Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
3 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
อียิปต์..........การเที่ยวต่างประเทศแบบประหยัดที่ซู๊ด [ท่องเที่ยว] [วิทยาศาสตร์]



เคยได้คุยกับคนที่ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆที่เขาไปเที่ยวมา

หลายๆครั้งที่เขามาเล่ากันสนุก...พร้อมกับโชว์รูปถ่ายที่ไปเที่ยวกันมา

ทำให้ผมอ้าปากค้าง....เหอๆๆ...

แบบนี้มาเล่าให้ตรูอิจฉาเล่นป่าวฟระ....แงๆๆๆ

ทำไงได้...ก็เรามันดันเจือกไม่ได้เที่ยวแบบเขานี่นา...เหมือนกับหลายๆคนที่นั่งฟังเขาเล่า

ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม....

ทั้งไม่มีเวลา..ติดงาน...ติดแฟน..แม่ป่วย..ไม่มีโอกาส....จะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่108ประการ..

แต่สำหรับผมแล้วคือ...ไม่มีตังค์คับ !!! ตรึงงงงงงง!!


ตายล่ะหวา....ไม่ได้การ..

เลยมาคิดว่า...ทีนี้ถ้าเราจะคุยกับคนที่ไปเที่ยวไหนต่อไหนมา...จะคุยยังไงกับเขาให้สนุก..ดี

พอเข้ามานั่งในห้อง...เลยปิ๊งๆๆไอเดียได้บางอย่าง...

คือเราต้องไปเที่ยวแบบเขาบ้าง.....แต่เที่ยวแบบเสมือนจริงนะ...

จะยังไงซะอีกล่ะ...ถ้าอยากรู้ตามมาครับ...

ผมจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวด้วยกัน...และเป็นการเที่ยวที่ประหยัดที่ซู๊ดด้วยคับ...อิอิ




สิ่งนึงที่เราจะคุยกับเขาให้สนุกคือ...เราต้องหาข้อมูลให้แน่นกว่าคนที่เราจะคุยด้วย..

ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม...ทั้งภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ รวมทั้งข้อมูลลึกๆอีก

อย่างที่ผมจะพาไปเที่ยวครั้งนี้....ยกตัวอย่างเป็น ปิรามิด Giza ประเทศอียิปต์ แล้วกัน

เพราะมีข้อมูลที่เกี่ยวกับด้าน คณิตศาตร์ และ ดาราศาสตร์ เข้ามาเสริมอีกด้วย...

เอาให้รู้กันไป...เวลาเขาคุยอะไร..เราจะได้พอกล้อมแกล้มไปกับเขาได้ อิอิอิ





ก่อนอื่นเลย...เราต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรม Google Earth จาก //earth.google.com/ ก่อนครับ

แล้วพอเราลงโปรแกรมเสร็จ...ก็เหมือนเราได้ตั๋วทัวร์รอบโลกได้แล้วคับ...


ขั้นตอนแรก..เราต้องรู้ที่อยู่ปลายทางก่อน..ว่าที่ๆเราจะเที่ยวน่ะอยุ่ตรงไหนของโลก

ถ้าไม่รู้ ก็พิมพ์ชื่อที่เราจะไปลงในช่องSearch ของกูเกิลเอิร์ทเลย...

เพราะเดี๋ยวพี่เขาพาเราไปเอง....อุอุ

แต่ผมไปหามา...จึงรู้ว่า ปิรามิด Giza เนี่ย อยู่ที่เมือง ไคโร ประเทศ อียิปต์ครับ


ไปกันเลย...!!!





















































แฮ่ๆๆ...เห็นมั๊ยคับ...แค่แว๊บเดียว เราก็มาถึงเมืองไคโร และ ปิรามิด ก็มาอยู่ตรงหน้าเรา อิอิ

ไวดีจริงๆๆ


ทีนี้...เพื่อความสนุก เราต้องอ่านความหมายที่แถบข้างล่าง(สีเทาๆ)รู้เรื่องด้วยนะคับ

อย่างตรง Pointer

ตัวเลข ชุดแรก หมายถึงตำแหน่งของเส้น ละติจูด ครับ
ส่วนอีกชุดนึง ต่อมา หมายถึงตำแหน่งของเส้น ลองติจูด ของโลกเราครับ

ต่อมา...ที่เขียนว่า Ele มาจากคำว่า Elevition
หมายถึง...ตำแหน่งนี้ สูงกว่าระดับน้ำทะเล...(เมตร)

และสุดท้ายของแถบ...eye
หมายถึง ...ความสูงของระยะกล้องที่อยู่สูงจากผืนดิน...(หน่วยเป็นเมตรหรือ กิโลเมตร) คับ




พอเราได้ตำแหน่งแล้ว..ก็ลองเปลี่ยนเป็นมุมมองสามมิติ...

เพื่อจะเห็นความสูงและมอมมุมมองได้รอบๆ ได้ด้วยคับ

ตามในรูปค๊าบ




























จากที่เราดูรูปท๊อปวิวแล้ว....เราจะเห็นจุดสีฟ้าๆ..

คือรูปคนที่เขาไปถ่ายรูปมา...แล้วมาแปะไว้ใน กูเกิลเอิร์ท ถ้าเราคลิกดูก็จได้รูปภาพมาครับ


และถ้าเราไปค้นหาข้อมูลมาเพิ่ม...จะทำให้เราดูรูปและเข้าใจยิ่งขึ้นอีก..

ลองดูกันนะครับ





ปิรามิดแห่งเมืองกิซา ประเทศอียิปต์ ตั้งอยู่ห่างจากกรุงไคโรเมืองหลวงของอียิปต์ไปทางทิศใต้ประมาณ 2-3 กิโลเมตร กลางทะเลทรายทางตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ปิรามิดแห่งเมืองกิซา จะมีอยู่ 3 องค์ คือ ปิรามิดซีเฟรน ปิรามิดไมเซอนิรุส และ ปิรามิดคีออปส์

ปิรามิดคีออปส์ เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุด เรียกว่า มหาปิรามิดสันนิษฐานว่า สร้างโดยพระเจ้าคีออปส์ หรือ พระเจ้ากูฟู ปิรามิดนี้สร้างด้วยหินยักษ์รวมกันประมาณ 2,500,000 ก้อน มีน้ำหนักตั้งแต่ 2 ตันถึง 15 ตัน ส่วนสูงเดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ถูกกัดกร่อนพังลงเหลือ 450 ฟุต พื้นที่ทั้งหมดกว้าง 13.1 เอเคอร์ หรือ ประมาณ 20 ไร่ ฐานกว้าง 768 ฟุต รูปตรงเป็นกรวยสี่เหลี่ยมคว่ำใช้แรงงานไม่น้อยกว่า 100,000 คน ก่อสร้างนานถึง 10 ปี ปิรามิดองค์นี้สร้างเพื่อบรรจุศพของพระเจ้าคีออปส์ จัดอยู่ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก




อ้อๆๆๆ...ลืมๆๆไปคับ..
ถ้าจะให้ได้บรรยากาศ...ก็ใส่เพลงเพิ่มไปอีกหน่อย...



nay-masriaat.mp3






ส่วนที่หน้าปิรามิดองค์กลางคือ ปิรามิดพระเจ้าซีเฟรน มีสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์คือ สฟิงซ์


สฟิงซ์ เป็นสัตว์ประหลาดอยู่ในทะเลอียิปต์ เป็นรูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ใบหน้าเป็นคน ตัวจะเป็นสิงโตสลักด้วยหินก้อนใหญ่ อยู่ในท่าหมอบเฝ้าปิรามิด มีขนาดสูงประมาณ 66 ฟุต ยาวประมาณ 240 ฟุต พระเจ้าซีเฟรนสร้างขึ้น อายุประมาณ 6,000 ปี





พวกอียิปต์โบราณมีอายุประมาณ 3,200 – 1,055 B.C. อารยธรรมอียิปต์โบราณมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอารยธรรมไอยคุปต์ โดยในระยะแรกอาณาจักรแห่งนี้ประกอบด้วยแคว้นต่าง ๆ ที่เป็นอิสระแก่กัน จนกระทั่งฟาโรห์เมเนส (Menes) ได้รวบรวมแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทำให้ไอยคุปต์เจริญเรื่อยมา มีราชวงศ์ปกครอง 22 ราชวงศ์ จากศิลปะวัตถุ เช่น ภาพเขียนภายในปิรามิดหรือหลุมฝังศพ ภาพแกะสลักของกษัตริย์ และเทพเจ้าต่าง ๆ ตลอดจนสฟิงซ์ (Sphinx) ได้แสดงให้เห็นถึงปรัชญาในเรื่องอมตะภาพของวิญญาณและความเชื่อในเรื่องการตายแล้วเกิดใหม่ ทำให้พวกอียิปต์สร้างมัมมี (Mummy) เพื่อเก็บศพ รอคอยวิญญาณให้กลับมาเข้าร่างเพื่อฟื้นคืนชีพ ภายในห้องเก็บศพจะรักษาของใช้ทุกอย่างและมีการเขียนภาพประวัติที่ดีงามของผู้ตายตามฝาผนังภายในสุสาน ทั้งนี้เพื่อให้เทพเจ้าพอพระทัย วิญญาณผู้ตายจะได้ไม่ถูกลงโทษ

เทพเจ้าของอียิปต์แตกต่างจากกรีกและโรมัน เพราะพระเศียรเป็นหัวสัตว์ต่าง ๆ แต่ลำตัวเป็นคน แสดงให้เป็นถึงการยกย่องคุณลักษณะพิเศษของสัตว์บางชนิดรวมกับความเป็นมนุษย์ จึงทำให้เทพเจ้ามีอำนาจเหนือมนุษย์ และมีคุณสมบัติบางอย่างที่มนุษย์ไม่มี ผู้ที่จะได้รับอำนาจในการติดต่อกับเทพเจ้า คือ พระ ส่วนฟาโรห์ (Pharoah) หรือกษัตริย์เป็นเพียงสมมติเทพที่เทพเจ้ามอบอำนาจให้เพื่อปกครองมนุษย์ด้วยกัน ฟาโรห์จึงมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าเทพเจ้า อำนาจฟาโรห์จึงเด็ดขาดสำหรับคนในยุคนั้น





ความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า

จากภาพเขียนภายในสุสานและจากศิลปะวัตถุต่าง ๆ ทำให้เห็นว่าพวกอียิปต์โบราณหรือไอยคุปต์เคารพเทพเจ้าประจำเมืองของตน ในระยะแรกจะมีการยกย่องสัตว์ดุร้าย เช่น งู สิงโต นกอินทรีย์ เหยี่ยว สุนัขจิ้งจอก และวัว ต่อมาได้เปลี่ยนรูปเทพเจ้าเป็นแบบครึ่งคนครึ่งสัตว์ กายเป็นคนหัวเป็นสัตว์ เทพเจ้าเหล่านี้ ได้แก่

1. เทพเว็พวาเว็ท (Wepwawet) เทพเจ้าหัวสุนัขจิ้งจอก
2. เทวีบาสติ (Bastet) มีหัวเป็นแมว กายเป็นหญิงสาว
3. เทพฮาร์ซาเพส (Harsaphes) มีหัวเป็นแกะ ตัวเป็นคน
4. เทพโซเบ็ค – เร (Sobek – Re) มีหัวเป็นจระเข้ ได้รับการยกย่องเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์
5. เทพเซ็ท (Seth) มีหัวเป็นนกปากซ่อม เป็นเทพชั่วร้าย
6. เทพฮอรัส (Horus) มีหัวเป็นเหยี่ยวป่า เป็นโอรสของโอสิริส และไอซิส
7. โท๊ต (Thoth) เป็นเทพแห่งปัญญา มีหัวเป็นนกปากห่าง
8. อนูบิส (Anubis) เป็นเทพแห่งวิญญาณ มีหัวเป็นสุนัขไน
9. เทพรา (Ra) สุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเทพทั้งหลาย
10. เทพโอสิริส (Osiris) เทพแห่งแม่น้ำไนล์ เป็นเทพแห่งความสมบูรณ์
11. เทวีไอสิส (Isis) เทวีของโอสิริส เป็นเทวีแห่งความซื่อสัตย์
12. เทวีฮาธอร์ (Hathor) เป็นราชินีแห่งเทพและเทวีทั้งหลาย




ความเชื่อในชีวิตหลังความตาย

ศาสนาของไอยคุปต์วิวัฒนาการมาจากศาสนาโบราณที่มีแนวคิดแบบพหุเทวนิยม (Polytheism) และวิวัฒนาการมาจนกระทั่งเป็นแบบเอกเทวนิยม (Monotheism) กล่าวคือเริ่มแรกนับถือเทพเจ้าหลายองค์ตามความเชื่อของแต่ละเมือง ต่อมามีการรวมอาณาจักรเป็หนึ่งเดียว ความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าก็เลยเป็นหนึ่งเดียวโดยยกย่องรา (Ra) หรือเร (Re) เป็นเทพสูงสุด สัญลักษณ์ที่ใช้เกี่ยวกับเทพเจ้าองค์นี้ คือ หินสามเหลี่ยมคล้ายปิรามิดเรียก เบน – เบน (Ben – Ben) ประดิษฐานบนเขาสุงหันไปทางดวงอาทิตย์

พวกไอยคุปต์เชื่อว่า ฟาโรห์ แบ่งภาคมาจากสุริยเทพเมื่อสิ้นพระชนม์ วิญญาณจะไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเทพโอสิริส ซึ่งเป็นยมเทพ วิญญาณที่หลุดลอยออกจากร่างทุกร่างต้องไปคอยให้ยมเทพพิพากษา บุคคลใดทำดีจะได้รับรางวัล ผู้ทำชั่วจะถูกลงโทษ การทำดีละชั่วไม่ใช่หลักประกันที่แน่นอน พวกเขาจึงประดิษฐ์อักษรเฮียโรกลีฟิค (Hieroglyphics) ซึ่งเป็นอักษรภาพที่ใช้ในพิธีกรรมเท่านั้น และเป็นอักษรภาพที่บันทึกความดีของผู้ตายบนฝาผนังสุสาน บางครั้งอาจบันทึกลงบนกระดาษปาปิรัสแล้วม้วนใส่ไว้ข้างตัวของผู้ตายนิยมเรียกว่าคัมภีร์มรณะ

เนื่องจากมีความเชื่อในชีวิตหลังความตาย จึงทำให้คนอียิปต์นิยมรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อย โดยใช้ผ้าห่อร่างกายไว้เรียกว่า มัมมี วิธีการทำละเอียดพิสดารมากเพราะต้องดูดเอาสมองออกทางจมูกก่อนแล้วผ่าตัดด้านข้างของท้อง ล้วงเอาอวัยวะพวก ตับ ไต ไส้ ออกมา โดยใช้ตะขอเหล็กแล้วเก็บไว้ในโถ 4 โถ คือ โถตับไต ตั้งไว้ทิศใต้ มีเทวดาหน้าคนเฝ้า โถใส่ปอดตั้งไว้ทางทิศเหนือ มีเทวดาหน้าลิงเฝ้า โถใส่ไส้เล็กและใหญ่ตั้งไว้ทิศตะวันตก มีเทวดาหน้าเหยี่ยวเฝ้า และโถใส่กระเพาะตั้งทางทิศตะวันออกมีเทวดาหน้าสุนัขเฝ้า ยกเว้นหัวใจ เพราะเชื่อว่าเป็นที่รวมของปัญญา สามารถสะกดมนตราที่ทำกับศพ จึงกลับมาเข้าร่างได้อีกครั้งหนึ่ง และใช้ตัดสินใจในขณะอยู่โลกใหม่ จากนั้นศพจะถูกล้างด้วยน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ และเครื่องเทศ พวกอวัยวะเครื่องในถูกเก็บไว้ในโถคาโนปิค (Canopic) โดยคลุกกับสารนาตรอน ซึ่งมีอยู่ในเกลือแถวแม่น้ำไนล์ และคลุกกับไม้หอม ร่างศพจะถูกพันด้วยผ้าลินิน ก่อนพันผ้าจะถูร่างศพด้วยน้ำมันผสมนาตรอนเจือจาง การพันผ้าแต่ละชั้นจะทาด้วยยางสนหรือสารเรซินสลับไปมาจนหนาและราบเรียบ ทุกส่วนในช่วงที่เริ่มพันผ้าศพนักบวชอ่านคัมภีร์ของคนตายไปตลอด และในบางรายอาจมีการงางเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ไว้ในแต่ละรอบของการพันผ้า จากนั้นจึงนำไปบรรจุในโลไม้ที่แกะสลักอย่างสวยงาม และฝังในสุสานโดยมีพิธีแห่ศพ และอำลาศพเป็นครั้งสุดท้าย การอำลาศพคือการเปิดปากให้คนตายได้มีโอกาสดื่มและกินอาหารอีกครั้งหนึ่ง

จากการค้นพบสุสานบางแห่งทำให้ได้พบเรือจำลองเล็ก ๆ ฝังไว้กับคนตายเพื่อเป็นการนำผู้ตายไปยังโลกใหม่ นอกจากนี้พวกเครื่องใช้ อาวุธ ตลอดจนเครื่องประดับต่าง ๆ จะถูกนำไปฝังเพื่อให้คนตายนำไปใช้ในโลกหน้า เป็นความเชื่อที่คล้ายกับพวกยุคหินและอารยธรรมจีน ทั้งนี้เพราะคนเหล่านี้ เชื่อว่าร่างกายแม้สลายเปื่อยเน่าแต่วิญญาณจะยังคงอยู่เพื่อรับผลกรรม และวิญญาณดวงเดียวกันนี้จะเป็นตัวนไปเกิดในร่างใหม่ต่อไป ซึ่งคล้ายกับแนวคิดของปรัชญาอินเดีย พวกไอยคุปต์จึงนิยมสร้างสุสานหรือปิรามิด เพื่อเก็บศพฟาโรห์ และขุนนางชั้นสูงบางคน






การสร้างปิรามิด

สุสานของชาวไอยคุปต์ ซึ่งเป็นที่เก็บร่างของผู้ตายนั้นในระยะแรก ๆ ยังไม่มีการสร้างปิรามิด แต่ใช้ฝังแบบง่าย ๆ คือ ฝังในหลุมทราย แล้วกลบด้วยทรายให้สูงขึ้นเป็นเนินง่ายต่อการสังเกต ต่อมาในราชวงศ์ที่ 1 ได้วิวัฒนาการเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังคาเรียบ เรียกว่า “มัสตาบา” (Mastaba) ภายในลึกลงไปใต้ดินเป็นห้องเก็บศพขนาดใหญ่ ใช้ไม้ทำคานแล้วปูทับด้วยอิฐ หรือดินอีกชั้นหนึ่ง

จากมัสตาบาต่อมาก็สร้างเป็นปิรมิดขั้นบันได (Step Pyramid) หรือเรียกว่า “ซิกกูรัต” (Ziggurat) คล้ายกับปิรามิดที่พบในเม็กซิโก และเปรู ปิรามิดแบบนี้เราจะพบได้ที่เมืองซัคคารา (Saqqara) ออกแบบโดย
อิมโฮเตป (Imhotep) สร้างถวายให้ ฟาโรห์ ซอสเซอร์ (Zoser) ทำด้วยหินทรายมีอายุประมาณ 2,750 ปี
ก่อนคริสตกาล หลังจากนั้นมีการสร้างปิรามิดแบบโค้งหัก คือมีจุดหักมุมกึ่งกลางของแต่ละด้าน แต่เดิมความลาดเอียงจากฐานไปยังจุดยอดเป็นมุม 54 องศา 21 ลิปดา พอถึงกึ่งกลางก็หักมุมเบี่ยงเบนเป็น 43 องศา 21 ลิปดา การเปลี่ยนแปลงความลาดเอียงนี้เพื่อป้องกันไม่ให้พังทลายลงมา ต่อมามีการสร้างปิรามิดที่แท้งจริง ซึ่งเป็นต้นเค้าของปิรามิดในสมัยต่อมา คือ มีฐานสี่เหลี่ยม ส่วนด้านข้างจะสอบขึ้นไปจนถึงปลายแหลมสุดเป็นรูปสามเหลี่ยมปิรามิดแบบนี้ที่ใหญ่ที่สุด คือ ปิรามิดของ เคออปส์ (Cheops) ที่กิซา (Giza) ภายในปิรามิดมีห้องหลายห้องที่สลับซับซ้อนเป็นที่เก็บสมบัติและโลงศพ ในบางห้องเป็นที่ขังพวกทาสบริวารเพื่อรับใช้ฟาโรห์ในโลกหน้าต่อไป










ลักษณะศิลปกรรมของอียิปต์แบ่งตามอาณาจักร มี 3 ยุค คือ

ยุคอาณาจักรเก่า (The Old Kingdom)
ยุคอาณาจักรกลาง (The Middle Kingdom)
ยุคอาณาจักรใหม่ (The Empire)
ก่อนสมัยอาณาจักรเก่าเป็นระยะเริ่มราชวงศ์ มีอายุประมาณ 3,200 – 2,780 B.C. คือ ราชวงศ์ที่ 1 และราชวงศ์ที่ 2 หลักฐานต่าง ๆ ในสมัยนี้มีน้อยมาก ทราบแต่เพียงว่า เมเนส (Menes) เป็นผู้รวบรวมอียิปต์ตอนล่างและตอนบนของแม่น้ำไนล์เข้าด้วยกัน แล้วตั้งเมืองหลวงที่ธีนีส (Thenis)















1.ยุคอาณาจักรเก่า

หรือเรียกว่าสมัยปิรามิด มีเมืองหลวงที่เมมฟีส (Memphis) ในยุคนี้มีกษัตริย์ 8 ราชวงศ์ ตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 3-10 และแต่ละราชวงศ์ก็นิยมสร้างปิรามิด โดยเฉพาะในราชวงศ์ที่ 5 เป็นยุคที่ฟาโรห์มีอำนาจมากที่สุด มีการสร้างปิรามิดที่กิซา ซึ่งใหญ่มากจัดว่าเป็นยุคทองของอียิปต์ยุคเก่า

ลักษณะศิลปกรรม

ประติมากรรม สร้างเป็นแท่ง
ประติมากรรม มีขนาดใหญ่โต ทึบตัน
นิยมสร้าง ประติมากรรมแบบนูนต่ำ และลอยตัว
ลักษณะของภาพคนหรือเทพเจ้า ไม่นิยมสร้างให้เห็นกล้ามเนื้อชัดเจน เป็นแบบอุดมคติ (Ideal) และเป็นสมัยที่นิยมตกแต่งประติมากรรมด้วยแล้ว
สถาปัตยกรรมนิยมสร้าง Mastaba และปิรามิด ปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่กิซา สร้างโดยฟาโรห์เคออปส์ หรือคูฟู (Khufu)
มีการสร้างสฟิงซ์ประกอบปิรามิด
นิยมเอาหินมาสร้างศิลปกรรม และที่นิยมมากที่สุดคือ หินอ่อน
นิยมเขียนภาพตามฝาผนังในสุสาน ซึ่งมีลักษณะเป็น 2 มิติ
ภาพเขียนเหล่านั้นนิยมตัดเส้น
จิตกรรมรูปคนจะเขียนด้านข้างของใบหน้า แต่ดวงตาเป็นด้านตรง สำหรับส่วนหน้าอกนิยมเขียนด้านตรง แต่ขาและตะโพก เขียนเป็นด้านข้างจึงมีลักษณะเป็น Idealism มากกว่า Realism





2.ยุคอาณาจักรกลาง

ในสมัยนี้เมืองหลวงย้ายมาอยู่ที่ธีบส์หรือธีบิส (Thebes) เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 11 – 17 ในราชวงศ์ที่ 11 –12 อำนาจของฟาโรห์มีอำนาจมาก จนกระทั่งตอนปลายราชวงศ์ที่ 12 อำนาจของฟาโรห์เสื่อมลง โดยเฉพาะในราชวงศ์ที่ 15 – 17 อียิบปต์ถูกพวกฮิกโซส (Hyksos) รุกรานทำให้อ่อนแอลง ในการสร้างสุสานยังคงมีแต่เปลี่ยนมาเป็นสกัดหน้าผาแทนการสร้างปิรามิด

เนื่องจากความเชื่องมงามเรื่องเทพเจ้าลดลง ความคิดในด้านเหตุผลตามธรรมชาติ ลักษณะศิลปกรรมจึงเปลี่ยนไปมีลักษณะดังนี้

นิยมสร้างวิหารมากกว่าสุสาน สุสานจึงนิยมสร้างตามหน้าผา ส่วนปิรามิดมีบ้างไม่มากดังเช่นสมัยก่อน และนิยมสร้างด้วยวัสดุที่ถูกกว่า คือ ภายในใช้อิฐ ภายนอกใช้ปูน
ประติมากรรมนิยมสร้างให้เหมือนจริงมากกว่าเน้นความงาม
จิตรกรรมยังคงนิยมเขียนตามสุสานเหมือนเดิม
มีการสร้างศิลปกรรมรูปราชินี และรูปผู้หญิงมากกว่าสมัยอาณาจักรเก่า




3.ยุคอาณาจักรใหม่

เมืองหลวงอยู่ที่ธีบิสเช่นเดิม เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 18 – 19 ฟาโรห์เริ่มมีอำนาจมากขึ้น สามารถขับไล่พวกฮิคโซสและขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวางจึงเรียกว่า เป็นยุคจักรวรรดิ ตอนปลายสมัยอาณาจักรไอยคุปต์เริ่มเสื่อมอำนาจเนื่องจากรบพุ่งกันเอง เพื่อชิงความเป็นใหญ่จึงเปิดโอกาสให้ต่างชาติแทรกแซง โดยเฉพาะกรีก แม่ทัพกรีกตั้งตนเป็นกษัตริย์ เพราะฉะนั้นราชวงศ์เปโตเลมี (Ptolemy) จึงสืบเชื้อสายมาจากกรีก ฟาโรห์องค์สุดท้าย คือ “พระนางคลีโอพัตรา” ซึ่งเป็นพระธิดาของ “ไดโอนีซุส” (Dionysus) หลังจากนั้นอียิปต์ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของโรมัน

ลักษณะศิลปกรรม

การสร้างสุสานนิยมสร้างเจาะในภูเขา และสุสานบางแห่งก็สร้างให้อยู่ในบริเวณที่เหมาะสม เพื่อป้องกันคนร้ายขโมยทรัพย์สมบัติในการสร้างสุสานนิยมใช้โครงสร้างแบบคานพาดเป็นส่วนใหญ่
มีการประดิษฐ์หัวเสาเป็นลวดลายต่าง ๆ โดยนำรูปแบบมาจากธรรมชาติ เช่น หัวเสารูปดอกบัว รูปใบปาปิรัส และตอนกลางของเสานิยมสลักเรื่องราวของฟาโรห์ในขณะที่มีชีวิต
นิยมสร้างสิ่งก่อสร้างแบบสมดุลย์สองข้างเท่ากัน และนิยมนำประติมากรรมมาประกอบสถาปัตยกรรมตามผนัง โดยสลักเป็นแบบนูนต่ำคล้ายกับกรีก
จิตรกรรมยังคงนิยมเขียนเหมือนเดิม
งานโลหะและศิลปะตกแต่งอื่น ๆ เจริญมากรู้จักทำน้ำยาเคลือบลงยา และประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้อื่น ๆ









ความเจริญทางด้านการดนตรีของอาณาจักรอียิปต์โบราณ

เครื่องดนตรีบางชิ้นดัดแปลงมาจากเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กรับ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ในการไล่สัตว์ไม่ให้กินพืชผลในไร่นา ก็ถูกนำมาใช้ในการขับร้องเต้นรำบูชาเทพเจ้า เพื่อขอความสมบูรณ์ นอกจากนี้ก็มีพิณ ซึ่งขุดพบในสมัยเดียวกับปิระมิดแห่งกิซา มีลักษณะเก่าแก่กว่าพิณในสุสานแห่งเมโสโปเตเมีย มีลักษณะเป็นต้นเค้าของธนูของนักล่าสัตว์

การดนตรีของอียิปต์ เป็นไปเพื่อพิธีกรรมทางศาสนา และเชื่อกันว่าเสียงมนุษย์เป็นเครื่องดนตรีที่ทรงอำนาจมากที่สุดที่จะติดต่อกับเทวโลก

ดนตรีในราชสำนักก็เกี่ยวข้องกับดนตรีเพื่อศาสนา เพราะว่าฟาโรห์องค์แรก ๆ นั้น เป็นทั้งพระและกษัตริย์ จึงไม่สามารถแยกดนตรีออกจากศาสนาได้ ส่วนดนตรีของประชาชนมีลักษณะเรียบให้ความรู้สึกขรึม สงบ สะท้อนให้เห็นชีวิตอันมั่นคงของประชาชน ต่อมาในสมัยจักรวรรดิ การดนตรีของเมโสโปเตเมียได้มีอิทธิพลต่ออียิปต์มากทำให้มีทำนองที่รวดเร็วและมีชีวิตชีวามากกว่าในสมัยเก่า เครื่องดนตรีบางชนิดก็ได้พัฒนารูปแบบออกไป เช่น พิณได้เปลี่ยนรูปแบบให้สูงขึ้นถึง 6 ฟุต สายเพิ่มขึ้นเป็น 12 สาย และเพิ่มเครื่องดนตรีพวกปี่ (Oboe) แตร และกีตาร์โบราณ (Lute)





ิรามิดที่ยิ่งใหญ่
ปีรามิดที่ยิ่งใหญ่ที่ Giza Plateau ในประเทศอียิปต์เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมานานแล้ว ปิรามิดซึ่งสูง 450 ฟุต และมีฐานกว้าง 755 ฟุต ได้ถูกสร้างจากหินเนื้อที่ประมาณ 22 เอเคอร์ โดยหินแต่ละก้อนหนักโดยเฉลี่ยก้อนละ 2 ตันครึ่ง หินปูนฉาบเรียบด้านนอกหลุดล่วงไปแล้วหลายศตวรรษที่ผ่านมาเหลือไว้เพียงที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน ปิรามิดนี้ถูกสร้างเกือบจะตรงพอดีที่เส้นรุ้ง 30 องศา และ เส้นแวง 30 องศาอันเป็นความสามารถที่ทำให้เกิดการอัศจรรย์ใจแก่ เหล่าวิศวกร เช่นเดียวกับเหล่าผู้ล่าคำทำนายและนักโบราณคดีแม้ในปัจจุบันการก่อสร้างอนุสาวรีย์ที่น่าพิศวงทำนองนี้ก็อาจยากที่จะกระทำได้ แล้วชาวอียิปต์โบราณได้รับปาฏิหารทางวิศวกรรมนี้มาได้อย่างไร ?






หลายคนเชื่อว่าพวกชาวอียิปต์โบราณอาจไม่ได้มีปาฏิหาร (หรืออย่างน้อยไม่มีในตัวเอง) ไม่ว่าหนังสือวิชาการเล่มใด ๆหรือศาสตราจารย์ทางโบราณคดีคนใด ๆ ที่คุณพบจะบอกอย่างชื่นบานว่า ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่นี้ถูกสร้างขึ้นโดยฟาโรห์ราชวงศ์ที่ 4 ประมาณ 2500 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ดีมีหลายคนที่เชื่อว่ามีหลักฐานที่ขัดแย้งปรากฎอยู่และเป็นหลักฐานที่ส่วนใหญ่ถูกละเลย ทำไมหลักฐานจึงถูกละเลย ? ทุกกลุ่มนัก "วิทยาศาสตร์" และโบราณคดีอาจจะต้องยอมรับว่าตนผิดพลาดไป (โอ ไม่แน่นอน !) หนังสือวิชาการอาจต้องถูกเขียนขึ้นใหม่ และทุกคนเพียงปฏิเสธอย่างง่าย ๆ ที่จะสืบสวน




หลักฐานจริงจังเพียงเพราะหลักฐานนั้นไม่เข้ากับแบบอย่างของตน (ดังนั้นมันจึง "ไม่สามารถเป็นจริงได้")ข้างในปิรามิดนั้นไม่มีการเขียน ไม่มีการทำเครื่องหมาย และไม่มีสุสาน อย่างไรก็ตาม ในกลางทศวรรษที่ 1800ได้มีการค้นพบที่น่าอัศจรรย์โดยพันเอก Howard Vyse ซึ่งเป็นการค้นพบที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์และโบราณคดีได้ยึดเป็นข้อพิสูจน์โดยสมบูรณ์ว่า กษัตริย์ฟาโรห์ Khufu เป็นผู้สร้างปิรามิดที่ยิ่งใหญ่นั้น พันเอก Vyse ได้ "ค้นพบ" (discovered) สัญญลักษณ์คนขุดหิน หรือ "graffiti" ในห้องของกษัตริย์ในปิรามิดนั้น อย่างไรก็ตามก็ยังมีปัญหาบางประการที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับ"สัญญลักษณ์การขุดหิน" (quarry marks) เหล่านี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ Graham Hancock และ Robert Bauval กล่าวถึงมาในหนังสือของเขาเรื่อง " The Message of the Sphinx" ที่ตีพิมพ์ในปี 1996 ข้อขัดแย้งกันเหล่านี้รวมทั้งรายการข้อวิปริตอื่น ๆ ทั้งหมดทำให้เกิดข้อโต้แย้งที่หนักแน่นอย่างไม่น่าเชื่อเกี่ยวกับวันที่ที่ได้มาจากปิรามิด






แล้วเกี่ยวกับการทำนายล่ะ? การวัดปิรามิดทำด้วยสิ่งที่เรียกว่า "นิ้วปิรามิด" (pyramid inches) บวกเพิ่มค่าฟุตและนิ้วของปิรามิดแล้วประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อีกเล็กน้อย ก็จะพบว่า ความเที่ยงตรง ของอนุสาวรีย์นี้ เป็นไปอย่างไม่น่าเชื่อ ประการแรกสามารถหาค่าของ pi ได้ (ปิรามิดเมื่อเริ่มแรกที่มีการฉาบภายนอกกว้าง 481.3949 ฟุต ซึ่งเมื่อเทียบกับฐานของมันที่กว้าง 3032.16 ฟุตแล้วก็จะได้ความสัมพันธ์เหมือนกับวงกลมวงหนึ่งที่สัมพันธ์กับรัศมีของมัน คือ ...481.3949 ฟุต * 2 * 3.14 = 3023.16 ฟุต)





ชาวอียิปต์ไม่เคยถูกคาดหวังว่าจะมีความรู้นี้ เมื่อวิเคราะห์อีกครั้งหนึ่งในทางคณิตศาสตร์จะพบไดแมนชั่นของโลก เส้นรอบวงแถบเส้นศูนย์สูตรของโลก, จำนวนปี (และจำนวนวัน), ผลการเคลื่อนที่รอบตัวเองของโลกที่ทำให้วันที่มีกลางวันเท่ากับกลางคืนเลื่อนไปทางตะวันตกที่ละน้อยบนระนาบของดวงจันทร์ และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายเมื่อใช้ นิ้วปิรามิด (pyramid-inches) กับด้านในของปิรามิดหลายคนเชื่อว่าจะสามารถหาปฏิทินหนึ่งที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้ เมื่อผ่านทางเดินแคบ ๆ วิหารที่กว้างใหญ่ และห้องต่าง ๆ ที่อยู่ภายในปิรามิดนั้นก็ได้พบว่าผนังและการหักเลี้ยวตรงกันอย่างเหมาะเจาะกับเหตุการณ์ที่สำคัญของโลก เช่น การถือกำเนิดของพระคริสต์, สงคราม Crusades,สงครามโลกทั้งสองครั้ง และเหตุการณ์ที่สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 17 กันยายน 2001 วันที่ดังกล่าวสอดคล้องกับปลายสุดของห้องกษัตริย์ และเป็นหลุมที่ขุดลึกลงไปในปิรามิด นี่จะหมายถึงวันที่โลกพินาศสำหรับเราหรือไม่ หรือเป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดการเป็นอยู่ในระดับใหม่ทั้งหมด อันเป็นระดับที่ผู้สร้างปิรามิดไม่สามารถมองเห็นได้มีทฤษฎีเกี่ยวกับจักรวาลหลายทฤษฎีได้ถูกนำเสนอเกี่ยวกับ "ปฏิทินปิรามิด" (pyramid calendar) มีผู้ที่เชื่ออย่างแน่วแน่ในการรับรองได้อย่างสมบูรณ์ของข้อกล่าวอ้างนี้ และก็มีผู้ที่เป็นเพียงพวกที่ชอบทำลายชื่อเสียงอย่างแข็งขันด้วยเช่นกัน





พอเราได้ข้อมูลคร่าวๆ...พอที่จะคุยกับเขาได้พอสนุกแล้ว..

เราก็ไปหารูปที่ถ่ายสดๆมา...เป็นประเภทเวปแคม...

เราจะเห็นบรรยากาศจากภาพ...แล้วเรายังได้ข้อมูลจากกล้องอีก

ในเรื่องของอุณหภูมิ ความชื้น ณ เวลาปัจจุบันอีกด้วย









อ้อ...อีกอย่างคับ....อันนี้แถมๆๆ

อิอิอิ

ทาง นาซ่า ได้มีการไปสำรวจที่ดาวอังคาร...ปรากฏว่า

ได้เห็นบางจุดพื้นที่บนดาวอังคาร...มีสภาพภูมิประเทศเหมือน ปิรามิด

บางคนได้สันนิษฐานกันไปต่างๆนานา...ว่าปิรามิดที่อยู่บนโลก..

อาจจะเป็นงานสร้างของมนุษย์ต่างดาว......ก็เป็นได้...!!!










(รูปนี้ คิดว่าเป็นการตัดต่อคับ)














เห็นมั๊ยคับ....พอเรารวบรวมข้อมูลต่างๆเพียงแค่นี้...

เราก็สามารถคุยเรื่องไปเที่ยว...กับคนที่เขาไปเที่ยวมา...ได้อย่างสนุกและได้อรรถรส...ทีเดียว





















Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2551 0:00:10 น. 8 comments
Counter : 4875 Pageviews.

 
เที่ยวด้วยคนค่ะฮันนี่
เที่ยวแบบไม่มีตังค์เช่นกัน..ฮี่ๆๆ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:0:22:16 น.  

 
โห... เที่ยวแบบนี้
ถูกจริง ๆด้วย


โดย: โสดในซอย วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:0:25:19 น.  

 
ตามไปเที่ยวด้วยค่า


โดย: COCOSWEET วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:0:33:55 น.  

 


วันก่อนผมก็ไปดูหอไอเฟลที่ฝรั่งเศสมาครับ
พรุ่งนี้ว่าจะไปดู LONDON EYE ซะหน่อยนึง



เก็บภาพตอนไปเที่ยวที่ไร่ฟักทองยักษ์ในฟาร์มจิม ทอมป์สันมาฝากด้วยครับ
อยากดูแบบเต็มๆ Click ที่ภาพได้เลยนะ

ตอนที่ 5 แ ว ะ เ ที่ ย ว ช ม ไ ร่ ฟั ก ท อ ง ยั ก ษ์




โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:19:10 น.  

 
โห....เก่งจังเลยค่ะ ใช้เน็ตแบบนี้ได้ เหะๆ ๆ อยากไปเที่ยวอียิปต์เหมือนกัน ตอนนี้ดูบล็อกนี้ก่อน


โดย: shin chan (alei ) วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:25:28 น.  

 
แง้วง... ผมโหลดมาตั้งนานแล้วง่ะลูกพี่

ปล. เมื่อวานโดนเลขไหนมั่งป่ะคับ


โดย: Nagano วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:4:04:53 น.  

 
มาเที่ยวแบบประหยัดด้วยคนค่ะ


โดย: pat_pk วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:46:36 น.  

 
ขอบคุณที่พาเที่ยวค่ะ

นอกจากประหยัดตังแล้วยังไม่ร้อน ไม่เหนื่อยด้วย ^_^


โดย: Honeybee042 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:49:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นอกลู่นอกทาง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]








ภาพถ่ายดาวเทียมด้านอุตุนิยมวิทยา
ภาพสดๆจากที่ต่างๆทั่วมุมโลก
Ban Na Song BKK, Thailand
Karon Beach , Phuket , Thailand
Federal Highway, Angkasapuri ,Pantai Valley , Malaysia
Delta Estate , Singapore
Malate ,Manila , Philippines
Bandar Seri Begawan , Brunei
Guangxi Guilin, China
달빛무지개분수(Banpo Bridge Fountain )Sin’gilsa-dong , Seoul , South Korea
Hong Kong skyline from Admiralty, China
Shiomidai , Kanagawa , Japan
Cable Beach, Broome, Western Australia, Australia
Keahua Hawaii , USA
Sacramento California, USA
Washington D.C., USA
Manhattan , New York , USA
McCulloch Kelowna, Canada
Niagara Falls , Ontario , Canada
Panama Canal , Bella Vista , Panama
Santiago de Chile , Región Metropolitana , Chile
Fairbanks, Alaska Forecast Arctic
Mar del Plata Buenos Aires , Argentina
Tasiilaq , Østgrønland , Greenland
London Skyline from the Sheraton Park Tower , Knightsbridge , United Kingdom
Trafalgar Square , London , United Kingdom
Eiffel Tower Paris, France
Harstad Nordland , Norway
Halsum , Svalbarð , Iceland
Amsterdam , Netherlands
Vatican City State, Saint Peter's Basilica Borgo , Italy
Berlin, Germany
Чебоксарский залив, Yakimovo, Chuvashia , Russia
Udaipur Lake Pichola , Rājasthān , India
Mount Everest , Junbesi , Sagarmāthā , Nepal
Cape Town Sanddrift, South Africa
Orpen , Richmond , South Africa
Abū Hayl Dubai , United Arab Emirates
Kairo, Egypt
Medhufushi, Maldives
Mawson station Antarctica

Profile Visitor Map - Click to view visits
หนังทุกเรื่องหรือเพลงทุกเพลงในบล็อกนี้ เป็นเจ้าของ ของลิขสิทธินั้นๆตามเจ้าของเดิม นำมาเพื่อแบ่งปันชมกันในหมู่เพื่อนพ้อง ชาวบล็อกแก้งค์เท่านั้นครับ....
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ 2539 หากผู้ใดคิดจะ ลอกเลียน หรือนำส่วนใดส่วนหนื่ง ของข้อความใน Blog แห่งนี้ไปเผยแพร่ ให้นำไปได้เลย โดยไม่ต้องขออนุญาต จขบ. แต่ต้องคัดลอกแจกจ่ายให้ครบ 50 ก็อปปี้ ไม่เช่นนั้น จะมีอันเป็นไป ต่างๆนานา ถึงขั้นชีวิตตกอับ อิอิ หากแต่ว่า..นำชื่อ จขบ. ไปใช้ในทางเสียหายหรือประจาน จะถูกดำเนินคดี ตามที่ กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด นะจ๊ะ
Friends' blogs
[Add นอกลู่นอกทาง's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.