|
เลห์แมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) คือใคร....ทำไมถึงล้มละลาย...
วันที่ 15กันยายน 2551 จะเป็นวันที่ทั้งโลกเศรษฐกิจต้องจารึกไว้ว่า เป็นวันที่บริษัททางการเงินขนาดยักษ์อันดับต้นๆ ของโลกที่มีนามว่า กลุ่มบริษัท เลห์แมนบราเธอร์ส จำกัด (Lehman Brothers) ต้องประกาศขอเข้าฟื้นฟูกิจการภายใต้มาตรา 11 ของกฎหมายการเงินสหรัฐอเมริกา ที่อนุญาตให้บริษัทที่มีปัญหาทางการเงิน ประกาศขอล้มละลาย และต้องการฟื้นฟูกิจการด้วยตนเอง นับเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาหนี้เสียในสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้กับลูกค้าที่มีปัญหาความไม่น่าเชื่อถือ หรือไม่มีเครดิต (ปัญหา Sub-Prime Lending)
เลห์แมนบราเธอร์ส (Lehman Brothers) มีจุดกำเนิดเมื่อ 158 ปีที่แล้ว โดยเริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวที่เป็นนายหน้าซื้อขายสินค้าเกษตร แล้วพัฒนาตัวเองต่อมาจนเป็นนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า, กลุ่มเลห์แมนบราเธอร์สมีธนาคารและสถาบันการเงินประเภทต่างๆ เป็นของตนเอง, เป็นกลุ่มสถาบันการเงินที่เป็นนายหน้ารายหลักของการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน (Primary Dealer in the US Treasury Securities Market), เป็นบริษัทที่มีการลงทุนทั่วโลกทั้งในตลาดเงิน และตลาดทุน เป็นทั้งบริษัทเงินทุน, บริษัทหลักทรัพย์ และเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก,
เป็นนายหน้ารายใหญ่ในตลาดอนุพันธ์ (Future Markets) ในตลาดการเงินต่างๆ ทั่วทั้งโลก, เป็น Investment Banker รายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก และเป็นเจ้าของบริษัทบัตรเครดิตที่มีจำนวนผู้ใช้มากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา นั่นคือบัตร American Express มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ค และมีสาขาอยู่ในตลาดการเงินใหญ่ๆ ทั่วโลก ทั้งที่ลอนดอน, โตเกียว และเป็นผู้เข้ามาประมูลรับช่วงเข้าไปบริหารจัดการหนี้เสียของระบบสถาบันการเงินของประเทศ ในช่วงวิกฤตการณ์เศรษฐกิจการเงินปี พ.ศ. 2540 (แม้ว่าปัจจุบันผู้บริหารหลายคนยังคงมีคดีค้างอยู่กับองค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.))
จากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทเลห์แมนบราเธอร์ส มีขนาดทางธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ (Market Cap.)ประมาณ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.5 หมื่นล้านบาท) มีรายรับต่อปีอยู่ที่ 59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) ในปี 2550 และมีประมาณการรายได้สุทธิของปี 2550 อยู่ที่ 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.278 แสนล้านบาท) สินทรัพย์ของบริษัท ณ สิ้นปี 2550 อยู่ที่ 691 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 23.5 ล้านล้านบาท) มีพนักงานทั่วโลกมากกว่า 26,000 คน และเคยฟันฝ่าวิกฤตการณ์ต่างๆ มาได้ตลอดทั้ง 150 กว่าปีของการดำเนินงานที่ผ่านมา
แต่ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวถึงกิตติคุณในอดีตที่ผ่านมาก็ต้องมาล้มละลายลง เมื่อหนึ่งในบริษัทลูกที่มีนามว่า BNC Mortgage ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ปล่อยกู้ให้กับลูกค้าที่มีปัญหาด้านเครดิต (Sub-prime lending) ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะบ้านและที่ดิน เกิดปัญหาหนี้เสียครั้งมโหฬาร และต้องปิดตัวลงในปี 2550 โดยการปิดตัวนี้ทำให้บริษัทขาดทุนถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และทำให้มูลค่าของชื่อเสียงของบริษัท (Goodwill) เสียหายคิดเป็นมูลค่าถึง 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และความเสียหายนี้ยังคงลุกลามต่อเนื่องไปจนถึงบริษัทแม่ ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 กลุ่มบริษัทเลห์แมนบราเธอร์สมียอดขาดทุนถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์ และทำให้บริษัทต้องขายสินทรัพย์ออกไปถึง 6 พันล้านดอลลาร์ หุ้นของบริษัทมีมูลค่าลดลงถึงร้อยละ 73 และมีแนวโน้มจะลดลงต่อไปเรื่อยๆ จนในวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมาบริษัทประกาศการขาดทุนเพิ่มอีก 3.9 พันล้านดอลลาร์ และทำให้หุ้นของบริษัทดิ่งลงอีกร้อยละ 40
และแล้ววันสิ้นสุดก็มาถึงเมื่อบริษัทต้องขอความคุ้มครองตาม มาตรา 11 ของกฎหมายการเงินสหรัฐอเมริกา ที่อนุญาตให้บริษัทที่มีปัญหาทางการเงิน ประกาศขอล้มละลาย และต้องการฟื้นฟูกิจการด้วยตนเอง
และจากการล่มสลายของ Lehman Brothers ยังส่งผลทำให้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอีก 2 แห่ง อันได้แก่ Merrill Lynch และ American International Group (AIG) มีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทางธุรกิจที่รุนแรง และยังจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไปถึงบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอีกเป็นวงกว้าง และนักการเงินส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าปัญหาที่คงจะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจแท้จริงของสหรัฐอย่างรุนแรง รวมทั้งยังจะส่งผลต่อระบบการเงินในระดับโลกอย่างแน่นอน
Hamburger Crisis เกิดขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว และเมื่อสหรัฐเจ็บป่วย โลกร้ายก็จะแพร่ไปทั่วโลกอย่างแน่นอน
คราวนี้มาดูผลต่อเศรษฐกิจไทยกันบ้าง ดร.บัณฑิต นิจถาวร จากธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่าประเทศไทยคงจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่คงไม่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงนัก เนื่องจากระบบสถาบันการเงินของประเทศไทยมีความเกี่ยวข้องไม่มากนักต่อระบบตลาดการเงินโลก จำนวนธุรกรรมโดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในตลาดล่วงหน้า และตลาดอนุพันธ์ (Future and Derivative Markets) ของประเทศไทยยังมีไม่มากนัก นอกจากนี้แล้วจากประสบการณ์เลวร้ายในวิกฤตทางการเงินในปี 2540 ที่ผ่านมายังทำให้ระบบสถาบันการเงินในประเทศไทยยังคงมีความระมัดระวังตัวในระดับที่สูง ไม่กล้าที่จะทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูงจนเกินไปนัก
ระบบทุนนิยมเสรีของสหรัฐอเมริกา ที่เน้นหลักการบริโภคนิยมเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักศีลธรรมจรรยาคือปัญหาหลักที่ทำให้อเมริกาต้องมีปัญหาอย่างทุกวันนี้ หรือแม้แต่การบริโภคทรัพยากรโลกจนทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างในทุกวันนี้ ก็เกิดจากการบริโภคอย่างไม่มีปัญญาพิจารณา
ในตลาดการเงินภายใต้ระบบทุนนิยมเสรีที่ปล่อยให้ทุกคนในระบบแข่งขันกันให้ถึงที่สุดโดยไม่ได้คำนึงถึงหลักธรรมที่สำคัญ 2 ประการนั่นคือ ปัญญา และ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เช่นในกรณีของ Lehman Brothers ปัญหาเกิดจากการเก็งกำไรในตลาดอนุพันธ์ ที่เมื่อขาดสภาพคล่องเนื่องจากปัญหาการปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่ไม่มีคุณภาพ เมื่อตลาดอยู่ในขาลง การขาดสภาพคล่อง ขาดเงินหมุนเวียนก็ทำให้บริษัทถึงจุดจบ
ตลาดตราสารอนุพันธ์ (Derivative Markets)โดยเฉพาะในตลาด Future ที่ Lehman Brothers เป็นดีลเลอร์ใหญ่นั้น เกิดขึ้นในโลกการเงินโดยความหวังดีที่จะมีการสร้างตราสารหรือเครื่องมือทางการเงินที่เป็นมาตรฐาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในการค้าสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากอุปทานหรือผลผลิตขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน นอกจากนั้นการที่ไม่รู้ราคาล่วงหน้ามักจะทำให้เกษตรกรประสบปัญหาสินค้าล้นตลาด สลับกับขาดตลาดอยู่เสมอ เช่น ในปีที่สินค้าเกษตรราคาสูง เกษตรกรมักจะลงทุนปลูกพืชเป็นจำนวนมาก ทำให้ในฤดูกาลถัดมาเกิดปัญหาสินค้าล้นตลาด ทำให้ราคาตก เมื่อเป็นเช่นนี้ในปีการผลิตหน้าเกษตรกรก็จะลดการลงทุนเพาะปลูกลง ทำให้ในฤดูเก็บเกี่ยวถัดไปเกิดปัญหาสินค้าขาดตลาด เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้
ตลาดซื้อขายล่วงหน้า, ตลาดอนุพันธ์ ตราสาร เช่น Future จึงเกิดขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงให้กับทั้งเกษตรกร และผู้ที่ต้องการซื้อผลผลิต Lehman Brothers ก็เจริญเติบโตมากับธุรกิจเช่นนี้ และเมื่อเวลาผ่านไปตราสารเหล่านี้ก็ถูกพัฒนาจากตลาดสินค้าเกษตร เข้าสู่ตลาดการเงิน และเมื่อนักลงทุน นักธุรกิจเหล่านี้เกิดความละโมภ ไม่รู้จักประมาณตนเอง ไม่รู้จักว่าทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา การลงทุนแต่พอดี การลงทุนโดยใช้ปัญญา (ความฉลาดประกอบกับคุณธรรม) ลงทุนในตราสารเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยง ก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นการเก็งกำไร ใช้ตลาดการเงินเช่นนี้เป็นเหมือนการพนันที่เมื่อราคาสินค้าแพงขึ้นก็ได้สตางค์ เมื่อราคาสินค้าลดลงก็ได้สตางค์ ไม่ได้ทำเพื่อลดความเสี่ยง แต่กลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงจากการเก็งกำไร
ในอีกทางหนึ่ง เงินตราที่ได้มาก็เอาไปปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นลูกหนี้ที่มีเครดิตต่ำ (Sub-prime lending) ซึ่งลูกหนี้เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะชักดาบสูง การปล่อยกู้โดยประมาท ไม่รู้จักความพอดี ไม่รู้จักทางสายกลาง ไม่ใช้ปัญญาในการพิจารณาอย่างรอบคอบ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ขาลง ลูกหนี้ชักดาบ บริษัทขากสภาพคล่อง (ขาดเงิน) ก็ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทำให้อีกด้านที่เก็งกำไรไว้ เกิดปัญหาตามมา และทำให้บริษัทถึงกับล้มละลายในที่สุด
เมื่อเห็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ที่เคยประกาศว่าตนบริหารโดยยึดหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ต้องพบกับจุดจบเช่นนี้ เพียงเพราะไม่รู้จักหลักธรรมเพียง 2 ข้อ ทางสายกลาง คือการรู้จักประมาณตนเอง รู้จักความพอดี เมื่อทางสายกลางมารวมกับปัญญาจะทำให้เราพิจารณาได้ว่า ทางสายกลางไม่ได้แปลว่า ระหว่างกินเหล้า 10 แก้วในหนึ่งวัน กับไม่กินเหล้าเลย (0 แก้วต่อวัน) ทางสายกลางที่ใช่ปัญญาจะบอกเราว่า ตรงกลางไม่ใช่กินเหล้า 5 แก้วต่อวัน แต่ต้องไม่กินเลยซักแก้ว เพราะสุราเป็นอบายมุขประเภทหนึ่ง ทางสายกลางไม่ใช่อยู่ตรงกลางระหว่างความดี ความชั่ว แต่ทางสายกลางต้องประกอบด้วยปัญญา แล้วเลือกความดี การเมืองใหม่ก็เช่นเดียวกัน ต้องเป็นการเมืองที่ประกอบด้วยปัญญา เมื่อมีการเมืองใหม่ ระหว่างทรราชโกงชาติเป็นพันเป็นหมื่นล้าน กับไม่โกง ทางสายกลาง ยืนอยู่ตรงกลางไม่ใช่โกงแบบกลางๆ แต่ต้องไม่โกง ต้องเป็นการเมืองที่อยู่บนหลักศีลธรรม
เศรษฐกิจใหม่ที่จะอยู่คู่กับการเมืองใหม่ก็ต้องเป็นเศรษฐกิจอุดมปัญญาด้วยเช่นกัน ดังนั้นกิจกรรมทางการเงิน เช่น การเก็งกำไร การไม่รู้จักความความดี การปล่อยเงินกู้โดยไม่มีเหตุผล เช่น กู้เงินไปเพื่อการบริโภคแบบเดี่ยวกับ Personal Loan, Quick Cash, Easy Money ที่คนกู้เงินไปโดยไม่ได้ไปลงทุน ทำกิจการที่จะสร้างรายได้ให้งอกเงย แต่เป็นการกู้เงินไปซื้อเหล้า ซื้อรถจักรยานยนต์ การปล่อยกู้เช่นนี้ ต้องไม่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจใหม่ การกู้เงินต้องมี แต่ต้องเป็นการปล่อยกู้ให้กับผู้ที่ต้องการเงินไปลงทุนในกิจการที่ถูกต้องเหมาะสมกับสังคมไทย เกิดการผลิต เกิดการสร้างรายได้ เกิดความดีงามในสังคม เราต้องปล่อยกู้ให้กับกิจการเหล่านี้ ต้องพิจารณาให้รอบคอบ โดยใช้ปัญญา
เครื่องมือทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นในตลาดหลักทรัพย์, ตลาดพันธบัตร, ตลาดอนุพันธ์, ตลาดซื้อขายล่วงหน้า, ตลาดเงินตราต่างประเทศ, และอื่นๆ ต้องเกิดขึ้น เพื่อเป็นตลาดรอง เพื่อการลงทุน และเพื่อการกระจายความเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยง ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร หรือเพื่อเล่นการพนัน ไม่ใช่เปิดตลาดการเงินโดยไม่ดูความพร้อมของประเทศ, ไม่ใช่เอารัฐวิสาหกิจที่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม มาแปลงเป็นหุ้นเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับคนแค่บางกลุ่ม
ศตวรรษที่ 21 คงจะเป็นศตวรรษของเอเซีย โลกเศรษฐกิจที่นำโดยจีนและญี่ปุ่น แล้วไทยล่ะ จะยืนอยู่ที่ไหน จะตามกลุ่มผู้นำใหม่ทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ ถ้าจะตามให้ได้ผมขอเสนอให้ไทยต้องมีลักษณะเป็นตัวของตัวเอง ต้องสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ที่ใฝ่ดี มีปัญญาและต้องคู่กับเศรษฐกิจระบบใหม่ ที่อุดมปัญญาด้วยเช่นกัน
และเศรษฐกิจระบบใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่คนไทยไม่รู้จัก พ่อหลวงของเราได้แสดงให้เห็นไว้นานแล้ว ระบบเศรษฐกิจที่เป็นไปตามหลักสันโดษ (พอใจในสิ่งที่มี ที่ได้) เศรษฐกิจที่อุดมปัญญา (รู้จักพิจารณาสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง ด้วยความฉลาด และด้วยศีลธรรมที่ดี) ระบบเศรษฐกิจที่เป็นไปตามแนวทางของเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พ่อหลวงของเราพยายามอธิบาย พยายามแสดงให้เห็เป็นตัวอย่างมานานแล้ว
และเราเรียกแนวคิดที่สุขสมบูรณ์นี้ว่า เศรษฐกิจพอเพียง คำถามที่สำคัญคือ เมื่อเราจะสร้างการเมืองใหม่กันแล้ว ระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่เดินตามรอยเท้าพ่อ เศรษฐกิจพอเพียง ถึงเวลาที่เราจะนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังแล้วหรือยัง
ที่มา อาจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม
|
|
|
|
|
|
Create Date : 17 กันยายน 2551 |
Last Update : 17 กันยายน 2551 0:02:28 น. |
|
14 comments
|
Counter : 17734 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Tang_Siri วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:0:54:39 น. |
|
|
|
โดย: YUCCA วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:1:18:30 น. |
|
|
|
โดย: CrackyDong วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:4:05:46 น. |
|
|
|
โดย: kanapad วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:7:01:20 น. |
|
|
|
โดย: SiDaO IP: 58.181.138.50 วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:12:21:58 น. |
|
|
|
โดย: travelaround (travelaround ) วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:12:43:39 น. |
|
|
|
โดย: หนูนา IP: 58.9.100.60 วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:15:41:08 น. |
|
|
|
โดย: econ IP: 117.47.13.166 วันที่: 19 กันยายน 2551 เวลา:20:41:09 น. |
|
|
|
โดย: ปอม IP: 58.8.147.33 วันที่: 1 ตุลาคม 2551 เวลา:6:12:17 น. |
|
|
|
โดย: oui IP: 124.120.12.158 วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:21:06:16 น. |
|
|
|
โดย: omg IP: 222.123.158.190 วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:16:24:56 น. |
|
|
|
โดย: Yossawat CH. IP: 171.96.167.42 วันที่: 17 มีนาคม 2558 เวลา:12:28:17 น. |
|
|
|
|
|
|
ภาพถ่ายดาวเทียมด้านอุตุนิยมวิทยา
ภาพสดๆจากที่ต่างๆทั่วมุมโลก
Ban Na Song BKK, Thailand
Karon Beach , Phuket , Thailand
Federal Highway, Angkasapuri ,Pantai Valley , Malaysia
Delta Estate , Singapore
Malate ,Manila , Philippines
Bandar Seri Begawan , Brunei
Guangxi Guilin, China
달빛무지개분수(Banpo Bridge Fountain )Sin’gilsa-dong , Seoul , South Korea
Hong Kong skyline from Admiralty, China
Shiomidai , Kanagawa , Japan
Cable Beach, Broome, Western Australia, Australia
Keahua Hawaii , USA
Sacramento California, USA
Washington D.C., USA
Manhattan , New York , USA
McCulloch Kelowna, Canada
Niagara Falls , Ontario , Canada
Panama Canal , Bella Vista , Panama
Santiago de Chile , Región Metropolitana , Chile
Fairbanks, Alaska Forecast Arctic
Mar del Plata Buenos Aires , Argentina
Tasiilaq , Østgrønland , Greenland
London Skyline from the Sheraton Park Tower , Knightsbridge , United Kingdom
Trafalgar Square , London , United Kingdom
Eiffel Tower Paris, France
Harstad Nordland , Norway
Halsum , Svalbarð , Iceland
Amsterdam , Netherlands
Vatican City State, Saint Peter's Basilica Borgo , Italy
Berlin, Germany
Чебоксарский залив, Yakimovo, Chuvashia , Russia
Udaipur Lake Pichola , Rājasthān , India
Mount Everest , Junbesi , Sagarmāthā , Nepal
Cape Town Sanddrift, South Africa
Orpen , Richmond , South Africa
Abū Hayl Dubai , United Arab Emirates
Kairo, Egypt
Medhufushi, Maldives
Mawson station Antarctica
|
|
|
|
|
|
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ 2539
หากผู้ใดคิดจะ ลอกเลียน หรือนำส่วนใดส่วนหนื่ง
ของข้อความใน Blog แห่งนี้ไปเผยแพร่
ให้นำไปได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาต จขบ.
แต่ต้องคัดลอกแจกจ่ายให้ครบ 50 ก็อปปี้
ไม่เช่นนั้น จะมีอันเป็นไป ต่างๆนานา ถึงขั้นชีวิตตกอับ
อิอิ
หากแต่ว่า..นำชื่อ จขบ. ไปใช้ในทางเสียหายหรือประจาน
จะถูกดำเนินคดี ตามที่ กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด นะจ๊ะ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| | |