บทที่4: ซูเราะฮฺ อัน-นิซาอฺ (An-Nisaa) โองการที่ 160-176
160. แล้วก็เนื่องด้วยความอธรรมจากบรรดาผู้ที่เป็นยิว เราจึงได้ให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขาซึ่งบรรดาสิ่งดี ๆ (*1*) ที่ได้ถูกอนุมัติแก่พวกเขามาแล้วและเนื่องด้วยการที่พวกเขาขัดขวางทางของอัล ลอฮฺอย่างมากมาย(*2*)ด้วย
(1) อันได้แก่สัตว์ที่มีเล็บทุกชนิด (2) หมายถึงไม่ยอมปฏิบัติตามบัญญัติของอัลลอฮฺ
161. และเนื่องด้วยการที่พวกเขาเอาดอกเบี้ยทั้ง ๆ ที่พวกเขาถูกห้ามในเรื่องนั้น และเนื่องด้วยการที่พวกเขากินทรัพย์ของผู้คนโดยไม่ชอบ และเราได้เตรียมไว้แล้ว สำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ
162. แต่ทว่าบรรดาผู้มั่นในความรู้ในหมู่พวกเขา(*1*) และบรรดาผุ้ที่ศรัทธานั้น(*2*) พวกเขาย่อมศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเจ้า และบรรดาผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และบรรดาผู้ชำระซะกาต และบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกชนเหล่านี้แหละเราจะให้แก่พวกเขาซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง
(1) คือหมู่ชาวยิวอันได้แก่ อับดุลลอฮ์ บินสะลาม และอุไซด์ บินสะอ์ยะฮ์ เป็นต้น (2) คืออุมัดของท่านนะบีมุฮัมมัด
163. แท้จริงเราได้มีโองการแก่เจ้า เช่นเดียวกับที่เราได้มีโองการแก่นูฮ์ และบรรดานะบีหลังจากเขา และเราได้มีโองการแก่อิบรอฮีมและอิสมาอีล และอิสฮาก และยะอ์กูบ และอัล-อัสบาฏ(*1*) และอีซา และอัยยูบ และยูนุส และฮารูน และ สุลัยมาน และเราได้ให้ ซุบูร์(*2*) แก่ดาวูด
(1) คือเผ่าพันธุ์ของท่านนะบียะอ์กูบ รวม 12 เผ่าด้วยกัน (2) ชื่อคัมภีร์
164. และมีบรรดาร่อซูล ซึ่งเราได้เล่าถึงพวกเขาแก่เจ้ามาก่อนแล้ว(*1*) และมีบรรดาร่อซูลซึ่งเรามิได้เล่าแก่เจ้าเกี่ยวกับพวกเขาและอัลลอฮฺได้ตรัส แก่มูซาจริงๆ (*2*)
(1) เช่นที่ระบุอยู่ในซูเราะ อัล-อันอาม (2) คือได้ตรัสแก่นะบีมูซา โดยตรง ไม่มีสื่อกลางใด ๆ
165. คือบรรดาร่อซูลในฐานะผู้แจ้งข่าวดี และในฐานะผู้ตักเตือน เพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีหลักฐานใด ๆ อ้างแก้ตัวแก่อัลลอฮฺได้ หลังจากบรรดาร่อซูลเหล่านั้น และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ
166. แต่ทว่าอัลลอฮฺนั้นทรงยืนยันในสิ่ง(*1*)ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่ เจ้า(*2*) ว่า พระองค์ได้ทรงประทานสิ่งนั้นมาด้วยความรู้ของพระองค์และมะลาอิกะฮ์ก็ยืนยัน ด้วย และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงยืนยัน
(1) คือ อัล-กุรอาน (2) คือท่านนะบีมุฮัมมัด
167. แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และขัดขวางทางของอัลลอฮฺนั้น แน่นอนพวกเขาได้หลงทางไปแล้วอย่างไกล
168. แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และอธรรมแก่ตัวเองนั้น ใช่ว่าอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาก็หาไม่ และก็ใช่ว่าพระองค์จะทรงแนะนำแก่พวกเขา ซึ่งทางหนีทางใดก็หาไม่
169. นอกจากทางแห่งนรกญะฮันนัม โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล และนั่นเป็นสิ่งง่ายดายแก่อัลลอฮฺเป็นสิทธิของอัลลอฮฺทั้งสิ้น และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
170. มนุษย์ชาติทั้งหลาย ! แท้จริงร่อซูลนั้น(*1*) ได้นำความจริงจากพระเจ้าของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าแล้ว จงศรัทธากันเถิด มันเป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา(*2*) แล้ว แท้จริงสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
(1) หมายถึงท่านนะบีมุฮัมมัด (2) (ก็ไม่เป็นการเดือดร้อนแก่อัลลอฮฺแต่อย่างใด) ดังกล่าวนี้เป็นข้อความที่ถูกละไว้
171. อะฮ์ลุลกิตาบทั้งหลาย (*1*) จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขต (*2*) ในศาสนาของพวกเจ้า และจงอย่ากล่าวเกี่ยวกับอัลลอฮฺ นอกจากสิ่งที่เป็นจริงเท่านั้น (*3*) แท้จริง อัล-มะซีฮ์ อีซาบุตรของมัรยัมนั้น เป็นเพียงร่อซูลของอัลลอฮฺ และเป็นเพียงดำรัสของพระองค์ที่ได้ทรงกล่าวมันแก่มัรยัม (*4*) และเป็นเพียงวิญญาณหนึ่งจากพระองค์ (*5*) เท่านั้น ดังนั้นจงศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์เถิด (*6*) และจงอย่ากล่าวว่าสามองค์เลย (*7*) จงหยุดยั้งเสียเถิด มันเป็นสิ่งดียิ่งแก่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺคือผู้ควรได้รับการเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากการที่จะทรงมีพระบุตร (*8*) สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิของพระองค์ทั้งสิ้น และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษา (*9*)
(1) หมายถึงทั้งพวกยิวและคริสต์ (2) คือขอบเขตที่ศาสนาได้กำหนดไว้ เช่น ทำการอิบาดะฮ์จนไม่มีเวลาประกอบอาชีพ เป็นต้น (3) เช่นพูดว่าพระองค์องค์เดียวเท่านั้นที่ควรได้รับการสักการะ ไม่มีภาคีใด ๆ แก่พระองค์ และพระองค์ไม่ทรงมีพระบุตร (4) คือทรงกล่าวแก่นางว่า “จงมีบุตรชายคนหนึ่ง” แล้วนางก็ตั้งครรภ์และคลอดมาเป็นชายได้ชื่อว่า อีซา ด้วยเหตุนี้ท่านนะบีอีซาจึงถือว่าเป็นดำรัสของพระองค์ (5) คือท่านนะบีอีซาเกิดขึ้นจากวิญญาณหนึ่งที่มาจากพระองค์โดยตรง มิใช่ผ่านชายใด ด้วยเหตุนี้ท่านนะบีอีซาจึงเกิดขึ้นโดยไม่มีบิดา (6) รวมถึงศรัทธาต่อท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ด้วย (7) คืออย่ากล่าวว่า อัลลอฮฺ แบ่งภาคออกเป็นสามองค์ คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต โดยที่แต่ละองค์เป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็เป็นพระเจ้าองค์เดียว ดังกล่าวนี้เป็นความเข้าใจผิดของคริสต์ชน (8) คือทรงบริสุทธิ์เกินกว่าที่จะถือเอานะบีอีซา เป็นพระบุตรของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทราบต้องพึ่งพาอาศัยใครซึ่งแตกต่างกับมนุษย์ที่จำต้องมีบุตร ที่จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่ยามชรา (9) คือทำหน้าที่คุ้มครองรักษากิจการงานต่าง ๆ ของพวกเขา
172. อัล-มะซีห์นั้นจะไม่หยิ่งเป็นอันขาดที่จะเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ(*1*) และมลาอิกะฮ์ผู้ใกล้ชิด (พระองค์) ก็ไม่หยิ่งด้วย และผู้ใดหยิ่งต่อการที่อิบาดะฮ์(*2*) ต่อพระองค์ และยะโสแล้ว พระองค์ก็จะทรงชุมนุมพวกเขาไว้ยังพระองค์ทั้งหมด(*3*)
(1) เพราะอัล-มะซีห์ อีซา รู้ดีว่าตนเป็นบ่าวของพระองค์ มิใช่เป็นพระเจ้าหรือพระบุตร ดังที่พวกคริสต์เข้าใจ ดังกล่าวนี้เป็นการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่านะบีอีซานั้น เป็นปุถุชนคนหนึ่งที่เป็นร่อซูล ของอัลลอฮฺเท่านั้น (2) คือหยิ่งต่อการที่จะปฏิบัติในสิ่งที่แสดงถึงการเป็นบ่าวของพระองค์ (3) คือไม่มีใครที่สามารถหลบหลีกไปได้ ทั้งนี้เพื่อที่พระองค์จะได้ทำการลงโทษพวกเขาให้สามสมกับความยะโสของพวกเขา
173. ส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธา และประกอบสิ่งที่ดีงามทั้งหลายนั้น พระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาโดยครบถ้วน ซึ่งรางวัลของพวกเขา และจะทรงเพิ่มให้แก่พวกเขาด้วย(*1*) จากความกรุณาของพระองค์ และส่วนบรรดาผู้ที่หยิ่งยะโสนั้น พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา ซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ และพวกเขาจะไม่พบผู้คุ้มครอง และผู้ช่วยเหลือใด สำหรับพวกเขาอื่นจากอัลลอฮฺ
(1) คือนอกเหนือจากรางวัลที่พวกเขาพึงได้รับตามผลงานของเขา ทั้งนี้เป็นความกรุณาจากพระองค์
174. มนุษยชาติทั้งหลาย! แน่นอนได้มีหลักฐาน(*1*) จากพระเจ้าของพวกเจ้ามรยังพวกเจ้าแล้ว และเราได้ให้แสงสว่าง(*2*) อันแจ่มแจ้งลงมาแก่พวกเจ้าด้วย
(1) หมายถึงท่านนะบีมูฮัมมัด ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม (2) หมายถึง อัล-กุรอาน
175. ส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และยึดมั่นในพระองค์นั้น พระองค์จะทรงให้พวกเขาเข้าอยู่ในความเอ็นดูเมตตา และความโปรดปรานจากพระองค์ และจะทรงแนะนำพวกเขาซึ่งทางอันเที่ยงตรงไปสู่พระองค์
176. เขาเหล่านั้นจะขอให้เจ้าชี้ขาดปัญหา(*1*) จงกล่าวเถิดว่า อัลลอฮฺ จะทรงชี้ขาดให้แก่พวกเจ้าในเรื่องของผู้เสียชีวิตที่มีมีบิดาและบุตร คือถ้าชายคนหนึ่งตาย โดยที่เขาไม่มีบุตรแต่มีพี่สาวหรือน้องสาวคนหนึ่งแล้ว นางจะได้รับครึ่งหนึ่งของมรดกที่เขาได้ทิ้งไว้ และขณะเดียวกันเขาก็จะได้รับมรดาของนาง(*2*) หากนางไม่มีบุตร แต่ถ้าปรากฏว่าพี่สาวหรือน้องสาวของเขามีด้วยกันสองคน ทั้งสองนั้นจะได้รับสองในสามจากมรดกที่เขาได้ทั้งไว้ แต่ถ้าพวกเขาเป็นพี่น้องหลายคนทั้งชายและหญิง สำหรับชายจะได้รับเท่ากับส่วนได้ของหญิงสองคน(*3*) ที่อัลลอฮฺทรงแจกแจงแก่พวกเจ้านั้น เนื่องจากการที่พวกเจ้าหลงฟิด(*4*)และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่ง ทุกอย่าง
(1) คือปัญหามรดกของผู้ที่เสียชีวิตโดยไม่มีบิดาและบุตร (2) คือได้รับสองเท่าของหญิง หรือชายได้รับสองส่วน หญิงได้รับหนึ่งส่วน (3) กล่าวคือ เมื่ออัลลอฮฺทรงแจ้งให้พวกเจ้าทราบแล้ว แน่นอนพวกเจ้าก็ย่อมไม่หลงผิด อนึ่งคำว่า “อันตะฎิลลู” นั้นตกในตำแหน่ง “มัฟอูลิอัจญลิฮ์”
Create Date : 02 กรกฎาคม 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2552 22:02:23 น. |
Counter : 932 Pageviews. |
|
|
|