|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
10 พฤษภาคม 2554
|
|
|
|
ผลข้างเคียง และความเสี่ยง ของการตั้งครรภ์โดยไข่บริจาค
ผลข้างเคียง และความเสี่ยง ของการตั้งครรภ์โดยไข่บริจาค ปัจจุบันนี้ผู้หญิงตั้งครรภ์อายุเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าในอดีตมาก เพราะสิ่งแวดล้อมและภาวะทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้นและเลยวัยเจริญพันธุ์ไปแล้ว แต่ยังอยากมีลูก อาจพบปัญหาการมีบุตรยาก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ไม่มีไข่ตก หรือรังไข่ล้มเหลวไม่สามารถผลิตเซลล์ไข่ได้ ผู้หญิงส่วนหนึ่งสามารถตั้งครรภ์ได้หากยอมรับไข่บริจาค โดยแพทย์จะนำเซลล์ไข่ที่ได้มาจากการบริจาคมาผสมกับอสุจิของสามีและเพาะเลี้ยงตัวอ่อนไว้ภายนอกร่างกายนาน 5 วัน จนตัวอ่อนเจริญเติบโตถึงระยะฝังตัว หรือระยะบลาสโตซิสท์ ก็จะนำตัวอ่อนนั้นใส่กลับเข้าไปในโพรงมดลูกให้ ตัวอ่อนจะสามารถฝังตัวและเกิดเป็นการตั้งครรภ์ต่อไปได้ การใช้ไข่บริจาคนั้น สามารถคัดเลือกลักษณะของผู้บริจาคและผู้รับบริจาคให้ใกล้เคียงกัน เพื่อที่ทารกที่เกิดมา จะได้มีลักษณะใกล้เคียงกับคุณแม่มากที่สุด เช่น ควรมีเชื้อชาติเดียวกัน สีผม สีผิว สีตา ใกล้เคียงกันมากที่สุด อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือกลุ่มเลือด ควรจะมีกลุ่มเลือดเดียวกัน เพื่อลดปัญหาทางสังคมที่อาจเกิดขึ้น เพราะคงเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกนักหากคุณแม่ต้องคอยตอบคำถามว่าเหตุใด ลูกจึงมีกลุ่มเลือดแตกต่างจากคุณพ่อคุณแม่ นอกจากการคัดเลือกลักษณะที่เหมาะสมแล้ว ผู้บริจาคจะได้รับการตรวจเลือด และคัดกรองโรคติดต่อเช่นเดียวกับการบริจาคเลือด และจะถูกคัดกรองโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาก่อนแล้ว เพื่อป้องกันโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปสู่ทารก เช่นโรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น เป็นเวลายาวนานว่า 25 ปีแล้วที่ได้มีการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยการใช้ไข่บริจาค แต่ไม่มีรายงานที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การใช้ไข่บริจาคส่งผลต่อสุขภาพของแม่ตั้งครรภ์ ไม่ว่าไข่ที่ได้มา จะมาจากผู้หญิงที่มีกลุ่มเลือดใดๆ หรือมีเชื้อชาติ หรือพันธุกรรมที่แตกต่างกับผู้รับบริจาค แต่เมื่อเร็วๆนี้ Dr. Ulrich Pecks, Deutsches Aerzteblatt International ประเทศเยอรมัน ได้นำเสนอการประเมินผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์โดยการรับไข่บริจาค ในระยะเวลา 4 ปี พบว่า หญิงตั้งครรภ์ด้วยไข่บริจาคจำนวน 8 รายมีการพัฒนาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ และ 3 รายในจำนวนนี้จำเป็นต้องให้สิ้นสุดการตั้งครรภ์ก่อนกำหนด เนื่องจากเป็นความเสี่ยงต่อชีวิตของคุณแม่ และอีก 5 รายที่เหลือมีความดันโลหิตสูงในระดับปานกลาง Dr. Ulrich Pecks จึงเห็นว่าควรจัดกลุ่มคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ด้วยการใช้ไข่บริจากเป็นกลุ่มที่มีการตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูง เพื่อที่ทีมสุขภาพจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวังป้องกันได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ด้วยไข่บริจาคส่วนมากเป็นผู้หญิงที่มีอายุมากแล้ว ดังนั้นเมื่อตั้งครรภ์ตอนอายุมากจึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อยู่แล้วและควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมสุขภาพ
Create Date : 10 พฤษภาคม 2554 |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2554 11:20:15 น. |
|
1 comments
|
Counter : 543 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
DR.TONGTIS |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978. M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980. Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983. Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland. Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK. Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
|
|
|
สุขภาพ
การดูแลสุขภาพ
อาหารเพื่อสุขภาพ
ออกกำลังกาย
สุขภาพผู้หญิง
สุขภาพผู้ชาย
สุขภาพจิต
โรคและการป้องกัน
สมุนไพรไทย
ผู้หญิง
ศัลยกรรม
ความสวยความงาม
แม่ตั้งครรภ์
ทารกแรกเกิด
เด็ก
ครอบครัว