Stop This World บทเพลงแรกในอัลบัม The Girl In The Other Room สตูดิโออัลบัมชุดที่ 7 อันเป็นชุดล่าสุดของไดแอนา ครอล นักเปียโนและนักร้องเสียงนุ่มชาวแคนาเดียน..... ซึ่งจะเปลี่ยนความรู้สึกของคุณที่มีต่อเธอไปโดยปริยาย เธอผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในหญิงสาวในฝันของผู้ชายมากมายบนโลกนี้ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั่วโลกต่างลงความเห็นว่า เธอนั้นเซ็กซี่ แต่เป็นความเซ็กซี่ที่ซ่อนเร้นอยู่ในน้ำเสียงที่ชวนหัวใจละลาย เหมือนอย่างแคธลีน เทอร์เนอร์ (ถึงแม้หญิงสาวค่อนโลกจะบอก (อย่างอิจฉา) ว่า อุ๊ย เสียงของเธอนั้นหรือช่างเย็นชา ) และคงปฏิเสธไม่ได้เต็มปากเสียทีเดียวว่า ความสำเร็จในปัจจุบัน มีส่วนมาจากบุคลิกชวนฝันของเธอด้วย ไม่ว่าจะเป็นผมสีบลอนด์ทอง นัยน์ตาสีเขียวมรกต แต่เอาเถอะนะ หากปราศจากดนตรีที่ดีแล้ว ไม่ว่าจะชวนฝันแค่ไหน ก็คงอยู่ไม่รอดแน่นอน
The Girl In The Other Room ยังเป็นอัลบัมแรกในชีวิตการเป็นศิลปินของครอลที่ลงมือเขียนเพลงด้วยตัวเอง นอกจากการนำเพลงสแตนดาร์ดมาเรียบเรียงใหม่เหมือนอย่างในอัลบัมที่ผ่านๆ มาถึงแม้เธอจะเคยกล่าวเอาไว้ว่า
ทางหนุ่มใหญ่เองก็ไม่ธรรมดา ผลงานอัลบัม When I Was Cruel ของคอสเตลโลยังชวนให้แฟนเพลงฉงนฉงายถึงหญิงสาวที่ได้รับการกล่าวถึงในเนื้อเพลงอย่าง did her green eyes seduce you/and make u get so weak? ในเพลง Episode of Blonde แลดูอะไรๆ ก็สอดคล้องกับบุคลิกของครอลเสียหมดเลยสิเนี่ย แถมตอนที่เธอไปเปิดคอนเสิร์ตที่ซิดนีย์ โอเปรา เฮาส์ คอสเตลโลก็ยังอุตส่าห์ควงภรรยาไปดูด้วยซ้ำ และแล้ว ชีวิตแต่งงานของคอสเตลโลและโอริออร์แดนก็ล่มลงหลังจากนั้นไม่ถึงสองเดือน
เมื่อหัวใจดวงเปลี่ยวมาเจอกันเข้าอีกครั้ง ทั้งสองคนจึงเริ่มเป็นที่จับตามองของแวดวงการเพลงไปด้วยประการฉะนี้ สื่อมวลเริ่มประโคมข่าวของคู่นักดนตรีหนุ่มสาวคู่นี้เมื่อทั้งคู่ถูกพบที่ภัตตาคารในนิวยอร์กเดินจูงมือกันแน่นแฟ้น จากนั้นทั้งสองได้มีโอกาสขึ้นเวทีร่วมกันที่โอลด์วิก เธียเตอร์ในลอนดอน คอสเตลโลร้องเพลงของป้าเอลตัน จอห์น Sorry Seems To Be The Hardest Word ส่วนครอลเล่นเปียโน เมื่อครบรอบหนึ่งปีของการพบกัน พวกเขาก็ประกาศตัวเป็นคู่รักต่อสาธารณชน
พ่อของครอลออกมาประกาศถึงการหมั้ นหมายของทั้งคู่ ยิ่งตอกย้ำสถานภาพให้จริงจังมากยิ่งขึ้น แต่ก็หามีข่าวใดๆ ออกจากปากทั้งคู่ไม่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน คอสเตลโลออกอัลบัมเพลงกึ่งแจ๊ซ North ภายใต้สังกัดเด็กกา พร้อมกับนัยในบทเพลงที่ว่า Theres nothing to stop me now/Im heading North.
ถึงแม้อัลบัมนี้จะได้รับความนิยมมากมายก็ตาม แต่ก็ยังไม่ใช่อัลบัมสำคัญที่ครอลได้สร้างไว้ให้แก่วงการแจ๊ซเท่า All For You
แล้วความชอบในศิลปินรุ่นใหญ่อย่างสิเนตรา ก็ส่งผลให้กับครอลในอัลบัม When I Look In Your Eyes ซึ่งเธอได้มาร่วมงานกับจอห์นนี แมนเดล อะเรนเจอร์ที่เคยทำงานกับสิเนตราในชุด Ring-A-Ding-Ding และเขียนเพลงประกอบภาพยนตร์ M*A*S*H นอกจากนั้นยังทำงานร่วมกับเบ็นเน็ต, บาร์บรา สตรัยแซนด์ เขาเป็นนักอะเรนจ์มือหนึ่งทีเดียว ครอลเคยบอกไว้ เพื่อนเก่าอย่างเคลย์ตันและแฮมิลตันก็กลับมาร่วมงานด้วยกันอีก ในขณะที่มาโลนก็ยังคงอยู่เช่นเดิม เพลง Devil May Care ของครอลในชุดนี้ ได้รับเกียรติ จากโฆษณาชิ้นหนึ่งในบ้านเรานำไปใช้เสียด้วย อัลบัมนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเธอในการผสานตัวเองเข้ากับวงออร์เคสตรา
อัลบัมถัดมา The Look Of Love เป็นครั้งแรกที่เธอทำดนตรีในแบบผสมออร์เคสตรอล และแน่นอน เป็นอัลบัมที่น่าผิดหวังที่สุดของครอลเท่าที่เคยได้สัมผัสมาก็ว่าได้ เริ่มต้นตั้งแต่ปกอัลบัมที่ฝ่ายการตลาดวางเธอไว้ในจุดของดารานางแบบที่ขายรูปลักษณ์มากเกินไป ไม่ใช่นักดนตรีเสียอย่างนั้น อีกทั้งภาคดนตรีที่ออกไปทาง Easy Listening เสียมากกว่า แม้ว่าจะเป็นอัลบัมที่ประสบความสำเร็จในแง่ยอดขาย มีการนำมารีแพ็กเกจกันไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันของญี่ปุ่น (เจ้าแห่งการรีแพ็กเกจ) มีเพลงแถมอีกหกเพลง และเวอร์ชันออสซี ที่มีเพลงแถมห้าเพลงด้วยกัน แต่แง่คำวิจารณ์แล้ว ครอลเสียรังวัดไปมากทีเดียว ถึงแม้จะมีข่าวออกมาว่าเธอไม่ค่อยจะชอบการตลาดแบบนี้เท่าไรนัก แต่แฟนเพลงแจ๊ซของเธอก็ต้องเดือดร้อนขุดอัลบัมเก่าๆ ขึ้นมาฟังแก้พื้นเสียเป็นการชั่วคราว แต่อย่างไรก็ตาม ครอลกลับมาคืนบัลลังก์อย่างสง่างามกับอัลบัม Live In Paris หากแต่คราวนี้หน้าปกอัลบัมไร้แรงดึงดูดทางการตลาดอย่างสิ้นเชิง บทเพลงสแตนดาร์ดคัดสรรทั้งสิบสองเพลง ได้รับการเรียบเรียงและวางจังหวะจะโคนในการสอดแทรกท่อนอิมโพรไวส์เป็นอย่างดี ส่วนไซด์แมนแต่ละคนนั้นนามอุโฆษแทบทั้งสิ้น แต่งานนี้ไม่มีมาโลนมาเล่นกีตาร์ กลายเป็นแอนโธนี วิลสันแทน และวิลสันก็ได้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างแก่แฟนเพลงชาวไทยมากขึ้นก็ด้วยอานิสงส์จากอัลบัมนี้แท้ๆ ทีเดียว
เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา ครอลออกผลงานชุดใหม่เอี่ยมต่อจาก The Look Of Love หลังจากที่เธอเข้าห้องหอกับคอสเตลโลได้เพียง 3-4 เดือน และไม่ใช่แค่ครอลเท่านั้นที่มีอิทธิพลกับงานดนตรีของสามีเธอ แต่คอสเตลโลเองก็มีอิทธิพลต่อความคิดในการทำงานของเธอไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น The Girl In The Other Room จึงเป็นผลงานแรกในชีวิตของเธอที่ลงมือเขียนเนื้อเขียนทำนองเอง รวมทั้งคอสเตลโลก็มีส่วนช่วยภรรยาสาวในการเขียนเพลงถึงเจ็ดเพลงด้วยกัน โดยครอลจะรับหน้าที่เขียนทำนอง ส่วนเนื้อร้องนั้นเธอจะเป็นผู้ให้แค่ไอเดียที่อยากได้ แล้วจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของคอสเตลโล ซึ่งทั้งหมดก็มาจากการพูดคุยกันของทั้งสองคนเกี่ยวกับชีวิตของครอล ความตายของแม่และสิ่งที่เธอประสบมาทั้งหมดในชีวิต
ก่อนหน้านี้ในอัลบัมชุด Steppin Out เธอได้แต่งเพลงอุทิศให้กับโรลส์ในเพลง Jimmie ด้วย
Love Me Like A Man เพลงกลิ่นอายบลูส์ที่บอนนี เรตดัดแปลงมาแล้วก่อนที่ครอลจะเอามาคัฟเวอร์ต่ออีกรอบ เป็นบลูส์แจ๊ซ ที่แอนโธนี วิลสันได้โชว์ฝีมือกีตาร์ที่เก่งกาจของตัวเองด้วย แน่นอน ครอลเองก็ท้าให้พวกเราได้ฟังเธอร้องเพลงกลิ่นอายบลูส์เช่นกัน
ครอลถึงกับอยู่แต่ในบ้านเพื่อฟังอัลบัมของมิตเชลอย่าง For The Rose, Blue, Hissing Of Summers Lawn และ Heijira แล้วก็เข้าถึงการเขียนเนื้อของมิตเชลที่มีต่อสิ่งรอบตัว "ฉันจึงเข้าใจว่าโจนีเขียนเนื้อเพลงจากมุมมองของคนแคนาเดียนแถบเวสต์โคสต์จริงๆ"
แต่การฟังอัลบัม The Girl In The Other Room ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าคุณยังไม่ได้ฟังสองเพลงท้ายอัลบัม ที่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ Narrow Daylight กับ Departure Bay ซึ่งเป็นเพลงที่เธอแต่งร่วมกับคอสเตลโล
Narrow Daylight เพลงแจ๊ซจังหวะกินใจที่จะทำให้คุณล่องลอยไปกับเสียงทุ้มๆ ของครอล ความแปลกของมันก็คือความยาวของวลีที่แปลกหู ทำให้ดูเหมือนมันจะไม่สมบูรณ์นั่นเอง เนื้อร้องท่อนตรงกลางจะทำให้ความโศกเศร้าของคุณอันตรธานไปในบัดดล Although deep down I wished it would rain,Washing away all the sadness and tears,That will never fall so heavily again.
แต่ขณะเดียวกันก็ซ่อนไว้ด้วยความหม่นเศร้า เข้ากับเสียงร้องของครอล Narrow daylight entered my room.Shining hours were brief. Winter is over. Summer is near. Are we stronger than we believe?
Departure Boy คือเพลงปิดท้ายอัลบัม เป็นเพลงบัลลาดที่เอ่ยถึงท่าเทียบเรือเฟอรีที่นาเนโม บ้านเกิดของครอล ที่ซึ่งเธอกระโดดโลดเต้นเล่นตามประสาเด็กอยู่บนเนินหิน ได้ยินเสียงเรือยนต์ไกลๆ และเป็นที่ซึ่งเธอเติบโตมาเพื่อรอวันก้าวเข้าสู่โลกอันกว้างใหญ่ แล้วตอนนี้ล่ะ? เธอบอกว่า I just get home and then I leave again. Its a long ago and far away.Now were skimming stones and exchanging rings, and scattering and sailing from Departure Bay แต่แล้วเนื้อเพลงก็กระหวัดเข้าสู่เรื่องราวของแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว Last year we were laughing, we sang in church beautifully. Now her perfumes on the bathroom counter. And Im sitting in the back pew crying.
มันอาจจะเป็นการปิดอัลบัมที่ค่อนข้างจะหดหู่ไปสักหน่อย หากว่ามันไม่ได้มี Im Coming Through แทรกเข้ามา Department Bay ซึ่งก็เป็นผลงานการเขียนของทั้งคู่อีกเหมือนกัน Only the love you gave to me will save me, I think she knew. วิลสันได้โชว์ฝีมือกีตาร์ของเขาอีกคำรบอย่างโดดเด่นในเพลงนี้
"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs