกครอง(ที่ชอบทำตัวเป็นเด็ก)

หากถ้าเรายังคงเป็นเด็กเล็กๆ ในตอนนี้ เราคงจะมองดู โดนัท กับ ลูกกวาด แล้วก็หยิบมากินมาอมลงคอโดยไม่นึกอะไร ...แต่ในวันนี้ที่พวกเราได้ผ่านพ้นวัยนั้นมาแล้ว คงจะมองเห็นความต่างจากที่คิดในวันนั้นได้เป็นอย่างดี

โดนัท มันก็คือ ขนมทำจากแป้งที่มีรสชาติเดิมๆ ไม่ได้ดัดแปลงเปลี่ยนสูตรอะไรมาแต่ไหนแต่ไร (มีที่จะไม่เดิม ก็คงแค่ หน้ารสต่างๆ และไส้ใน ที่นับวันก็ยิ่งแปลกใหม่ไปเรื่อยๆ) ซึ่งหากเรากินมันบ่อยๆ กินมันเรื่อยๆ มันก็ต้องมีที่หมดอดทน มีความเบื่อเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...ส่วน ลูกกวาด ก็ถือ เป็นขนมหวานที่ดูจากเบื้องหน้าแล้วมันล่อตาล่อใจ หากแต่เราไม่อาจสามารถล่วงรู้เบื้องหลังว่ามันมีอะไรที่จะหลอกเราอยู่ในสีที่สดใสนั้นหรือไม่



มุมมองของคนเป็นเด็ก กับมุมมองของคนเป็นผู้ใหญ่ เหมือนอาจจะต่างกัน ถ้ามองกันที่ตรรกะ และประสบการณ์ ...แต่ในรูปธรรมที่แท้จริงแล้ว เราทุกคนที่ในวันนี้ได้เป็นผู้ใหญ่ ก็ยังคงมีความเป็นเด็กซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายที่เติบโตนี้อยู่

คนบางคน ที่เบื่อหน่ายอะไรต่อมิอะไรในชีวิต คงจะมีที่ยังรู้สึกถวิลหาในอะไรบางอย่างที่เหมือนได้ขาดหายไป ...คนเหล่านี้ ก็เปรียบเหมือนกับขนมโดนัท และเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ เอาแต่จะให้ทุกอย่างได้มาเติมเต็มให้ชีวิตนี้สมบูรณ์
ที่สุด ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว โดนัท มันก็ย่อมต้องโดนัทที่ไม่มีรูอยู่วันยังค่ำ

คนบางคน ที่มีแต่อคติ มองอะไรในแง่ลบ แล้วไม่รู้จักปล่อยวาง ...คนเหล่านี้ ก็ยังไม่ถือว่าโต มีนิสัยเป็นเด็กเล็กๆกระจองงอแง ที่ไม่เอาอะไรแล้วก็ดื้อแพ่งยืนยันจะไม่เอาต่อไป ...มองลูกกวาดว่ามันเป็นปีศาจอย่างไร ก็จะมองอย่างนั้นต่อไป ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้มีพิษสงไปซะทั้งหมด และกับคนผลิตดีๆที่ห่วงใยในผู้บริโภคก็ยังมีอยู่อีกเยอะ

เราต้องยอมรับความจริงว่าเราทุกคนยังเป็นเด็กอยู่ (เชื่อไม่เชื่อ ต้องลองถามพ่อแม่ของคุณ และเขาก็จะคงตอบว่าคุณ "ยังเป็นเด็กสำหรับ(พ่อ/แม่)อยู่เสมอ") ...แม้ตัวของเราจะไม่ใช่ แต่ใจของเรามันก็ยังเป็นอยู่ และเราไม่มีวันจะหนีความเป็นเด็กนี้ไปได้พ้น ...ถึงจะอย่างนั้นก็ตามที หากแต่เราก็ยังจะมีวิธีทำอะไรบางอย่างที่เป็นการพิสูจน์ว่าเราไม่ใช่เด็กๆได้ด้วยเช่นกัน คือ



หนึ่ง เป็นผู้ใหญ่ที่ยอมรับในความเป็นจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และจำต้องยอมรับในสิ่งที่เราต้องเผชิญหน้า ถึงแม้มันจะต้องเจ็บปวดใจ แต่เราก็ต้องทน ...เพราะก่อนหน้า เราได้เลือกทางที่คิดว่าดีที่สุดมาแล้ว และเราไม่มีวันจะย้อนอดีตกับไปแก้ไขความผิดพลาดนั้นได้

สอง เป็นผู้ใหญ่ที่ยอมรับได้ว่าโลกใบนี้มันเป็นอย่างไร และยอมรับได้ว่าการมีอคติต่อโลกที่เราอยู่ มันรังแต่จะส่งผลให้โลกนี้น่าอยู่น้อยลงเรื่อยๆ ...ถึงเราจะแบ่งขาว/ดำ ดี/ชั่ว กันอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า สีดำจะไม่มีวันเปลี่ยนคืนเป็นสีขาว อะไรที่เคยชั่ว จะกลับมาดีนั้นเป็นไปไม่ได้

ถ้าเราสามารถพิสูจน์ตัวเองในสองข้อนี้ได้แล้ว ต่อไปหลังจากนั้นเราก็คงจะได้หวนวันเวลาคืนกลับมาเป็นเด็กที่กิน โดนัท กับ ลูกกวาด อร่อยๆ ...โดยที่มันจะอร่อยอย่างไร ก็ไม่ต้องไปใฝ่หาเหตุผลของมันให้ยุ่งยากลำบากใจ



"Little Children" ... หนังดรามามีฟอร์ม (ที่กว่าจะได้มาวางฟอร์มอวดโฉมในบ้านเรา ก็เอาแต่เลื่อนแล้วเลื่อนเล่า) เป็นผลงานการกำกับของ "ท็อดด์ ฟีลด์" ผู้ที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์จาก "In the Bedroom" ในปี 2001

อันด้วยที่ตัวผมเองยังไม่เคยได้ดูหนังในห้องนอน เรื่องก่อนหน้า (หรือจะบอกว่าไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามผกก.ผู้นี้มาก่อนเลยก็ยังจะได้) ...มิเช่นนั้นแล้ว ความรู้สึกอยากจะดูที่มีต่อหนังเรื่องนี้ทั้งหมดทั้งมวล จึงตกไปเป็นเครดิตของ "เคท วินสเล็ท" แต่เพียงผู้เดียว

ด้วยเหตุผลข้อหนึ่ง ผมชอบเธอเป็นการส่วนตัว และข้อสอง ผมคงจะไม่ผิดหวังกับการแสดงและตัวหนังที่เธอรับเล่นเป็นอย่างแน่นอน ...เพราะ ชื่อของเคท สามารถรับประกันได้ว่า หนังทุกเรื่องที่มีเธออยู่ ต้องเป็นหนังดี อย่างแน่แท้

นักวิจารณ์คิดไม่ผิด คนได้ดูคิดไม่ผิด และผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดไม่ผิด ว่านี่คือ อีกหนึ่งหนังดีอย่างที่คาดคิด ...หากแต่เหนือจากที่คิดไป มันก็ยังได้เป็นหนังดีที่มีคุณค่าทางความชอบของผมมาก ถึงขนาดต้องติด 1 ใน 10 อันดับ หนังที่ผมชอบที่สุดในรอบปีนี้ กันเลยทีเดียว ...แล้วจะมีสาเหตุกลใดบ้างล่ะที่ทำให้ผมคิดว่าต้องเลือก Little Children ให้ติดอันดับเป็นหนังแห่งปี

ข้อหนึ่ง ...ยกผลประโยชน์ให้การกำกับของ "ท็อดด์ ฟีลด์" ที่ทำออกมาได้ละเมียดถึงอารมณ์ ตราตรึงใจในทุกๆชอต เขาสามารถเก็บรายละเอียดเรื่องราวออกมาผ่านจากสีหน้า คำพูด และสภาพแวดล้อม ที่ทำให้เชื่อถึงความเป็นไปของตัวละครแต่ละตัว ทั้งยังสามารถตีแผ่แง่มุมความเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสตัณหา และความอคติครอบงำเอาไว้ ได้อย่างถึงลูกถึงคน โดยที่หนังดูจะไม่มีการบิวด์ให้สะเทือนอารมณ์อย่างฟูมฟายอะไร แต่มันก็ค่อยๆแสดงออกมาให้คนดูซึมซับบรรยากาศทีละน้อยๆ ได้อย่างเข้าถึงและลึกซึ้งในสิ่งที่หนังต้องการจะแสดงออกมา



ข้อสอง ...บทหนังที่เขียนขึ้นมาโดย ผกก.ฟีลด์ และ "ทอม เพอรอตต้า" มีสมดุล ทั้งความจัดจ้าน และเรียบง่าย ที่เล่าออกมาได้อย่างกลมกล่อม ...การสร้างสถานการณ์บีบบังคับอารมณ์คนดูให้รู้สึกตึงเครียดไปกับหนัง ทำแบบไม่เร่งเร้า ทยอยปล่อยความแรงเพิ่มออกมาทีละหน่อยๆ แต่พอถึงจุดจะเล่นเอาให้ตายแล้ว ก็ทำกันอย่างสุดๆ ทั้งยังขมวดทุกเรื่องทุกพลอตให้มาจบลงในจุดๆเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ ...ในส่วนที่เป็นการเสียดสีสังคมปัจจุบันก็เล่าได้อย่างแนบเนียน ทั้งยังมีความขบขันผ่อนคลายประปรายมาอยู่บ้าง ทำให้หนังไม่ตึงจนเกินไป

ข้อสาม ...งานด้านภาพ ถ่ายได้สวยมาก ทั้งยังถ่ายทอดอารมณ์ของฉากนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี (ยิ่งในฉาก XXX ที่เกือบจะโดนท่านกบว.เซ็น ยิ่งไม่จำเป็นต้องบรรยายความอะไรให้มันมากมาย มันก็เห็นๆกันอยู่)



ข้อสี่ ...การแสดงของทีมดาราคุณภาพทุกคนเล่นได้เยี่ยมยอด ..."เคท วินสเล็ท" เป็นผู้หญิงแข็งกระด้าง ที่มีจิตใจอ่อนแอน่าสงสาร , "แพคทริค วิลสัน" ดูสับสนกระวนกระวายแบบอย่างผู้ชายมีชู้ , "เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่" หึงแบบไม่แสดงออกทางกาย ใช้สายตาแสดงความหวงได้น่ากลัว , "แจ๊คกี้ เอิร์ล เฮลี่ย์" ผมขอเปลี่ยนใจให้เขาสมควรจะได้ออสการ์มากกว่าลุงอาร์กิ้น , "โนอาห์ เอ็มเมอร์ริช" เป็นตำรวจกุ๊ยที่น่าสมเพศ , "ฟิลลิส โซเมอร์วิลล์" เป็นแม่ที่น่าเห็นใจ น่านำเรื่องของเธอไปออกวงเวียนชีวิต

ข้อห้า ...เนื้อหาที่สะท้อนสังคมได้รุนแรง พล็อตเรื่องที่สะท้านอารมณ์คนดูได้เจ็บแสบ ข้อคิดของหนังที่ทำให้มนุษย์ใจเด็กอย่างเราๆได้กลับมามองตัวเอง แล้วคิดดูว่า "เราโตพอจะเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง" (ช่วงท้ายๆของหนัง ได้แสดงออกมาด้วยการเอาชนะอะไร อย่างหนึ่งที่ แบรด เคยคิดว่า คงไม่มีทางจะทำได้)



"Little Children" ... กับ 5 เหตุผล ที่ทำให้ผมรัก และยังเป็น 5 เหตุผล ที่ผมจะขอนำเสนอให้คุณๆคนรักหนังต้องไปดูกันให้ได้ ...นี่คือ อีกหนึ่งหนังที่น่าจะทำให้คุณต้องออกจากโรงมาพร้อมกับพูดบอกต่อคนอื่นว่า "ห้ามพลาด" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A ... {}

ปล. ขอทำตัวเป็นหน้าม้าให้หนังอีกสองเรื่องที่จะติดอันดับ 1 ใน 10 แห่งปีของผม "Ratatouille" และ "Paris Je T'aime" ...ชวนให้ต้องดูครับ ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ

ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ




 

Create Date : 07 สิงหาคม 2550
15 comments
Last Update : 7 สิงหาคม 2550 0:01:48 น.
Counter : 5052 Pageviews.

 

เพิ่งไปดูที่ลิโด้มาวันนี้ครับ พบว่าดูแล้วเฉยๆอ่ะครับ
คุณ once เข้าใจเปรียบเทียบเรื่องขนมหวานนะครับ
จินตนาการไปได้ไกลโน่นเลย ฮ่าๆ

 

โดย: joblovenuk 7 สิงหาคม 2550 1:03:34 น.  

 


I'm so glad that I watched Little Children in the theatre. The widescreeen aspect ratio was very suitable for this film. The haunted landspace portrayed USA as a kingdom of fear.

Another title for Little Children could be "IN THE BEDROOM OF AMRICAN BEAUTY IN POST 9/11 ERA"

Todd Filed was almost the genoius one.

 

โดย: merveillesxx 7 สิงหาคม 2550 1:11:49 น.  

 

ชอบบทความนี้มากๆ เลยครับ
เปรียบเทียบได้เจ๋งมากๆ
เขียนลงหนังสือได้เลยเนี่ย แนะนำให้ไปหาตังกินหนม

ฉากจดจำของผมคือตอนที่ Ronnie เดินเข้ามาในสระน้ำ
แค่เห็นหน้าผมก็กลัวแล้วอะ... การแสดงสุดยอดจริงๆ

 

โดย: nanoguy 7 สิงหาคม 2550 3:17:37 น.  

 

เขียนออกมาน่าอ่านค่ะ เห็นด้วยกับคุณ nanoguy
คุณน่าไปเขียนงาน ขายให้หนังสือ ได้ตังค์แล้วซื้อลูกกวาดกิน(ซะ)

 

โดย: นกแสงตะวัน 7 สิงหาคม 2550 5:46:45 น.  

 

อ๊ายยยย (เขินนึดนึงส์)...ขอบคุณที่ชมนะครับ แต่ผมคงยังไม่หาญกล้าเสนอหน้า(กระดาษ)เอาบทความไปลงหนังสือได้หรอก คุณวุฒิยังน้อยต้อยอยู่เลย ...อย่างคุณหมอผมอยู่ฯ ก็เคยลำบากลำบนกว่าจะได้เป็นคอลัมนิสต์ ก็ส่งไปหลายที่ แล้วก็ปิ๋วไปซะหมด

ผมขอทำหน้าที่เป็นบล็อกเกอร์รีวิวหนังอย่างนี้ก่อนดีกว่า ...ถ้าอนาคตอยากจะได้อัพเดทไปทำอะไรที่ใหญ่ ที่กว้างกว่านี้ ค่อยว่ากันอีกทีละกัน

 

โดย: OncE UPoN'-'a MaN 7 สิงหาคม 2550 9:38:55 น.  

 

อ่านแล้ว อยากไปดูจัง ช่วงนี้หยุดกีฬามหาลัย อาจจะไปดูสักหน่อย

เขียนได้ราบรื่นดีครับ

 

โดย: *omega* 7 สิงหาคม 2550 10:42:55 น.  

 

+ ความเห็นตรงกันในหลายๆ ส่วนครับ (ซึ่งบางส่วนพี่ก็เคยเขียนไว้ที่บล็อกคุณหมอพีฯ แล้วด้วย เพราะงั้นคงไม่ขอกล่าวถึงซ้ำอีก) ... แต่คิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังดีมากๆ ของปีนี้ที่ได้ดูไป และน่าจะติดอันดับของพี่ตอนปลายปีด้วยเช่นกันครับ

+ เรื่องนี้เจ๋งทั้งบท จังหวะจะโคน และการแสดงนะ (โดยเฉพาะเคต เธอ X ซะ กับเฮียแจ๊คกี้ จิตโคตะระ) ... ถึงแม้ใครจะบอกว่าจบแบบน้ำเน่า จบอ่อนหรือใจดีไปหน่อย แต่เป็นตอนจบแบบที่พี่ชอบอ่ะครับ เหอะๆ (ประหลาดมั้ยเนี่ย ที่พี่ชอบการจบแบบ feel good ซึ่งบางทีมันก็ดูออกจะน้ำเน่านั่นแหละ เพราะเห็นหลายๆ คนเค้าไม่ชอบกัน ... ยกเว้นบางเรื่องที่ธีมมันหดหู่มากๆ มาตั้งแต่ต้น ให้ feel good ตอนจบก็คงไม่ไหว อย่างพวก Nobody knows หรือ Chou-Chou เงี้ยะ ... ถ้าจบ feel good ล่ะขำตายเลยครับ)

+ นัทไม่แวะไปดู Film Buffet-II ที่เฮาส์บ้างเหรอคับ? หนังดีๆ เก่าๆ เอากลับมาฉายเยอะเลยนะ ... เมื่อวานพี่ไปดู Pride and prejudice ได้เจอ น้องนาโน กับน้องเมอร์ฯ ด้วยแหละครับ

 

โดย: บลูยอชท์ 7 สิงหาคม 2550 11:03:24 น.  

 

เปรียบเทียบได้ดีมากเลยค่ะ

เปรียบเทียบได้เห็นภาพ และสัมผัสได้เลย

ชัดเจนดี

 

โดย: โสดในซอย 7 สิงหาคม 2550 19:09:36 น.  

 

พี่วิน บลูยอชท์ ...ก็อยากไปนะครับ แต่ว่ามันไกลแสนไกล และยิ่งกว่านั้นยังไปลำบากกว่า สยาม เสียอีก (จากบ้านผมไปสยาม ยังแค่สองต่อ แต่ อาร์ซีเอ คงสี่ต่ออัพซะละมั้ง ...)

ก็ฝากพี่วินดูละกัน แล้วเอามาโม้มาคุยกันให้อิจฉาเล่นที่บล็อกพี่หมอพีละนะ

 

โดย: OncE UPoN'-'a MaN 7 สิงหาคม 2550 19:35:03 น.  

 

ถ้ามาสยามสองต่อ
ไปอาร์ซีเออีกต่อเดียวได้เน่อน้องนัท
มาลงสยามเสร็จ ข้ามไปฝั่งเดียวกับมาบุญครอง รอสาย 93 กับ 113 ต่อเดียวถึงอาร์ซีเอเน่อ

 

โดย: nanoguy IP: 125.24.84.176 8 สิงหาคม 2550 3:29:05 น.  

 

เอะ ... จากแถวๆ รามอินทรามาต่อ 93 / 113 แถวบางกะปิ / หน้าราม ลงมาทางฝั่งนี้เลยดีฝ่ามั้งครับ ไม่ต้องไปอ้อมมาบุญครองให้รถติดอีกต่อนึงง่ะ - -'

 

โดย: บลูยอชท์ 8 สิงหาคม 2550 10:07:50 น.  

 

อ่อ..
ไม่เคยไปแถวนั้นไงพี่ 55+

 

โดย: nanoguy 9 สิงหาคม 2550 0:39:44 น.  

 

ขออนุญาติ แอดบล๊อกนี้นะคะ

อยากดูเหมือนกันอ่ะ แต่ที่ชลบุรีไม่มีเข้าเลย
5555 (อดไป) รอแผ่นโลด

แล้วจะมาเยี่ยมใหม่ค่า

 

โดย: little_fuku 10 สิงหาคม 2550 17:13:01 น.  

 

Ratatouille : มันต่างกันน่ะ...ระหว่างขุดคุ้ยกับไขว่คว้า
ภาพของย่านคนจนซึ่งต้องหากินเยี่ยงหนูสกปรก ถูกกั้นกลางด้วยแม่น้ำให้ห่างออกจากย่านคนรวยผู้ระเริงชีวิตด้วยความศิวิไลซ์ ใบปิดข้างต้นกำลังบอกนัยยะสำคัญบางอย่างของหนังเรื่องนี้อยู่กลายๆ แน่นอนว่า Ratatouille เป็นหนังการ์ตูนที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ชมเด็กๆ เป็นสำคัญ แต่ทว่าผู้ใหญ่อย่างเราจะดูถูกหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลยโดยเฉพาะในส่วนของบทภาพยนตร์ มันไม่ได้ถูกเขียนด้วยสติปัญญาที่ไร้เดียงสาหากแต่เป็นระดับอัจฉริยะ ทั้งงดงามและลุ่มลึกเสมือนผลงาน ดราม่าหวังรางวัลเลยทีเดียว

ทั้งๆ ที่แอนนิเมชั่นเรื่องนี้ของ ค่ายพิกซ่าร์ มีดีอยู่เกินตัว แต่จากภาพหนังตัวอย่างที่ปล่อยออกมาก่อนฉาย กลับเป็นไปอย่างเรียบง่ายและถ่อมตน ถือเป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ความบันเทิงของ Ratatouille ถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดภายใต้ฝาชีของการตัดต่อ ก่อนที่จะยกมาเสิร์ฟผู้ชมและอวดรสชาติชั้นเลิศเมื่อตอนได้สัมผัสเรื่องราวของหนังทั้งหมด ช่างแสนอิ่มตาอิ่มใจและมากถึงขั้นสะเทือนอารมณ์ได้ในหลายๆ ฉาก ความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เคยชมการ์ตูนญี่ปุ่นจากค่ายจิบลิกลับมาเยือนผู้เขียนอีกครั้งจากการได้รู้จักกับ Ratatouille เรื่องนี้
ผู้กำกับปรุงแต่งเรื่องราวของหนังได้อย่างกลมกล่อม ถึงรสชาติและมีรสนิยม งานด้านภาพและเสียงน่าจะเรียกได้อย่างเต็มปากว่างดงามไร้ตำหนิ ( ในมาตรฐานปัจจุบันของงานประเภทนี้) บทบาทของตัวละครที่ค่อยๆ เร่งระดับความสำคัญขึ้นจนกระทั่งผูกพันกับผู้ชมได้ในที่สุดอันนำไปสู่ฉากตอนท้ายเรื่องที่ทรงพลัง เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของทีมผู้สร้างซึ่งอยู่เบื้องหลังที่ร่วมกันผลักดันแต่ละนาทีของเรื่องราวเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่นี้ให้สำเร็จลงได้อย่างน่าชื่นชม

เรื่องราวว่าด้วยชีวิตของเจ้าหนูเรมี่ที่มีนิสัยแหกคอกไม่ชอบกินเศษอาหารและขยะ มันมีรสนิยมเลิศหรูและปรารถนาว่าวันหนึ่งจะเป็นพ่อครัวชื่อดังแห่งกรุงปารีสให้ได้ เหมือนกับ เชฟออกัส กุสโต้ พ่อครัวผู้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เรมี่ เรมี่สนใจการทำอาหารเหมือนเขากำลังตกหลุมรักศิลปะแขนงนี้เข้าอย่างจังจนถึงขั้นถอนตัวไม่ขึ้น เขาเฝ้าลองผิดลองถูกจับโน่นผสมนี่เพื่อฝึกฝนวิธีการปรุงอาหารให้อร่อย จนวันหนึ่งเรมี่ก็ได้เป็นเจ้าของตำราอาหารของกุสโต้ เขาคว้าตำราเล่มนี้มาจากหญิงชราที่น่าจะไม่เคยเปิดอ่านมันเลยด้วยซ้ำ เรมี่พยายามศึกษาการทำอาหารจากตำราจนจำได้ขึ้นใจในทุกสูตร เหมือนเขาเตรียมพร้อมตลอดเวลาเพื่อที่โอกาสการพิสูจน์ฝีมือจะมาถึง ( ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าการหาความรู้จากการอ่านหนังสือสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้...)

เชฟออกัส กุสโต้ ผู้วายชมน์ กลายเป็นภาพในจินตนาการของเรมี่ที่ยังคงโลดแล่นอยู่ในชีวิตเขาเสมือนกุสโต้ยังมีตัวตนอยู่จริงๆ เป็นจินตนาการผู้คอยชี้แนะให้ลงมือ ยับยั้งเมื่อทำผิดและปลอบโยนให้กำลังใจ ศิลปะในการพูดของจินตนาการกุสโต้ เปี่ยมพรสวรรค์ไม่แพ้การปรุงอาหารของเขา หลายครั้งที่ผู้ชมจะรู้สึกว่าเหมือนกำลังได้รับการสั่งสอนจากครูผู้รู้ซึ้งชีวิตเป็นอย่างดี ( ทั้งที่กุสโต้เป็นเพียงแค่ตัวการ์ตูน )
กุสโต้ไม่เพียงเคยสร้างสรรค์อาหารให้มีรสชาติเลอเลิศเท่านั้น ความสามารถด้านการพูดให้กำลังใจของเขาก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะสร้างชีวิตคนให้ดีขึ้นมาได้เช่นกัน ดูได้จากผลงานการเปลี่ยนคนที่เคยผ่านชีวิตแย่ๆ มาก่อนอย่างเด็กไร้บ้าน นักโทษขี้คุก ผู้หญิงที่ถูกเหยียดเพศ กุสโต้สร้างโอกาสใหม่ให้พวกเขาโดยปรับเปลี่ยนทัศนคติให้ผู้ที่น่าจะเรียกได้ว่ามีความผิดเพี้ยนอยู่ในรสแห่งชีวิตนี้ได้กลับมามีชีวิตที่กลมกล่อมเยี่ยงคนปกติอีกครั้ง
บุคคลชายขอบเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญอยู่ในครัวของภัตตาคารกุสโต้ จิตใจที่เปิดกว้างของกุสโต้เป็นที่มาจากคติพจน์ที่เจ้าหนูเรมี่ยึดมั่นเป็นสรณะว่า “Anyone can cook” (ไม่ว่าใครก็ทำอาหารได้ทั้งนั้น)

หลังจากเรื่องราวได้จับพลัดจับผลูให้เจ้าหนูเรมี่ได้มาเป็นมิตรแท้ต่างสายพันธุ์กับหนุ่มน้อยชื่อว่า ลิงกวินี่ เด็กชายไร้ฝัน ไร้พรสวรรค์และดูเหมือนจะไร้ชีวิตชีวาในหลายๆ พฤติกรรม ลิงกวินี่มาทำงานเป็นเด็กเทขยะให้ภัตตาคารกุสโต้ภายใต้การนำของหัวเรือใหญ่คนใหม่ผู้มีบุคลิกต่ำเตี้ยไม่แตกต่างจากรสนิยมของเขา พ่อครัวตัวเล็กคนนี้แอบซ่อนแผนการใหญ่ที่จะฮุบกิจการภัตตาคาร กุสโต้เป็นของตน แล้วเปลี่ยนรูปแบบร้านไปผลิตอาหารแช่แข็ง ( จำหน่ายอาหารสำเร็จรูปประเภทเดียวกับอีซี่โกที่เครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังทำอยู่ )

จากความเซ่อซ่าของลิงกวินี่บวกกับความช่วยเหลือที่สามารถของหนูน้อยเรมี่ ทำให้นักวิจารณ์อาหารชื่อดังเข้าใจผิดว่าลิงกวินี่คือพ่อครัวผู้มีรสมือเป็นเลิศ ชื่อเสียงของลิงกวินี่ภายใต้ความสามารถของเรมี่ดังกระฉ่อนไปไกลจนกระทั่งนักวิจารณ์อาหารชื่อดังที่สุดของเมืองชื่อว่า อีโก้ ต้องมาขอท้าชิม
อีโก้เป็นนักวิจารณ์อาหารที่เงียบขรึม เย็นชา และดูเหมือนไร้อารมณ์เป็นที่สุด แต่กระนั้นเขาก็เป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ด้านการทดสอบอาหาร ก่อนการทดสอบของอีโก้จะมาถึง ปัญหาความวุ่นวายต่างๆ ก็ระดมประดังกันเข้ามาพาให้เรื่องราวของหนังต้องเดินเข้าสู่ภาวะความ ตึงเครียดและกลายเป็นจุดวิกฤติ ก่อนที่จะคลี่คลายออกด้วยความฉลาดและน่ารักเป็นที่สุด ทั้งยังฝากฉากจบที่ทรงพลังให้ผู้ชมได้กลับไปคิดต่อเป็นการบ้านหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจบันเทิงใน โรงภาพยนตร์แล้ว...
“มันต่างกันน่ะ...ระหว่างขุดคุ้ยกับไขว่คว้า” เจ้าหนูเรมี่คงคิดเช่นนั้นจึงได้ทำเช่นนั้นและเป็นเช่นนั้น โดยฐานะของตัวมันเองที่เป็นเพียงแค่หนู สัตว์สกปรกผู้ต่ำต้อย เรมี่อาจหาญคิดฝันเกินตัวและเดินตามความฝันนั้นไปด้วยความมุ่งมั่นและอดทน ฝ่าด่านความยากลำบากต่างๆ นานาแต่ที่ถือเป็นอุปสรรคใหญ่สุดคงได้แก่คำสบประมาทของผู้เป็นพ่อ ว่าให้เจียมตัวในความนึกฝันและสำเหนียกอยู่ตลอดว่าตัวเองนั้นเป็นใคร โชคดีที่เสียงปรามาสของพ่อยังไม่ดังไปกว่าเสียงให้กำลังใจจากจินตนาการของกุสโต้ เรมี่เดินตามความฝันของตัวเคียงข้างไปกับภาพจินตนาการที่สมมุติขึ้นมาเองจนกระทั่งประสบความสำเร็จในที่สุด
เรมี่เกลียดการขุดคุ้ยเศษซากขยะเหลือทิ้งเหมือนที่พวกหนูชอบทำกัน อาหารที่หนูประทังชีวิตล้วนมาจากเศษเดนเหลือกินจากผู้อื่น เรมี่เลือกที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ต้องการขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เขาจึงเลือกกินเฉพาะอาหารที่ตัวเองเป็นผู้ปรุง แทนที่จะต้องไปขุดคุ้ย เจ้าหนูเรมี่ของเรามันเลือกที่จะไขว่คว้า...

มีภาษาภาพยนตร์ปรากฏอยู่มากมายในหนังเรื่องนี้และแตกออกได้เป็นหลากหลายประเด็น แต่ที่เด่นจริงๆ คงเป็นเรื่องความสำเร็จที่ต้องสร้างเอง (ไขว่คว้า) แทนการฉกฉวยความสำเร็จของ ผู้อื่นมาอย่างมักง่าย (ขุดคุ้ย) ประเด็นนี้ นอกจากจะสื่อผ่านพฤติกรรมหลักของพวกหนูขี้ขโมยแล้ว ยังสื่อผ่านพ่อครัวตัวเล็กที่คิดจะฮุบกิจการภัตตาคารที่กุสโต้สร้างมาด้วยหัวจิตหัวใจ , ชื่อเสียงที่ลิงกวินี่ได้รับก็เช่นกัน มันเป็นความสำเร็จของผู้ที่อยู่เบื้องหลังซึ่งก็คือเจ้าหนูเรมี่นั่นเอง , มรดกที่ ลิงกวินี่ได้รับจากพินัยกรรมของผู้เป็นพ่อก็เป็นเพียงความสำเร็จของบรรพบุรุษ หาใช่ความสำเร็จที่ลิงกวินี่สร้างขึ้นมาด้วยตัวเองไม่ รวมไปถึงการหาชื่อเสียงของเหล่านักวิจารณ์อาหารที่โด่งขึ้นมาจากงานสร้างสรรค์ของคนอื่น
อีกนัยยะหนึ่งที่เหน็บแนมและกะเทาะเปลือกความเป็นฝรั่งเศสได้ถึงแก่นนั่นคือ มหานครอันหรูหราของเหล่าศักดินาชนชั้นผู้ดีแห่งนี้ มันถูกสร้างขึ้นจากน้ำแรงของชนชั้นไพร่ทาสผู้ยากจน ( สื่อผ่านชื่อ Ratatouille ที่เป็นผักต้มคล้ายๆ จับฉ่ายซึ่งเป็นอาหารของคนจนในฝรั่งเศส)
ก่อนที่หนังจะเลี่ยนไปกับความสำเร็จของเจ้าหนูเรมี่ที่เป็นซะยิ่งกว่าแฟนตาซี (ทั้งๆที่เป็นหนังการ์ตูนอยู่แล้ว) ความฉลาดของผู้เขียนบทและผู้กำกับได้แก้รสให้หนังกลับมามีความหนักแน่นขึงขังอีกครั้งในตอนท้ายของเรื่อง โดยใช้ตัวละครของอีโก้ นักวิจารณ์อาหารผู้เคร่งเครียดเป็นเครื่องมือหลัก อันทำให้ Ratatouille ได้ทำหน้าที่สะท้อนชีวิตในอีกมิติหนึ่งให้ผู้ชมได้เห็นถึงอีกมุมมองที่แตกต่างออกไปของความสำเร็จ
อีโก้ผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ บริโภคอัตตาของตัวเป็นอาหารหลัก ความสำเร็จในชีวิตของอีโก้นั้นได้มาอย่างไร หนังไม่ได้กล่าวถึง หากแต่นำเสนออีกแง่มุมของคนที่ประสบความสำเร็จแล้วแต่กลับลืมกำพืดของตัวเอง ลืมความเรียบง่ายของชีวิต ลืมความทรงจำอันงดงามในอดีตเพียงเพราะมัวหลงชื่นชมความสำเร็จของตนในปัจจุบัน

ปลายปากกาวิจารณ์ที่หล่นกระทบพื้นเมื่ออีโก้ได้ลิ้มรสชาติของ Ratatouille อันเป็นอาหารคนจน คือภาพที่แสนงดงามในหนังเรื่องนี้ อัตตาถูกปล่อยวาง ลิ้นที่เคยจ้องจับผิดได้รับการผ่อนคลาย รสชาติที่อีโก้สัมผัสนั้น ผู้เขียนเชื่อว่ามันไม่ใช่อาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตของเขาหรอก ( ก็เป็นนักชิมมือพระกาฬซะระดับนั้น) แต่อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้อย่างแน่นอน อาหารคำนั้นทำให้อีโก้มีความสุขอย่างที่สุด เพราะมันได้ทำหน้าที่เปิดเผยพลังอันมีอิทธิพลมหาศาลต่อความเป็นเขาในปัจจุบัน เป็นพลังที่ซุกซ่อนอยู่ภายในซอกมุมของจิตใจเขา เสมือนหนูตัวเล็กๆ ที่นานแล้วยังไม่เคยโผล่ออกมาปรากฏตัว...

หนังเรื่อง Ratatouille นี้ถูกสร้างด้วยกรรมวิธีไม่ต่างไปจากการปรุงอาหาร มีการผสมรสที่แตกต่างกันอยู่เป็นระยะๆ ทั้งตลกขบขัน ตื่นเต้น และบรรยากาศของความรัก คลุกเคล้ากันจนลงตัวและกลมกล่อม ภาพที่ลงหมอกพอสวยงามแลดูชวนฝัน ดนตรีประกอบนุ่มนวลละมุนหูที่คลอเบาๆ อยู่ตลอดเรื่องสร้างความรู้สึกร่วมเหมือนผู้ชมกำลังนั่งทานข้าวอยู่ในภัตตาคารหรูของฝรั่งเศส


หนังเรื่องนี้ยังพาลให้ผู้เขียนนึกถึงหนังเรื่อง Sideway ของ อเล็กซานเดอร์ เพย์ ขึ้นมา ตะหงิดๆ ที่เคยเน้นภาพและงานดนตรีในลักษณะนี้ซึ่งให้อารมณ์เหมือนผู้ชมได้ร่วมดื่มไวน์ไปกับตัวละครในเรื่องด้วย ( เบลอภาพนิดๆ แบบชวนฝันหน่อยๆ)
Ratatouille จบลงด้วยความสุขตามสูตรอย่างที่ควรจะเป็น ผู้ชมอาจไม่รู้สึกจริงจังอะไรนักกับภาพเชฟกุสโต้ที่โลดแล่นเป็นจินตนาการอยู่ในหัวของเจ้าหนูเรมี่เพราะมันก็แค่ความเพ้อเจ้อของหนูหลงทางที่ต้องอยู่ตัวเดียว เหมือนกับที่อาจไม่ค่อยรู้สึกอะไรนักกับการที่เจ้าหนูเรมี่ต้องมาคอยเจ้ากี้เจ้าการอยู่บนหัวของลิงกวินี่เวลาทำอาหารนอกเสียจากความตลกขบขันที่ได้จากภาพเหล่านั้น แต่เชื่อเถอะว่า ในหัวของเรามีเจ้าตัวแบบนี้อาศัยอยู่จริงๆ บางวันมันก็นอนเซา บางวันมันก็ลุกขึ้นมาเต้นคึกคักสนุกสนาน ลองยกมือขึ้นไปแหวกผมที่กลางศรีษะของคุณดูซิ!
แล้วจะเจอว่ามี “ความฝัน”อาศัยอยู่ในสมองของมนุษย์เราทุกคน เพียงแค่จะเก็บซุกซ่อนมันไว้ตลอดไปหรือจะเริ่มทำให้มันกลายเป็นความจริงซะที...............

 

โดย: เบียร์ IP: 203.154.187.177 22 สิงหาคม 2550 17:57:46 น.  

 

ชอบค่ะ เสียดายที่ไม่ได้ไปดูในโรง ดูดีวีดี โดนตัดเยอะเลย

 

โดย: สา IP: 58.137.12.13 31 ตุลาคม 2550 16:24:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2550
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
7 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.