|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
30 กรกฏาคม 2553
|
|
|
|
การตั้งครรภ์ในเดือนที่ 4
พัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์ ทารกมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว อวัยวะต่างๆบนใบหน้าที่มีการพัฒนาไปจนเกือบสมบูรณ์ มีแขนขานิ้วมือนิ้วเท้าที่ชัดเจน และมีรูปร่างที่ได้สัดส่วนมากขึ้น ทำให้ทารกในขณะนี้ดูมีรูปร่างของมนุษย์มากขึ้น ความยาวจากศีรษะถึงสะโพกตอนนี้จะยาวประมาณ 12 เซนติเมตร (4 3/4 นิ้ว) น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 130 กรัม (4 1/2 ออนซ์)
แม้ว่าทารกจะยังตัวเล็กมากๆ แต่แขนขาและนิ้วมือนิ้วเท้านั้นมีการพัฒนารูปร่างไปมาก และได้สัดส่วนเกือบสมบูรณ์ ตอนนี้ขาเริ่มยาวมากกว่าแขน และที่ปลายนิ้วมือมีเล็บขึ้นมาแล้ว อีกทั้งเริ่มมีลายนิ้วมือแล้วด้วย แต่เล็บที่นิ้วเท้าจะงอกตามมาทีหลัง
เนื่องจากในตอนนี้ทารกยังไม่มีเนื้อเยื่อชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ดังนั้น จะดูค่อนข้างผอม และผิวหนังที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่นั้นก็บางมากเสียจนมองทะลุเข้าไปเห็นเส้นเลือดที่วิ่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายเป็นเครือข่ายอยู่ภายใต้ได้
ใบหน้าของทารกเริ่มมีคิ้วและขนตาบางๆขึ้น มีขนขึ้นตามใบหน้าตามตัว กระดูกของใบหน้าเริ่มมีโครงสร้างที่สมบูรณ์และได้สัดส่วนมากขึ้น การตรวจอัลตร้าซาวด์ในเดือนที่ 4 นี้จะสามารถมองเห็นอวัยวะเล็กๆบนใบหน้า เช่น จมูกและปากได้ชัดเจนมากขึ้น และเนื่องจากกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้มีการพัฒนาขึ้นมาแล้ว ดังนั้นทารกจะสามารถแสดงสีหน้าได้ ยิ้มได้ ขยับอวัยวะต่างๆบนใบหน้าได้ แต่ยังไม่สามารถควบคุมการแสดงสีหน้าได้ ถึงแม้ว่าเปลือกตาจะยังคงปิดสนิทอยู่เช่นเดิมแต่ดวงตาของทารกจะเริ่มมีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างได้แล้ว ที่บริเวณลิ้นของทารกก็เริ่มมีการสร้างปุ่มรับรสขึ้นมาอีกด้วย หูทั้งสองข้างจะเคลื่อนขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและภายในสัปดาห์ที่ 16 ของการตั้งครรภ์นี้ กระดูกชิ้นเล็กๆที่อยู่ภายในหูของทารกที่แข็งตัวขึ้นจะทำให้ทารกสามารถได้ยินเสียงเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดของคุณแม่เอง เสียงหัวใจแม่เต้น หรือเสียงของระบบทางเดินอาหารของแม่
ในเดือนที่ 4 นี้ความแข็งแรงในการเคลื่อนไหวร่างกายของทารกมีมากขึ้นตามการพัฒนาของระบบประสาท ทารกจะเริ่มสร้างเนื้อเยื่อชั้นไขมันที่มีชื่อเรียกว่า Myelin ขึ้นมาเคลือบเส้นประสาทที่เชื่อมโยงระหว่างกล้ามเนื้อและสมองซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก เนื่องจากเมื่อมีการสร้างระบบประสาทเสร็จสมบูรณ์ การรับส่งข้อมูลจากกล้ามเนื้อสู่สมองและจากสมองสู่กล้ามเนื้อก็จะสามารถทำงานได้สมบูรณ์ นั่นหมายถึงมีการเคลื่อนไหวได้อย่างประสานสัมพันธ์กัน ทารกจะมีการหลับการตื่น มีการเคลื่อนไหว ยืดและงอแขนขาได้ เตะหรือตีลังกาก็ได้ ทารกจะเริ่มดูดนิ้วหัวแม่มือ กำมือและแบมือ แต่นี่เป็นเพียงการซ้อมการเคลื่อนไหวร่างกายเท่านั้น การเคลื่อนไหวให้สัมพันธ์กันนั้นยังต้องฝึกอีกมากหลังจากการคลอด
ทารกจะกลืนน้ำคร่ำเข้าไปในระบบทางเดินอาหาร และเริ่มมีการกรองที่ไตเป็นครั้งแรก แล้วจะปัสสาวะออกมาหมุนเวียนเป็นน้ำคร่ำอีก ทารกในครรภ์จะปัสสาวะออกมาประมาณทุกๆหนึ่งชั่วโมง
ภายในถุงน้ำคร่ำ ทารกจะถูกล้อมรอบด้วยน้ำคร่ำ ซึ่งจะช่วยให้ทารกลอยไปมาอย่างอิสระราวกับอยู่ในสระน้ำอุ่น เพื่อให้ทารกสามารถเคลื่อนไหวยืดแข้งยืดขาเพื่อพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ โดยมีสายสะดือที่เปรียบเสมือนเป็นท่อออกซิเจนสำหรับนักดำน้ำ บางครั้งทารกอาจหมุนศีรษะลง แล้วอีกนาทีต่อมาอาจหมุนเอาขาลง แต่ว่าที่คุณแม่จะไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวนี้เนื่องจากน้ำคร่ำที่อยู่รอบตัวทารกจะกระจายแรงดันไปรอบด้านเท่าๆกันจนทำให้คุณแม่ไม่อาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็กๆนี้ได้
หัวใจของทารกมีการสูบฉีดเลือดอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น และเสียงดังพอที่คุณจะสามารถได้ยินเสียงของการเต้นของหัวใจทารกได้จากการใช้หูฟังของแพทย์แนบกับหน้าท้อง ทารกมีการซ้อมหายใจ จากการตรวจอัลตร้าซาวด์จะเห็นภาพบริเวณทรวงอกของทารกมีการเคลื่อนไหว ขึ้นและลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
เลือดของทารกมีการสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกายเล็กๆ ด้วยความเร็วประมาณ 4 ไมล์ต่อชั่วโมง เลือดจากทารกจะออกสู่เส้นเลือดแดงใหญ่สองเส้นไปยังสายสะดือไปยังรกซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับจานมีเครือข่ายเส้นเลือดของมันเอง และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 3 นิ้วเท่านั้น ในตอนนี้เมื่อเลือดออกไปสู่รกก็จะมีการแลกเปลี่ยนอาหารและออกซิเจนกับเลือดแม่แล้วจึงไหลเวียนกลับมายังเส้นเลือดดำ 1 เส้นกลับสู่สายสะดือแล้วเข้าสู่ร่างกายทารกอีกครั้ง ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลา ประมาณ 30 วินาที
รกเปรียบเสมือนอวัยวะที่ทำหน้าที่หลายๆอย่าง เช่น ทำหน้าที่เป็นปอด ไต ลำไส้ ตับ และผลิตฮอร์โมน รกมีสองด้าน คือ ด้านแม่และด้านลูก รกทำหน้าที่ให้สารอาหารและออกซิเจนผ่านจากแม่ไปสู่ทารก และรับของเสียต่างๆจากทารกเช่นปัสสาวะของทารกและคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่ร่างกายแม่ แล้วตับและไตของแม่ก็จะทำหน้าที่กำจัดของเสียเหล่านั้น
สายสะดือของทารกยาวพอๆกับทารกและโตขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกับทารก โดยเฉลี่ยความยาวของสายสะดือของทารกเมื่อคลอดจะมีขนาดยาวประมาณ 24 นิ้ว แต่อาจจะสั้นกว่านี้ได้ประมาณ 5 นิ้วและสามารถยาวได้ถึง 48 นิ้วเลยทีเดียว ซึ่งแรงดันของเลือดจะช่วยให้สายสะดือคงรูปเป็นเส้นตรงป้องกันการเกิดเป็นปม
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกได้มีการพัฒนารูปร่างอย่างชัดเจน ตอนนี้ทารกจะเป็นเพศใดก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นจากการตรวจอัลตร้าซาวด์ สำหรับทารกเพศหญิงนั้นจะมีการสร้างรังไข่ขึ้นมา ซึ่งเมื่อเริ่มแรกภายในรังไข่จะมีการสร้างเซลล์ไข่ขึ้นมาจำนวนมาก ในระยะ 16 สัปดาห์นี้ภายในรังไข่จะมีเซลล์ไข่บรรจุอยู่ประมาณ 2 ล้านฟอง แต่จะมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ จนเมื่อคลอดทารกจะมีเซลล์ไข่เหลืออยู่ประมาณ 1 ล้านฟอง และเมื่อเติบโตขึ้นเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ก็จะมีจำนวนเซลล์ไข่ลดลงไปอีก เมื่ออายุ 17 ปีเด็กผู้หญิงจะมีเซลล์ไข่เหลืออยู่ประมาณ 2 แสนฟองเท่านั้น แต่มันก็เพียงพอสำหรับการมีบุตรได้แล้ว
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่
ในเดือนที่สี่นี้คุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างชัดเจน ขนาดของหน้าท้องจะโตขึ้นจนเห็นได้ชัด มดลูกมีเลือดมาเลี้ยงเพิ่มมากขึ้นเป็น 5 เท่า จากก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อช่วยการเจริญเติบโตของทารก ไตมีเลือดผ่านมากขึ้น 25% อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น และมีอัตราการสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้น 30-50% เทียบกับก่อนตั้งครรภ์ และคุณแม่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 2.45 4.5 kg / 5-10 lb เสื้อผ้าอาจเริ่มคับขึ้นอีก คุณแม่จะต้องเปลี่ยนมาใช้เสื้อผ้าที่ซื้อเตรียมเอาไว้ ในเดือนนี้จะเริ่มมีการเลี่ยนแปลงของสีผิวบริเวณหน้าท้องซึ่งจะมีลักษณะเป็นเส้นที่มีสีเข้มกว่าสีผิวจริงของคุณแม่ตรงกึ่งกลางของหน้าท้อง บริเวณหัวนมมีสีเข้มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และคุณแม่จะเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกอย่างชัดเจนแล้ว ซึ่งจะทำให้คุณแม่รู้สึกดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น อาการแพ้ท้องต่างๆจะหมดไปโดยสิ้นเชิง คุณแม่จะมีความอยากอาหารมากขึ้น ดังนั้นจงให้ความสนใจกับสิ่งที่ร่างกายคุณแม่ต้องการ์ คำแนะนำในการปฏิบัติตัวของคุณแม่
ในช่วงนี้คุณแม่อาจพบกับปัญหาของการท้องผูกและริดสีดวงทวาร อาหารว่างจำพวกผลไม้ หรือที่ทำจากธัญพืชต่างๆ จะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น เนื่องจากตอนนี้คุณแม่อาจเริ่มมีปัญหาเรื่องท้องผูก ผลไม้แห้งให้ทั้งน้ำตาล ใยอาหาร และธาตุเหล็ก (แต่ระวังพวกของหมักดองซึ่งควรละเว้น) อาหารเหล่านี้ยังให้คุณค่าสารอาหารมากกว่าอาหารว่างพวกขนมขบเคี้ยว หรือลูกกวาด
หากคุณแม่เพียงแต่ท้องผูกเนื่องมาจากลำไส้ใหญ่มีการดูดน้ำกลับจากของเสียทำให้อุจจาระแข็งตัวมากขึ้นคุณแม่จึงถ่ายอุจจาระลำบาก คุณแม่ต้องดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้น รับประทานอาหารที่มีกากหรือเส้นไยเพิ่มมากขึ้นจะช่วยให้อาการท้องผูกดีขึ้น การใช้ยาระบายจะต้องให้แพทย์สั่งเท่านั้น เนื่องมาจากยาระบายบางชนิดอาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้ แต่ถ้าคุณแม่มีปัญหาของริดสีดวงทวารร่วมด้วยจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ ริดสีดวงทวาร คือ เส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักที่โป่งพองออกจากการที่ท้องผูกแล้วเบ่งอุจจาระ เส้นเลือดที่โป่งพองออกนี้จะทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บขณะถ่ายอุจจาระซึ่งจะทำให้อาการท้องผูกนั้นรุนแรงขึ้นไปอีกด้วย อาการริดสีดวงทวารสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาและการผูกหรือผ่าตัด
เมื่อตั้งครรภ์คุณแม่อาจรู้สึกหายใจไม่เพียงพอได้เป็นบางครั้ง ไม่ต้องตกใจมันอาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากความต้องการออกซิเจนเพิ่มมากขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ คุณแม่เพียงแต่ตั้งสติและควบคุมการหายใจให้เป็นจังหวะ หายใจให้ยาวขึ้น ลึกมากขึ้นแล้วคุณแม่จะรู้สึกดีขึ้น
คุณแม่อาจพบว่าบ่อยครั้งขณะที่แปรงฟันจะมีเลือดบนแปรงสีฟัน เรื่องนี้แก้ไขได้ง่ายมากเพียงแต่เปลี่ยนมาใช้แปรงสีฟันที่อ่อนนุ่มกว่า แต่ถ้าหากคุณแม่มีปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับฟัน ควรไปพบทันตแพทย์เท่านั้น เมื่อคุณแม่ไปพบทันตแพทย์ต้องบอกคุณหมอด้วยว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ คุณหมอจะได้ให้การดูแลเป็นพิเศษ เช่น หากว่าคุณแม่จำเป็นต้อง X Ray ฟัน คุณหมอจะใช้ที่กำบังไม่ให้รังสีตกกระทบมายังท้องของคุณแม่ได้
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
มีตกขาวเหนียวข้น หากคุณแม่มีตกขาวที่เหนียวข้นมากขึ้นเหมือนในช่วงก่อนจะมีรอบเดือนไม่ต้องกังวล เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่การติดเชื้อหรือการอักเสบ ตราบใดที่ไม่มีสีผิดปกติหรือกลิ่นเหม็นผิดปกติ ตกขาวนี้อาจมีมากจนคุณแม่ต้องใช้แผ่นอนามัยเพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น แต่อย่าใช้ผ้าอนามัยแบบสอดเข้าไปในช่องคลอดเพราะจะมีการสะสมของเชื้อโรคได้
การติดเชื้อของช่องคลอด คุณแม่อาจมีการติดเชื้อในช่องคลอดได้ในขณะที่ตั้งครรภ์ ไม่วาจะเป็นแบคทีเรีย ยีสต์ หรือเชื้อรา ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เพื่อที่จะรักษาให้หายก่อนคลอด เนื่องจากการติดเชื้อที่ช่องคลอดนี้ไม่มีอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่อาจทำให้ทารกติดเชื้อได้ในระหว่างการคลอดทางช่องคลอด
คุณแม่ต้องไปพบแพทย์เมื่อมีการอักเสบ บวมแดง หรือคันบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ มีตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็นจากช่องคลอด เพื่อตรวจหาสาเหตุ แยกจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สารคัดหลั่งจากช่องคลอดจะถูกนำไปตรวจด้วย
คุณแม่จะต้องรักษาความสะอาดของร่างกายมากขึ้น และหลังจากปัสสาวะหรืออาบน้ำต้องใช้ผ้านุ่มหรือกระดาษทิชชูนุ่มๆซับบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ให้แห้งสนิท อย่าใช้แป้งโรยบริเวณนั้น และรักษาความสะอาดของชุดชั้นใน ต้องตากแดดให้แห้งสนิทก่อนใส่
แสบลิ้นปี่ (Heartburn)
เป็นอาการที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนเข้ามาในหลอดอาหาร เนื่องมาจากการที่มดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นดันกระเพาะอาหารขึ้นไป และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ทำให้กล้ามเนื้อของหลอดอาหารขยายตัว จึงมีกรดหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปได้ ซึ่งจะทำให้รู้สึกแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ และบริเวณทรวงอก
วิธีการที่จะช่วยให้อาการเหล่านี้ทุเลาทำได้โดยหลีกเลี่ยงอาหารทอด และอาหารที่มีไขมันสูง รับประทานอาหารมื้อละน้อยๆแต่บ่อยครั้ง ดื่มน้ำมากๆจะช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร และอย่ารับประทานอาหารเมื่อคุณแม่กำลังจะเข้านอน หรือกำลังจะนอนพักตอนกลางวัน การนอนในท่าที่ศีรษะสูงอาจช่วยลดอาการลงได้ และอาจจำเป็นต้องใช้ยาลดกรดตามที่แพทย์สั่ง
การตรวจต่าง ๆ
การตรวจกรองทารกที่มีโครโมโซมผิดปกติโดยวิธีการตรวจ Triple Marker
โรค Down syndrome เป็นความผิดปกติของทารกแรกคลอดซึ่งมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 ข้าง พบได้ประมาณร้อยละ 0.75 ของทารกแรกคลอดมีชีวิตทั้งหมด ซึ่งหญิงตั้งครรภ์แต่ละคนจะมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน โดยหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีจะมีอัตราเสี่ยงมากว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อยดังนี้
ช่วงอายุ (ปี) พบอัตราเสี่ยง 18-34 0.5% 35-39 1.0% 40-44 1.5% > 45 4-6%
การตรวจวินิจฉัยและการประเมินความเสี่ย
โดยทั่วไปแล้วการตรวจน้ำคร่ำยังถือเป็นวิธีที่ใช้กันอยู่ แต่เนื่องจากวิธีการเจาะน้ำคร่ำนี้อาจมีอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้จึงไม่เหมาะที่จะทำในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย โดยแพทย์จะทำการตรวจน้ำคร่ำในหญิงที่ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี หรือมีความเสี่ยงที่จะมีบุตรที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมสูงเท่านั้น
ดังนั้นปัจจุบันวิธีการตรวจคัดกรองที่จัดว่าเป็นวิธีที่ให้ความปลอดภัยสูง และมีประโยชน์ต่อหญิงตั้งครรภ์ทุกราย คือ การตรวจเลือดแม่ โดยการตรวจทางชีวเคมี ได้แก่ การตรวจ MSAFP, beta hCG และ UE3 ซึ่งจะสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ถูกต้องถึง 70% (Detection rate) วิธีนี้มีความแม่นยำสูง ที่สำคัญที่สุด คือ มีความปลอดภัยสะดวกรวดเร็ว
Triple marker ประกอบด้วยการตรวจ
1. Alpha-Fetoprotein (AFP) สามารถตรวจทารกในครรภ์ตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป และระดับ AFP ในทารกจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะสูงสุดที่อายุครรภ์ประมาณ 13 สัปดาห์ และจะเริ่มลดลงหลังจากคลอด ในขณะที่ระดับ AFP ในเลือดมารดา (MSAFP) จะตรวจพบได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 7 สัปดาห์ และจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนสูงสุดเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 28-32 สัปดาห์ ซึ่งจะตรงข้ามกับระดับ AFP ในทารกที่จะเริ่มลดลง
ปัจจัยที่มีผลต่อระดับ MSAFP ได้แก่
1.การปนเปื้อนเลือดทารกเพียงเล็กน้อย จะทำให้ค่าตรวจ MSAFP สูงเกินจริงอย่างมาก 2.น้ำหนักตัวมารดา 3.โรคเบาหวานบางชนิด 4.การตั้งครรภ์แฝด จะทำให้ระดับ MSAFP สูงขึ้นกว่า 2 เท่าของการตั้งครรภ์เดี่ยว 5.เพศทารก โดยปกติทารกเพศชายจะให้ค่า MSAFP ในเลือดมารดาสูงกว่ามีทารกเพศหญิง 6.อายุครรภ์ ควรตรวจควบคู่กับการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตร้าซาวด์) เพื่อลดผลบวกลวงและลบลวง 7.เชื้อชาติ พบว่าคนผิวดำจะมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าคนผิวขาว 10-15 % หญิงชาวตะวันออกจะมีระดับต่ำกว่าหญิงผิวขาวประมาณ 6% 2. hCG ระดับของ hCG ในเลือดมารดาจะสูงสุดที่อายุครรภ์ประมาณ 16 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะลดลงอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 2 และจะเริ่มคงที่หลัง 22 สัปดาห์ในขณะที่ระดับของ free beta hCG จะมีการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดการตั้งครรภ์และจะสูงสุดที่อายุครรภ์ประมาณ 36 สัปดาห์ ในมารดาของทารกกลุ่มอาการดาวน์ ระดับ hCG จะสูงกว่าครรภ์ปกติที่ 2 เท่า หากพิจารณาคู่กับระดับ MSAFP ในการตรวจกรองจะให้ผลถูกต้องเท่ากับร้อยละ 49 และหากพิจารณาร่วมกับอายุด้วยจะให้ผลถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็น 50%
ปัจจัยที่มีผลต่อระดับ hCG ได้แก่
◦น้ำหนักตัวมารดา หากน้ำหนักมากจะมีระดับ hCG ต่ำกว่าปกติประมาณร้อยละ 13 ◦เบาหวานชนิด IDDM ซึ่งจะมีผลให้ระดับ hCG ต่ำกว่าปกติประมาณร้อยละ 13 ◦เชื้อชาติ (race) เชื้อชาติ African-Americans and Asian-Americans จะมีระดับสูงกว่าสตรีผิวขาวประมาณร้อยละ 8-9 และร้อยละ 16 ◦การตั้งครรภ์แฝด ค่าจะสูงกว่าการตั้งครรภ์เดี่ยวประมาณ 1.8-2.4 เท่าในช่วงอายุครรภ์ระหว่าง 15-19 สัปดาห์ ◦uE3 (Unconjugate Estriol) ค่าของ uE3 ในเลือดมารดาจะเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ ในขณะที่มารดาตั้งครรภ์ทารกกลุ่มดาวน์จะพบค่าเฉลี่ยของ uE3 ในเลือดต่ำกว่าปกติประมาณร้อยละ 21
คำแนะนำในการตรวจคัดกรอง
สตรีมีครรภ์ที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี ควรได้รับการตรวจ Triple Screening เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 15-18 สัปดาห์ สำหรับสตรีที่มีอายุครรภ์ >35 ปี ควรใช้วิธีตรวจยืนยันโดยใช้วิธีตรวจน้ำคร่ำ และไม่ควรตรวจกรองเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะมีบุตรที่มีความผิดปกติสูง ทั้งนี้ วิธีการตรวจ triple screening หากตรวจร่วมกับการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตร้าซาวด์) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจให้แม่นยำยิ่งขึ้น ข้อมูลพื้นฐานของหญิงตั้งครรภ์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการตรวจ Triple marker จึงจำเป็นต้องประเมินข้อมูลของหญิงตั้งครรภ์อย่างครบถ้วนทุกครั้งที่ทำการส่งตรวจ
การเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis)
น้ำคร่ำก็คือของเหลว ใส สีเหลืองอ่อนที่อยู่ล้อมรอบทารกในครรภ์ บรรจุอยู่ในถุงน้ำคร่ำอีกทีหนึ่ง น้ำคร่ำประกอบไปด้วยน้ำ 98% และสารต่างๆอีก 2% ซึ่งจะมีเซลล์ของทารกที่หลุดออกมาปนอยู่ด้วย ทารกในครรภ์จะลอยอยู่ในน้ำคร่ำ ระหว่างที่มีการตั้งครรภ์ปริมาณน้ำคร่ำจะเพิ่มมากขึ้นตามการเจริญเติบโตของทารก เมื่อตั้งครรภ์ครบกำหนด (40 สัปดาห์) จะมีปริมาณของน้ำคร่ำประมาณ 1,000 ml. ที่ล้อมรอบทารกอยู่ น้ำคร่ำจะไหลเวียนโดยการเคลื่อนไหวตัวของทารกทุกๆ 3 ชั่วโมง
น้ำคร่ำมีหน้าที่มากมายสำหรับทารก เช่น
1.ป้องกันทารกจากการกระทบกระเทือนจากภายนอก 2.ให้อิสระในการเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อและกระดูกให้เจริญเติบโต 3.ควบคุมอุณหภูมิที่แวดล้อมทารกให้คงที่ 4.ป้องกันการสูญเสียความร้อนของทารก 5.เป็นแหล่งของน้ำที่ทารกกลืนเข้าไป 6.ทำให้ทารกมีการเจริญเติบโตและพัฒนารูปร่างสมสัดส่วนตามปกติ การมีปริมาณน้ำคร่ำมากกว่าปกติจะเรียกว่า Polyhydraminos เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นบ่อยๆ สำหรับการตั้งครรภ์แฝด หรือ อาจเกิดจากความพิการแต่กำเนิดของทารกบางอย่าง เช่น Hydrocephalus และการมีปริมาณน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติจะเรียกว่า Oligohydraminos สภาวะดังกล่าวจะเป็นสาเหตุทำให้ทารกไม่เจริญเติบโตตามปกติ
การตรวจน้ำคร่ำจะเป็นการวินิจฉัย สุขภาพของทารก ความสมบูรณ์ และเพศของทารก การเจาะเอาน้ำคร่ำออกมาตรวจเรียกว่า Amniocentesis การตรวจน้ำคร่ำสามารถบอกความผิดปกติของโครโมโซมได้ เช่น Downs syndrome ความผิดปกติของโครงสร้างของร่างกาย เช่น Spina bifida (การเปิดของสันหลัง กระดูกสันหลังไม่ปิด) และ Anencephaly (สภาวะที่สมองไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีสมอง)
การตรวจน้ำคร่ำในการตั้งครรภ์ระยะใกล้คลอดสามารถใช้วินิจฉัยปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ เช่น ปัญหาของกลุ่มเลือด หรือ การติดเชื้อ และยังช่วยบอกถึงความพร้อมของทารกว่าเติบโตเต็มที่ ปอดสมบูรณ์พอที่จะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่หากเกิดการคลอดก่อนกำหนด
โดยปกติการเจาะน้ำคร่ำจะเจาะในไตรมาสที่ 2 3 การเจาะน้ำคร่ำจะทำเวลาใดขึ้นอยู่กับเหตุผลที่ต้องการเจาะ เช่น ถ้าต้องการเจาะเพื่อตรวจความผิดปกติของโครโมโซมก็จะเจาะเมื่ออายุครรภ์ได้ 15 18 สัปดาห์เป็นต้น การเจาะน้ำคร่ำไม่ต้องงดน้ำงดอาหารก่อนทำ ก่อนเจาะ 3 4 ชั่วโมงควรดื่มน้ำมากๆเพื่อให้แน่ใจว่ามีปริมาณของน้ำคร่ำเพียงพอและไม่จำเป็นต้องให้กระเพาะปัสสาวะเต็มก่อนทำ
การเจาะน้ำคร่ำ แพทย์จะทำการตรวจครรภ์โดยจะใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์เพื่อคาดคะเนอายุครรภ์ที่แน่นอน จำนวนของทารก การเต้นของหัวใจ ท่าและตำแหน่งของทารก ตำแหน่งของรก ว่าอยู่ที่ตรงไหนเพื่อป้องกันไม่ให้เข็มแทงไปถูกทารก สายสะดือ หรือรก ก่อนเจาะแพทย์จะเตรียมผิวหนังหน้าท้องบริเวณที่จะเจาะโดยทำความสะอาดด้วยยาฆ่าเชื้อ บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ฉีดใต้ผิวหนัง แพทย์จะใช้เข็มเล็กๆ ยาวๆเจาะผ่านผนังหน้าท้อง ผ่านลงไปที่มดลูก เข้าไปในถุงน้ำคร่ำแล้วดูดเอาน้ำคร่ำปริมาณ 15 -30 ml. (1ml. / อายุครรภ์ 1 สัปดาห์) ออกมานำไปปั่นหาเซลล์ของทารกเพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมต่อไป การเจาะน้ำคร่ำใช้เวลาเพียง 2 3 นาที คุณแม่สามารถกลับบ้านได้เลย ไม่จำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาล ภายใน 12 ชั่วโมงร่างกายจะสร้างน้ำคร่ำมาทดแทนได้เหมือนเดิม การเจาะน้ำคร่ำอาจมีความรู้สึกเจ็บเหมือนถูกเข็มแทงสัก 2 -3 วินาที แต่เมื่อเข็มแทงผ่านลงไปแล้วความรู้สึกนั้นก็จะหายไป ความกลัวเข็มและเกร็งหน้าท้องขณะทำจะทำให้เจ็บมากขึ้น คุณแม่บางท่านจะมีควมรู้สึกเหมือนถูกกดบริเวณท้องน้อยขณะที่มีการดูดน้ำคร่ำออกไป หลังจากเจาะน้ำคร่ำเสร็จแล้วบางรายอาจรู้สึกเกร็งเล็กน้อย การนอนพักสักระยะจะทำให้ดีขึ้น ผลการตรวจจะทราบภายใน 2 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของเซลล์ และขั้นตอนในห้องปฏิบัติการ
Create Date : 30 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2553 11:33:45 น. |
|
2 comments
|
Counter : 913 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: supergaye วันที่: 3 สิงหาคม 2553 เวลา:14:16:49 น. |
|
|
|
| |
|
|
DR.TONGTIS |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978. M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980. Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983. Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland. Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK. Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
|
|
|