11-09-01 : วันนี้ เมื่อ 6 ปีที่แล้ว บนจอหนัง
สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ บล็อกน้องใหม่ ...เรื่องจริงผ่านจอ{หนัง}
บล็อกนี้ จะว่ากันถึง เรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ของโลก หรือเหตุการณ์-บุคคลสำคัญ ที่มามีบทบาทอยู่บนจอหนัง ในหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งที่เป็นเรื่องโดยตรงและโดยอ้อมที่ข้องเกี่ยวกัน ...ผมจะพามารำลึก ชวนนึกถึงความเชื่อมโยงที่ก่อให้เกิดเป็นหนังที่มีนิยามของคำว่า "Inspired by the true stories" แปะอยู่บนหน้าหนัง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ในวันนี้ เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ...ทุกๆคนทั่วโลกคงจำกันได้ดี ว่าวันนี้เป็นวันอะไร เพราะอาจแม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดเหตุขึ้นใกล้ๆตัวเรา แต่มันก็เหมือนกับกลายว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเราเอาอย่างมากๆไปแล้วในทุกวันนี้
เวลา 8.30 น. ตามเวลาในนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา (คือประมาณ 2 ทุ่มในบ้านเรา) ได้เกิดเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมตึกคู่แฝด "เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์" โดยใช้เครื่องบินทางพาณิชย์จำนวน 2 ลำ ชนตึกแต่ละฝั่ง ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันประมาณ ครึ่งชั่วโมง
อานิสงส์ของสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนาทีนั้น ก็คือ การสูญเสียของผู้คนนับหลายร้อยที่ต้องแลกไปกับการสูญสิ้นพังครืนของตึกแฝด WTC ไปทั้งหมด ...ความเสียใจที่มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัวของคนทุกคนที่ได้มีความรู้จักสนิทสนมกับผู้คนที่สูญเสียไปพร้อมที่นั่น ...และ การฉีกหน้ากันอย่างซึ่งๆ กับประเทศที่เคยมีคนพูดพร่ำบอกปาวๆว่า การรักษาความปลอดภัยดีที่สุดในโลก การรับมือเหตุร้ายดีที่สุดในโลก ระบบข่าวกรองดีที่สุดในโลก และ ฯลฯ ที่ดีที่สุดในโลก
นี่คือ เหตุการณ์ที่สร้างความช็อก สะเทือนเลือนลั่นกันไปทั่วโลก แม้ทั้งๆที่ผู้เสียหายมากที่สุดจะเป็นอเมริกาก็ตามที ...ซึ่งกับในบางประเทศก็อาจจะดูเป็นอะไรที่เล็กน้อย หากแต่หลังจากนั้นแล้วมันก็ก่อให้เกิดมาตรการที่ห้ามประมาทกันเป็นอันขาดในทุกๆที่ ทุกๆเมืองทั่วโลก
ที่ผมเอาวันนี้ เมื่อ 6 ปีที่แล้ว มาพูดถึงในวันนี้ ไม่ได้ต้องการจะมาวิเคราะห์ถึงความเป็นมาเป็นไป ชำแหละชี้ชัดทุกแง่มุมที่เป็นตัวแปรให้เกิดเรื่องร้ายๆอย่างนี้ขึ้นแต่อย่างใด ...หากแต่ผมสนใจที่จะเอามาพูดในแง่ของ "เรื่องจริงผ่านจอ{หนัง}" ทั้งที่เป็นเรื่องราวก่อนหน้าวันนั้น หรือจะหลังจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ...
หนังที่ว่ากันด้วยเรื่องของการก่ออาชญากรรม ทางวินาศกรรม มีให้เราเห็นกันมาได้นานหลายปีดีดักแล้ว ...วินาศกรรมหลายๆครั้งในหนังอาจจะเป็น เหตุที่เกิดขึ้นมาจากภัยธรรมชาติ (เช่น Twister , Volcano , Deep Impact) หรือ กระทั่งจากการรุกรานนอกโลกของต่างดาว (เช่น Independence Day , War of the Worlds) หากแต่ในอีกหลายครั้ง ก็ยังมีวินาศกรรมที่มาในรูปแบบที่กระทำขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์ ความชั่วที่เกิดมาจากอุดมคติของคนร้ายผู้หมายมุ่งจะทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นการประกาศชัยชนะ และการก่อวินาศกรรมเหล่านี้ ก็มักจะเลือกสถานที่ใดสถานที่หนึ่งอันมีความสำคัญบนโลกใบนี้ เป็นฉากหลังของการก่อความอำมหิตผิดมนุษย์
เราเคยได้เห็น ตึกดังๆ หลายแห่งในอเมริกา ต้องระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ...เราคุ้นๆกับภาพที่มีผู้ก่อการร้ายยิงขีปนาวุธ ใช้อาวุธเคมี วางระเบิด C-4 แม้กระทั่งยอมพลีชีพเพื่อแลกกันกับอุดมการณ์ที่ยึดมั่นถือมั่น ...แต่ในสุดท้ายท้ายที่สุดแล้ว แทบทุกๆเหตุการณ์ที่เห็นในหนังล้วนแล้วแต่จบลงด้วยความแฮปปี้ มีสันติภาพ ผู้เป็นพระเอกสามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างหมดจดเรียบร้อย (ซึ่งเป็นเรื่องตลก ที่โดยทั่วไปแล้วพระเอกคนนี้ มักจะมีสัญชาติเป็นอเมริกา แทบทุกผู้คน)
ด้วยความที่ฮอลลีวู้ดชอบสร้างภาพอันใหญ่โต กับการก่อวินาศสันตะโรโดยไม่สนไปถึงเหตุผลความจริงจังบนโลกความจริง... สิ่งที่เราได้เห็นในทุกๆหนังที่มีฉากเหล่านี้ ก็คือ ความแหลกละเอียดทำลายล้าง ระเบิดลูกโตๆ ห่ากระสุนหลายร้อยเม็ด และการทุ่มทุนสร้างนับเป็นหลักล้านเหรียญ เพื่อขายความสะใจ และหวังเงินจากคนดูจะได้เห็นมาเห็นความพินาศของสถานที่ๆคุ้นตากันอย่างจะๆ
แต่ใครจะไปคาดคิดว่า แฟชั่นสุดฮิตของเหล่าหนังวินาศสันตะโรนี้ จะได้มาเกิดขึ้นจริงในสถานที่จริง เครื่องบินจริงๆ ระเบิดจริงๆ มีการสูญเสียสูญสิ้นจริงๆ และการได้เห็นภาพอันคุ้นตาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวกันจริงๆ
จากที่เคยเห็นแล้วมันสะ...ใจ กลายเป็นความสะ...เทือนใจ เพียงชั่วพริบตาเดียว ในชั่ววินาทีสั้นๆ ที่เครื่องบินกำลังบดกับตึก แล้วเกิดการระเบิดตูมตาม เป็นภาพที่เหมือนน่าจะอัศจรรย์ หากแต่มันคือความจริง ที่ไม่ใช้เอฟเฟกต์ใดๆ
หลังจากวันนั้น เป็นต้นมา ก็ส่งผลให้โลกฮอลลีวู้ด ในชั่วระยะหนึ่ง ต้องหยุด ต้องเลิก การสร้างภาพอันน่ากลัวชวนติดตาเหล่านั้น เพียงเพื่อจะไม่ให้คนดูตาดำๆต้องกลับไปสะเทือนจริงในสิ่งที่เคยมองว่าสะใจ ...และในเวลาประมาณ 2-3 ปีต่อมา หลังจากที่คนอเมริกาสามารถทำใจกับภาพเหล่านั้นได้แล้ว ก็ถึงทีที่เทรนด์การสร้างหนังแนวใหม่ จะเกิดขึ้นตามจากผลพวงของเหตุการณ์ครั้งนี้
เรื่องแรก ที่ชี้ชัดว่าเป็นหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อรำลึกถึง 9/11 โดยเฉพาะ ก็คือ "Fahrenheit 9/11" ...หนังสารคดีของผู้กำกับจอมแฉ "ไมเคิล มัวร์" ที่ทำการล้วงแคะแกะเกาเบื้องลึกเบื้องหลังของรัฐบาล "จอร์จ ดับเบิลยู. บุช" ว่ามีส่วนสำคัญต่อการก่อให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ในฐานะของผู้ให้การอุดหนุนกลุ่มผู้ก่อการร้าย
ข้อมูลที่ผมได้รับมาจากล่อเป้าของ มัวร์ อยู่ในข่ายที่มีความน่าเชื่อถือ ...แม้บางอย่างอาจจะดูเหลือเชื่อ แต่การเป่าหูที่เขาทำกับผู้คนที่ได้ดูหนัง ก็ยากจะปฏิเสธได้ว่า ความเชื่อมโยงของมันจะเป็นไปไม่ได้ (แต่จะชี้ชัดว่า 100 เปอร์เซ็นต์ มันก็ดูจะเป็นการที่โปร ฟังหูไม่ไวหูจนเกินไป) หลังจากดูหนังสารคดีนี้จบ ผมเลือกฝั่งได้ทันถ่วงทีว่า ประธานาธิบดีคนนี้ คือ ผู้ก่อการร้ายที่ชั่วที่สุดในโลก
อีกเรื่องที่ไม่ได้โยงใยกับเหตุผลอะไรให้ยากยุ่ง หากแต่ก็มีความเป็นสารคดีอยู่ในตัวหนัง คืออีกหนึ่งหนังดรามาที่ทรงพลังที่สุดในรอบปี 2006 (ทั้งยังเป็นหนังที่ผมรักมากที่สุดในปีก่อนอีกด้วย) "United 93" ...เป็นเรื่องราวของเครื่องบิน ไฟลท์ 93 ลำหนึ่ง ที่โดนผู้ก่อการร้ายไฮแจ๊ค เพื่อจะขับไปยังเป้าหมายการก่อการร้ายอีกแห่งที่วางแผนไว้ นั่นคือ ทำเนียบขาว (The White House) หากแต่สุดท้ายแล้ว การร่วมมือร่วมใจของผู้คนโดยสารบนนั้น ก็ทำให้เครื่องบินไปไม่ถึงที่หมาย และตกลงพร้อมการดับชีวิตทุกๆคนที่อยู่ร่วมชะตากรรมช่วยแผ่นดินแม่เอาไว้ได้อย่างน่าเห็นใจ
ผู้กำกับ "พอล กรีนกลาส" สามารถนำเสนอความจริงให้กลายเป็นความจริงที่ดูแล้วเชื่อ เห็นแล้วอิน และสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับเราไปอยู่บนเครื่องลำนั้น ในเวลานั้นด้วย ...ขณะเดียวกันผู้ร้ายตัวจริงของหนัง อย่าง เจ้าหน้าที่ภาครัฐคนอเมริกาด้วยกันเองที่ทำอะไรก็ต้องอยู่ในอุดมคติ ก็กลายเป็นคนที่อำมหิตยิ่งไปกว่าผู้ก่อการร้ายที่ทำเพื่ออุดมการณ์เสียอีก
"United 93" น่าจะถือเป็นหนัง 9/11 เรื่องเดียว ที่คนสร้างไม่ได้มีการโปรอเมริกาเลย ...แม้หนังจะเป็นการเชิดชูให้กับผู้สละชีพอย่างกลายๆ แต่ต่อให้ไม่ใช่คนอเมริกัน ก็ยังเป็นการกระทำที่น่านับถือกันอย่างมาก ยิ่งไปกว่าคนบางคนที่ไม่สนใจไยดี แล้วรังจะทิ้งคนชาติเดียวกันให้ตายทั้งเป็นเช่นนั้น
ในปีเดียวกันหลังจากนั้นไม่กี่เดือน อีกหนึ่งหนัง 9/11 ก็มีออกมา ทั้งยังเป็นหนังที่หาญกล้าจะทำให้คนได้ดูต้องหลอนกับภาพที่คุ้นตาอีกครั้ง เป็นผลงานการกำกับของ "โอลิเวอร์ สโตน" ที่ใช้ชื่อกันตรงๆว่า "World Trade Center"
ถึงแม้ว่าหน้าหนังในตอนแรก จะทำขึ้นมาเพื่อสนองใจให้คนดูได้กลับไปซึมซับความสะเทือนใจครั้งเลวร้ายอีกหน หากแต่สุดท้าย หนังกลับทำลำเป็น โปรอเมริกา กล่าวสดุดีว่า การไปสู้รบเพื่อล้างแค้นเป็นสิ่งที่สมควรทำที่สุด ...และนั่นจึงทำให้หนังดีๆต้องเสียท่า เพียงเพราะการเห็นด้วยสนับสนุนความคิดชั่วๆของ ปธน.บุช
นอกเหนือจากหนังที่ว่ากระทบกับเหตุการณ์วันนี้กันตรงๆแล้ว ก็ยังมีหนังเรื่องอื่นๆอีก ที่ไม่ได้มีโครงเรื่องเกิดในวันนี้ หากแต่เป็นเรื่องของผลกระทบทางความคิดและจิตใจของผู้คน ภายหลังจากวันมหาวินาศวันนี้ ยกตัวอย่าง "Crash" หนังออสการ์ม้ามืดของ พอล แฮกกิส ที่หลายคนมองว่า ไม่สมควรชนะหนังเกย์บนภูเขาเรื่องนั้น แต่ด้วยความที่เรื่องราวอยู่ใกล้ตัวบรรดาคณะกรรมการผู้มอบรางวัล ผมจึงคิดว่าไม่ผิดอะไรที่หนังเรื่องนี้ควรจะได้รางวัลไป และอีกอย่างหนังเรื่องนี้ก็ว่ากระทบเป็นลูกโซ่ทอดๆ ที่ทำให้เราเห็นภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่มีต่อการก่อการร้ายในครั้งนั้นได้อย่างน่าเชื่อ
ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ในปีนี้ เราก็ยังจะได้เห็นหนังอีกหลายเรื่อง ที่ว่ากระทบกันมาจากเหตุการณ์ในวันนี้ทั้งเพียงเล็กๆ และใหญ่ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของสงครามการล้างแค้น ที่อเมริกาส่งทหารหาญไปฆ่าตัวตายในดินแดนตะวันออกกลาง และโดยทั้งหมดของหนังจำพวกนี้ ก็ได้รับการหมายตาว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อความเข้มข้นของเวทีการมอบรางวัลในปลายปีนี้ ยันถึงออสการ์ ยกตัวอย่างที่น่าสนใจอย่าง หนังโรเบิร์ต เรดฟอร์ด "Lions for Lamb" , ผลงานกำกับเรื่องใหม่ ของ พอล แฮกกิส "The Valley of Elah"
และหลังจากนี้ไปแล้ว หนังเนื่องมาจากเหตุการณ์ 9/11 คงจะยังไม่จบลงง่ายๆ หมายความว่า ต่อไปเราจะต้องได้เห็นหนังที่ว่ากระทบกันตรงๆ หรืออ้อมๆอีกมากเรื่อง ...นี่ยังไม่รวมไปถึงหนังมหาวินาศกรรมทำลายล้างที่ได้คืนกลับมาสู่ระบบทำเงินอย่างเต็มตัวอีกครั้ง อย่างที่ล่าสุด เราก็เพิ่งได้เห็น The White House ระเบิดตูมใน Die Hard 4.0 กันมาจะๆ
ฮอลลีวู้ด ก็ยังเป็นฮอลลีวู้ดอยู่วันยังค่ำแหละครับ ...ถึงต่อให้มีการก่อวินาศกรรมที่ไหนขึ้นมาอีก ความบันเทิงก็จะถูกเข้ามาแทนที่ความสะเทือนใจ และอีกไม่นานกว่านั้น ความสะเทือนใจก็จะเปลี่ยนกลับไปเป็นความบันเทิงได้อีกเรื่อยๆ เป็นวัฏจักรที่ไม่มีวันจบวันสิ้น
"เรื่องจริงผ่าน{จอ}" ในคราวหน้า จะกลับมาในหัวข้อ "ภาวะโลกร้อน" ครับ...
Link ของหนังที่เกี่ยวข้อง...
"United 93" ... ลุ้นระทึกจนน้ำตาทะลัก //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=14-08-2006&group=2&gblog=7
"World Trade Center" ... บทเรียนราคาแพง ที่แลกได้กับ ความรักอันไม่สามารถประเมินค่า //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=05-10-2006&group=2&gblog=5
Create Date : 11 กันยายน 2550 |
|
10 comments |
Last Update : 11 กันยายน 2550 0:01:52 น. |
Counter : 4074 Pageviews. |
|
|
|
นอกจากผลกระทบเรื่องของเหตุการณ์ทางการเมือง การสู้รบ การแหกมติยูเอ็นของชาติที่คิดว่าตัวเองเป็นพ่อประเทศอื่นเขาไปทั่วโลกแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงและจะหยั่งรากลึกไปอีกยาวนานคือสภาพสังคมที่คนต้องหันมาระแวดระวังภัยที่อาจมาเยือนตัวเองอย่างไม่คาดฝัน รวมไปถึงคนมุสลิม คนอาหรับ คนเปอร์เซีย อีกหลายล้านคนที่ต้องถูกหลอกหลอนด้วยอคติที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพวก muslim-fundamentalists จำนวนไม่กี่คนที่สร้างภาพลักษณ์เลวทรามให้กับพวกเขา พร้อมกับคนอเมริกันที่พร้อมจะรับแนวคิดอคตินี้ใส่สมองโดยไม่ต้องคิดอะไร...
นอกจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้โดยตรงแล้ว ภาพยนตร์อีกนับร้อยนับพันเรื่องที่จะกำเนิดออกฉายสู่สายตาประชาคมโลกหลังจากนี้ คงหนีไม่พ้นที่จะสะท้อนสภาพสังคม และความเป็นไปของโลกหลังเหตุการณ์วิปโยคครั้งนั้นอย่างแน่นอน