|
13 สิงหาคม 2553
|
|
|
|
กิฟท์ (GIFT)
ปัจจุบันการรักษาภาวะมีบุตรยากได้ก้าวหน้าไปมาก เพียงแต่วิธีการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงยังเกิดขึ้นในวงจำกัด แพทย์และนักวิทยาศาสตร์พยายามหาหนทางที่จะพัฒนารูปแบบของการรักษาให้ใกล้เคียงกับที่เกิดขึ้นในธรรมชาติมากที่สุดและพยายามลดสิ่งรบกวนจากภายนอกลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ปัจจุบันเราสามารถทำการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (IVF) แล้วเพาะเลี้ยงตัวอ่อนไว้ภายนอกจนถึงระยะที่พร้อมจะฝังตัว แล้วจึงย้ายตัวอ่อนกลับคืนสู่โพรงมดลูกของแม่ได้ ซึ่งทำให้แนวทางในการรักษาภาวะมีบุตรยากในปัจจุบันนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงไปและมีอัตราความสำเร็จสูงขึ้นมาก แต่ยังคงพบว่าบางแห่งมีปัญหาความไม่สเถียรของระบบการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนไว้ภายนอกร่างกาย และผลจากการเพาะเลี้ยงต่อความอยู่รอดและการเจริญเติบโตของเซลล์สืบพันธุ์อันได้แก่ไข่และอสุจิ ผลต่อตัวอ่อนและการตั้งครรภ์ การพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนภายนอกร่างกาย (IVF) ในระยะแรกนั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยกลุ่มที่มีปัญหาของท่อนำไข่ซึ่งทำให้ผู้ป่วยในอดีตตกอยู่ในสถานะเป็นหมันนั้นสามารถกลับมามีบุตรได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจุบันสถาบันที่ให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากทั่วโลกจะได้มีการพัฒนาวิธีการรักษาและให้บริการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (IVF) เพิ่มมากขึ้นและมีการพัฒนาการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนได้จนถึงระยะฝังตัวหรือระยะ Blastocyst แต่บางสถาบันซึ่งอาจยังไม่สามารถให้บริการด้วยวิธีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (IVF) หรืออาจยังไม่สามารถพัฒนาผลการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนให้เกิดอัตราความสำเร็จที่คงที่ได้
ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งซึ่งยังมีท่อนำไข่ที่ใช้งานได้อย่างน้อยหนึ่งข้าง น่าจะได้รับประโยชน์มากกว่าจากการรักษาด้วยการนำเอา Gamete หรือเซลล์สืบพันธุ์ทั้งของฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ซึ่งก็คือไข่และอสุจิ ใส่เข้าไปในท่อนำไข่ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้นในธรรมชาติ หลังจากนั้นหากไข่และอสุจิสามารถปฏิสนธิกันได้ก็จะมีการเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนและเดินทางมาฝังตัวในโพรงมดลูก และเกิดเป็นการตั้งครรภ์ในที่สุด ซึ่งวิธีการดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า GIFT (กิฟท์) ซึ่งเป็นชื่อย่อมาจาก Gamete IntraFallopian tube Transfer ผู้ที่นำเทคนิคนี้มาใช้จนเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปคือ Ricardo H. Asch จากสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่การใส่ไข่ที่ถูกปกฺสนธิเรียบร้อยแล้วเข้าไปยังท่อนำไข่ ซึ่งเรียกว่า ZIFT (ซิฟท์) ซึ่งเป็นชื่อย่อมาจาก Zygote IntraFallopian tube Transfer นั้น ผู้ซึ่งพัฒนาวิธีการนี้มาใช้ในระยะแรกๆคือ Paul Devroey และคณะ จากเบลเยี่ยม ปัจจุบันนั้น ZIFT ครอบคลุมศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายถึงวิธีการที่คล้ายคลึงกันที่เคยใช้ในอดีตเช่น ProST, TET, TEST, และ SET
Gamete Intra Fallopian tube Transfer: GIFT ข้อบ่งชี้ ผู้ที่มีข้อบ่งชี้ที่เหมาะสมในการทำ GIFT คือผู้ป่วยที่ประสบกับภาวะมีบุตรยากที่อธิบายสาเหตุไม่ได้และผู้ป่วยที่มีสาเหตุของภาวะมีบุตรยากหลายกรณี เช่นเป็น Endometriosis หรือไม่ประสบความสำเร็จในการรักษาด้วยวิธีฉีดเชื้อ ฝ่ายหญิงอายุมาก และมีผังผืดในอุ้งเชิงกรานเป็นต้น ยกเว้นผู้มีท่อนำไข่อุดตันทั้งสองข้างจะไม่สามารถทำการรักษาด้วยวิธีการนี้ได้ และเนื่องจากยังมีโอกาสที่ผู้มีบุตรยากกรณีที่อธิบายสาเหตุไม่ได้จะมีความผิดปกติของกระบวนการในการเจริญพันธุ์บางประการ ซึ่งเมื่อได้รับการช่วยเหลือการเจริญพันธุ์แล้วพบว่าได้ผลลัพท์ที่น่าพึงพอใจ นอกจากนี้ยังเห็นได้ชัดว่าการช่วยให้มีการตกไข่คราวละหลายใบ และการนำเซลล์สืบพันธุ์ไปวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมภายในท่อนำไข่นั้น เพียงพอต่อการเอาชนะอุปสรรคนานาประการในแต่ละคู่ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการรักษาด้วย GIFT แม้ว่าจะยังคงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่กระจ่างชัดเกี่ยวกับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) แต่ความเป็นจริงซึ่งพบว่าการทำ GIFT ประสบความสำเร็จในกลุ่มผู้ป่วยจำเพาะซึ่งมีท่อนำไข่ที่ใช้งานได้อย่างน้อยหนึ่งข้างนั้น ยืนยันความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างภาวะมีบุตรยากและเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ GIFT เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วในการนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยซึ่งมีปัญหาภาวะมีบุตรยากในฝ่ายชายระดับหนึ่ง ผลการรักษาที่ได้แตกต่างกันจากหลายสถาบัน แต่เนื่องจากการที่มีการพัฒนาวิธีช่วยปฏิสนธิ (ICSI) ขึ้นมาได้ ปัญหาการมีบุตรยากในฝ่ายชายจึงไม่เป็นข้อบ่งชี้ในการทำ GIFT อีกต่อไป การทำ GIFT ในกลุ่มของผู่ป่วยที่ท่อนำไข่ไม่อุดตันแต่มีพังผืดในอุ้งเชิงกรานเล็กน้อย พบว่ามีอุบัติการณ์ของการตั้งครรภ์นอกมดลูกค่อนข้างสูง (14.3 33%) เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่มีพังผืดในอุ้งเชิงกราน (4 5%) ทั้งนี้เนื่องจากอาจมีพยาธิสภาพเกิดขึ้นภายในท่อนำไข่ในผู้ป่วยกลุ่มที่มีพังผืดในอุ้งเชิงกราน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกระทำอย่างระมัดระวังในการการรักษาด้วยวิธี GIFT ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ภาวะมีบุตรยากที่มีสาเหตุจากภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวอสุจิในระบบสืบพันธุ์ฝ่ายหญิงนั้นอาจไม่ให้ผลสำเร็จสูงสุดได้หากทำการรักษาได้ด้วย GIFT เนื่องจากการรบกวนเช่นเดียวกันที่เกิดขึ้นในการปฏิสนธิตามธรรมชาติ ยังคงเกิดขึ้นได้หลังจากที่มีการย้ายอสุจิและเซลล์ไข่เข้าไปในท่อนำไข่แล้ว ด้วยเหตุนี้ การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (IVF) หรือ การช่วยปฏิสนธิ (ICSI) จึงน่าจะเป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมมากว่าสำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวอสุจิเช่นนี้ เนื่องจากแพทย์จะสามารถสังเกตและบันทึกความสามารถในการปฏิสนธิของอสุจิจากผู้ป่วยเหล่านี้ได้ด้วย
Create Date : 13 สิงหาคม 2553 |
|
1 comments |
Last Update : 13 สิงหาคม 2553 14:28:13 น. |
Counter : 1056 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
DR.TONGTIS |
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
B.Sc. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1974-1978. M.D. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1979-1980. Diploma Board of Obstetrics and Gynecology. Chulalongkorn University, Bangkok Thailand 1981-1983. Postdocteral Fellow Training. Queen's Mother Hospital, Glasgow Scotland. Postdocteral Fellow Training.King's College Hospital, London. UK. Postdocteral Fellow Training. Department of Obstetrics and Gynecology and Department of Radiology. John Hopkins Hospital, John Hopkins University.
|
|
|
สุขภาพ
การดูแลสุขภาพ
อาหารเพื่อสุขภาพ
ออกกำลังกาย
สุขภาพผู้หญิง
สุขภาพผู้ชาย
สุขภาพจิต
โรคและการป้องกัน
สมุนไพรไทย
ผู้หญิง
ศัลยกรรม
ความสวยความงาม
แม่ตั้งครรภ์
ทารกแรกเกิด
เด็ก
ครอบครัว