ตะพาบ กม.44 ใน(หลาย)คืน...ที่นอนไม่หลับ
โจทย์ประจำกิโลเมตรที่ 44 นี้ เป็นโจทย์จากคุณเป็ดสวรรค์ นั่นก็คือ
ในคืนที่ฉันนอนไม่หลับ
เราคงเคยนอนไม่หลับกันใช่ไหมครับ แต่ละครั้งคงจะมีเหตุผลที่นอนไม่หลับ
งานนี้ จะแต่งเป็นเรื่องสั้น ที่ตัวละครนอนไม่หลับก็ได้ครับ ไม่ว่ากัน
จะเขียนแนวธรรมะแบบปอป้า ถึงสาเหตุแห่งการนอนไม่หลับ กรรมแบบไหนที่ส่งผลแบบนี้
อันนั้นก็ได้ ตามถนัด
ชาวดาวมังคี้ของคุณเศษเสี้ยว มีอาการนอนไม่หลับบ้างไหม?
อันนี้ ก็ต้องคอยติดตามกัน . . . . .
ในคืนที่...นอนไม่หลับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ..ไม่นานเท่าไหร่
ผมยังคงจำการตื่นคร้ังสุดท้ายของผมได้อย่างแม่นยำ...
ผมตื่นขึ้นในห้องนอนชั้นสอง ลมที่พัดเอื่อยๆเข้ามาทางหน้าต่างที่ส่งเสียงเสียงเอี๊ยดแอ๊ดเบาๆ แสงแดดอ่อนๆทำให้เห็นฝุ่นลอยฟุ้งไปมาในอากาศ เพดานที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์เรืองแสงแต่ไม่เรืองแสง รูปดาว พระจันทร์เสี้ยวและดาวหาง กลิ่นอับเล็กๆ ของหมอนและผ้าห่มที่กองอยู่ที่เท้า ที่นอนสปริงที่พร้อมจะยวบยาบ..ยวบยาบเวลาขยับตัวเพราะหมดอายุขัย ความรู้สึกเหนียวตัวนิดๆจากเหงื่อที่ซึมออกมาทั่วร่างกาย พัดลมที่ปรับความแรงสูงสุดซึ่งทำได้เพียงหมุนหมุนและหมุนเพียงแผ่วเบา
จะเอาอะไรมากมายกับพัดลมราคาถูกๆอย่างนี้ ผมบอกตัวเองเบาๆขณะที่ลุกขึ้นมานั่งและบิดตัวที่เมื่อยล้าไปมา อาการปวดกลางหลังนิดๆจากที่นอนที่เสื่อมคุณภาพค่อยๆคลายออกคลายออก หลังใช้เวลาในการยืดเส้นยืดสายและบิดตัวประมาณห้านาที
ความรู้สึกดีๆเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นจากการตื่นนอนครั้งนั้นคือ "ความสดชื่น" จากการได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม...
และความรู้สึกสดชื่นนี้เองที่ผมห่างหายจากมันมาร่วมๆเจ็ดร้อยวันหรือเกือบสองปีนั่นเอง
ครับ...นับจากการตื่นครั้งล่าสุดเมื่อเกือบสองปีที่แล้วผมยังไม่ได้หลับเลยแม้แต่วินาทีเดียว...
น่าแปลกไหมครับที่คนเราอดนอนได้นานถึงขนาดนี้โดยไม่เป็นอะไรเลย โดยปกติแล้วร่างกายคนเรามักจะมีขีดจำกัดและเมื่อถึงภาวะอันตรายเมื่อไหร่ร่างกายเราจะส่งสัญญาณเตือนเบาๆตั้งแต่เหนื่อย เพลีย ปวด จนถึงรุนแรงเช่น สลบ ชัก หรือช็อค เพื่อปรับสมดุลต่างๆของในร่างกายให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
แต่กับร่างกายของผมแล้วคล้ายกับว่ามันจงใจ ข้ามขั้นตอนดังกล่าว ชะลอไม่ให้มาถึง แกล้งทำเป็นลืมไปว่ามีขั้นตอนนี้ หรืออะไรก็ตามทีผลปรากฎว่าผมซึ่งไม่ได้ตื่นจากการหลับมาเป็นเวลายาวนานมากกลับมีร่างกายที่ปกติดี ไม่มีความอ่อนล้าใดๆให้เห็นเลย ยกเว้นเพียงอย่างเดียวที่หายไปนั่นคือ ความสดชื่น...
และขอสารภาพตรงๆผมคิดถึงมันแทบตายแล้ว!!
ช่วงแรกๆของการไม่ได้ตื่นจากการหลับ กลางคืนผมขนหนังดีวีดีที่ซื้อสะสมไว้แต่ไม่มีเวลาดูมากองใหญ่ๆและนั่งเพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่เพิ่มขึ้นมาพิเศษ ผมทั้งนั่งดู นอนดู ยืนดูและเดินดู(แต่ยังไม่ถึงกับวิ่งดู เพราะลองแล้วอ่านซับภาษาไทยไม่ทัน...) จนหนังที่มีอยู่นั้นหมดคลังไปก็ยังไม่สามารถนอนได้ในช่วงกลางคืน จากนั้นผมก็นำหนังสือที่ซื้อเก็บเอาไว้เยอะยิ่งกว่าหนังทั้งหลาย ออกมาจากกรุและเริ่มต้นอ่านทีละเล่มทีละเล่มอย่างเมามันส์ ผมทั้งนั่งอ่าน นอนอ่าน ยืนอ่านและเดินอ่าน(ไม่ได้วิ่งอ่านเพราะ..ลองแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง...) เป็นเหมือนเดิมครับผมยังคงไม่ง่วงและไม่สามารถนอนหลับในเวลากลางคืนได้ ผมผ่านคืนแรกๆเหล่านั้นมาได้อย่างสนุกสนานเพราะมีกิจกรรมสนุกๆทำมากมาย จนเมื่อทั้งหนังและหนังสือหมดเกลี้ยงบ้าน ผมก็ลังเลกับการซื้อของเหล่านี้เข้าบ้านอีก ถ้าผมยังไม่สามารถนอนได้อีกล่ะ คงเปล่าประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ และผมผ่านเรื่องเล่นอินเตอร์เน็ตไปเพราะผมเกลียดการนั่งเฉยๆหน้าจอสี่เหลี่ยมเป็นเวลาหลายต่อหลายชั่วโมงหากผมสามารถเดินหรือวิ่งเล่นอินเตอร์เน็ตไปด้วยได้นั่นอาจจะน่าสนใจขึ้นบ้าง
ยังดีอยู่บ้างที่ผมอยู่ตัวคนเดียวไม่มีลูกเมียให้ต้องมากังวลซึ่งกันและกันหากผมจะไม่นอนและทำกิจกรรมบ้าๆบอๆก็ไม่ได้ไปรบกวนใครเท่าไหร่นัก แต่จริงๆแล้วหลายๆครั้งผมก็เหมือนรู้สึกว่าผมอยากจะมีครอบครัวจริงๆครับในสถาณการ์ณเช่นนี้
และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว...
สองเดือนผ่านไป ผมเริ่มกินยานอนหลับทุกชนิด สามเดือนผ่านไป ผมออกกำลังกายให้เหงื่อออกเยอะๆ ห้าเดือนผ่านไป ผมนั่งสมาธิสวดมนต์ทั้งคืนจนถึงเช้า เจ็ดเดือนผ่านไป ผมเริ่มกินเหล้าหนักให้เมา..อ๊วก..แล้วก็กินต่อจนเมา..อ๊วก..เมา..อ๊วก..เมา..
แต่ไม่มีวิธีไหนเลยที่ร่ายกายผมตอบสนองและนอนหลับลงได้
ผมก็แค่อยากตื่นอีกครั้ง!!
และในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายหลังจากปฏิเสธวิธีนี้มาตลอดทั้งๆที่ควรจะเป็นวิธีแรก เพราะ
ผมกลัวหมอมากๆจนคิดว่าน่าจะเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งเลยทีเดียว ทุกครั้งที่เจอหมอผมจะ หายใจไม่ค่อยออก ก้มหน้า มือกำแน่นจนม่วงคล้ำ เท้าจิกพื้น หูอื้อไปหมด การตรวจครั้งแรกๆจึงเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก และที่สำคัญที่สุดหมอไม่เชื่อผมแม้แต่นิดเดียวว่าผมไม่ได้นอนเลยมาเกือบแปดเดือนแล้ว...
หลังจากการยืนยันอย่างสุภาพและหนักแน่นหลายต่อหลายครั้งของผม(ผมคิดว่าเพราะเหตุนี้)หมอจึงรับตรวจผมอย่างละเอียดอีกครั้งและได้ปรับเปลี่ยนวิธีการตรวจร่างกายและการถามตอบกับหมอซึ่งผมทำได้ไม่ดีเลยเป็นให้พยาบาลสาวมาทำการตรวจแทนโดยหมอจะคุยทางโทรศัทพ์กับพยาบาล
ผมจึงได้รับการเข้ารักษาโดยพยาบาลสาว(หมอ)ได้ส่งตัวผมมาอยู่ที่สถานพักฟื้นอันร่มรื่นที่มีต้นไม้ใหญ่มากมายแห่งหนึ่ง มีกิจกรรมต่างๆมากมายให้ผมทำ พยาบาลสาว(คนใหม่)พยายามหาโปรแกรมการรักษาหลายๆแบบให้ผมลองทดสอบซึ่งหากตัดผลลัพธํไปแล้วผมก็ว่าสนุกดี และที่นี่ทำให้ผมรู้ว่ามีคนอีกไม่น้อยที่เป็นโรคประหลาดๆคล้ายกับผม หลายคนนั้นเป็นหนักกว่าผมอีกเช่น ไม่พูดไม่จาเลยกับใครเลย บางคนสายตาเหม่อลอยแต่ตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน บางคนพูดคนเดียวเพราะไม่สามารถหยุดพูดได้ บางคนต้องเอามืออุดหูและส่ายหัวไปมาตลอดเวลาเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างไม่หยุด บางคนไม่สามารถหยุดเดินได้ต้องเดินตลอดเวลาแม้เวลาหลับ!
แต่แล้วเวลาผ่านไปอีกปีกว่าๆผมก็ยังไม่ได้ตื่น...สักที
และนี่คือวิธีล่าสุดที่พยาบาลสาว(หมอ)ให้ผมลองทำดู คือให้ลองเขียนความเรียงบอกเล่าความเป็นมาของอาการในแบบที่ผมอยากเล่าลงในกระดาษด้วยลายมือ เผื่อว่าร่างกายจะผ่อนคลาย ให้สมองได้รับรู้ถึงอาการที่เกิดขึ้นและสามารถปรับเปลี่ยนและรักษาจากภายในเพราะพยาบาลสาว(หมอ)ยืนยันว่าไม่มียาตัวไหนสามารถทำให้ผมนอนได้
พูดง่ายๆภาษาชาวบ้านว่าสิ่งที่ผมเป็นไม่มีทางที่จะรักษาอาการนี้จากภายนอกตัวผมนอกจากตัวผมจะรักษาตัวเองจากภายในตัวผมเอง...
ครับนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ผมหวังว่ามันคงไม่ไปเกิดขึ้นกับใครที่ไหนอีกเพราะความสดชื่นจากการนอนพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มนั้น มันมีความความสุขเหนือสิ่งใดๆในความคิดของผม...
ผมอยากตื่น...
. . . . .
" ครับและนี่คือจดหมายของกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากกรณีหนึ่ง มีใครมีคำถามไหมครับ? " ชายหนุ่มใส่แว่นหน้าตาหล่อเหลาอายุราวๆสี่สิบสวมชุดสูทยืนอยู่หน้าห้องบรรยายพร้อมถามไปยังกลุ่มคนที่นั่งอยู่กว่ายี่สิบชีวิต ด้านหลังของเขามีภาพจดหมายที่เขียนด้วยลายมืออยู่บนจอสไลด์บรรยาย
"จนถึงปัจจุบันเวลาผ่านมาเกือบสิบปีครับ จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นเมื่อประมาณแปดปีที่แล้ว ทุกวันนี้ผู้ชายคนนี้ยังมีอาการเหมือนเดิมทุกอย่างไม่มากขึ้นหรือน้อยลงและยังไม่มีการรักษาใดรักษาเขาได้ครับ" ชายหนุ่มตอบผู้หญิงกระโปรงสั่นที่นั่งแถวหน้าหลังจากเธอยกมือขึ้นถาม
"จากการเก็บข้อมูลสุขภาพต้ังแต่วันที่เข้ารับการรักษา ทุกอย่างสมบูรณ์เท่าที่คนแข็งแรงๆคนหนึ่งจะเป็นได้ครับ คงมีแต่เพียงความรู้สึกของคนไข้เองที่ไม่พอใจ คนไข้ต้องการสิ่งที่เขาเรียกว่า 'การตื่น' และ 'ความสดชื่นจากการนอนเต็มอิ่ม' เท่านั้น" ผู้ชายผมสีแดงจากแถวหลังสุด ได้รับคำตอบเรื่องของสุขภาพ
"หากไม่มีใครสงสัยอะไรแล้วการบรรยายวันนี้ผมขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ ครั้งหน้าผมจะเอากรณีศึกษาที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจมาบรรยายนะครับ" ชายหนุ่มเก็บเอกสารเข้ากระเป๋าขณะที่พูดไปด้วย"
" อ่าา...ได้ครับว่าไงนะครับ? อ่อ...มาไม่ทันช่วงแรกๆอยากทราบประวัติคนไข้เหรอครับ ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจว่าคุณคงมีธุระสำคัญมากจึงเข้าห้องบรรยายสาย " ชายหนุ่มยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงที่แอบจิกกัดเล็กน้อยแต่แฝงไปด้วยอารมณ์ขัน
หญิงสาวที่ถามหน้าแดงขึ้นทันใดผสมกับแก้มที่แป้นกลมน่ารักจนคล้ายลูกมะเขือเทศสุกๆลูกหน่ึงที่มีตาหูจมูกและปากที่สมส่วน
"ครับ
ชายคนนี้เข้ามาขอรับการรักษาโรคนอนไม่หลับที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดยอ้างว่าเขาไม่สามารถนอนได้แม้แต่วินาทีเดียวเป็นเวลานานกว่าแปดเดือนก่อนที่จะมาที่โรงพยาบาล หลังจากหมอท่านแรกได้วินิจฉัยและคิดว่าชายคนนี้ล้อเล่นจึงส่งตัวกลับบ้าน แต่ชายคนนี้ก็กลับมาอีกพร้อมขู่จะฟ้องสื่อมวลชนว่าโรงพยาบาลแห่งนั้นดูถูกเขา หมอหลายท่านจึงปรึกษากันและตัดสินใจตรวจเช็คอย่างละเอียดจึงพบว่าชายคนนี้มีอาการทางจิตประเภทหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงได้ทำการส่งตัวไปที่โรงพยาบาลจิตเวชโดยอ้างกับคนไข้ว่าเป็นสถานที่พักฟื้นและรักษาแบบพิเศษ และหลังจากทราบประวัติโดยละเอียดแล้วคาดว่าอาการอาจจะเกิดจากการที่ลูกและภรรยาเสียชีวิตเพราะเขานอนตื่นสายจึงพลาดนัดท่ีจะไปรับที่สนามบิน ภรรยาและลูกชายวัยเจ็ดขวบตัดสินใจนั่งแท็กซี่กลับบ้านและโดนพาไปข่มขืนทั้งแม่และลูก! จากนั้นก็ฆ่าทิ้งทั้งสองคน สืบรู้ที่หลังว่าแท็กซี่นั้นเป็นคนร้ายปลอมตัวไปดักรอเหยื่อ
หมอเจ้าของไข้สันนิษฐานว่าหลังจากเก็บตัวอยู่ในบ้านเก่าๆที่ต่างจังหวัดหลังหนึ่งจนเศร้าซึืมถึงขีดสุด คนไข้รับความจริงไม่ได้และเช้าวันหนึ่งเขาจึงปฏิเสธตัวเองและโลกรอบตัว ในที่สุดก็ไม่สามารถจำได้แม้กระทั่งว่าตัวเองแต่งงานแล้วและมีลูกหนึ่งคนจึงสร้างโลกเสมือนอันใหม่ขึ้นมาแทน จากนั้นจิตใต้สำนึกที่รุนแรงจึงบอกกับตัวเองว่าต้องห้ามนอนเพราะจะมีเหตุร้ายตามมา คนไข้จึงคิดเอาเองว่าตัวเองมีอาการนอนไม่หลับและไม่ได้นอนหลับเลยเป็นเวลานานตามที่จิตใต้สำนึกนั้นส่ัง ทั้งที่จริงแล้ว..เขานอนหลับสบายแปดชั่วโมงพอดีเป๊ะตลอดสิบปีที่เข้ารับการรักษา!!
ปัจจุบันเขายังคิดว่าตัวเองไม่ได้นอนแต่ร่างกายกลับแข็งแรงเหมือนคนปกติทั่วไปเพียงขาดแต่ความรู้สึกที่เขาเรียกว่า 'ความสดชื่นจากการนอนเต็มอิ่ม' ซึ่งในเร็วๆนี้จะมีการทดลองรักษาโดยการส่งกระแสไฟฟ้าอ่อนๆไปกระตุ้นสมองเพื่อทำการกระตุ้นความทรงจำในอดีตให้กลับมาและอาจทำให้เขากลับสู่โลกความเป็นจริงได้ ครับเขาอาจจะไม่อยากได้มันกลับมาก็เป็นได้...แต่ผมเป็นผู้รับผิดชอบการทดลองดังกล่าวและเพื่อความก้าวหน้าทางการรักษาผมจะพยายามเต็มที่ครับ" ชายหนุ่มพูดรวดเดียวจบแต่ไม่มีใครในห้องบรรยายที่ฟังไปแล้วรอบหน่ึงจะทำหน้าเบื่อหน่ายแต่อย่างใด ขณะที่หญิงสาวมะเขือเทศก้มหน้าก้มตาจดอย่างขมีขมัน
"หากไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ เจอกันอาทิตย์หน้ากับทฤษฎีที่ทุกคนทั่วทั้งโลกกำลังสนใจกับการพิสูจน์แล้วว่า การทุจริตคอรัปชั่นของนักการเมืองเป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่ง!! และหวังว่าทุกคนคงจะได้สดชื่นจากการนอนเต็มอิ่มนะครับ "
ชายหนุ่มยิ้มหวานเดินออกจากห้องพร้อมกล่าวคำลาว่า
"สวัสดี..."
คุยท้ายเรื่อง : ผมเองไม่ได้รู้เรื่องละเอียดถึงหลักวิชาการต่างๆเกี่ยวกับคนที่เป็นโรคดังกล่าว ทั้งหมดพิมพ์มาจากความรู้สึก จากหนังที่เคยผ่านตาผ่านสมองและหนังสือต่างๆที่เคยอ่านมาทั้งสิ้น หากผิดเพี้ยนจากความจริงประการใดขออภัยไว้ในที่นี้ด้วยคร้าบบบ
ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2554 |
|
51 comments |
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2554 0:16:28 น. |
Counter : 1643 Pageviews. |
|
|
เอ หรือว่าผมจะเริ่มเป็นชนิดอ่อนๆแล้วล่ะเนี่ย
แฮ่ๆ
ไม่ชอบนอนอ่ะ