ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
<<
มีนาคม 2561
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
2 มีนาคม 2561
 
 
Million Reasons บทที่ ๑ (Yuri)



หลังเรียนจบ มินตราได้รับมอบหมายจากมนต์ชัยบิดา ให้ทำงานด้านการตลาดที่บริษัทเสื้อผ้าชายยี่ห้อMoke ซึ่งโมกข์พี่ชายเป็นผู้จัดการใหญ่เธอได้เรียนรู้และหาวิธีเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ จนได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ต่อมาพ่อตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตเสื้อขึ้นเพื่อผลิตสินค้าคุณภาพดีตอบสนองความต้องการตลาด

หญิงสาวมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ จึงเสนอเพิ่มไลน์สินค้า ซึ่งโมกข์ไม่ค่อยเห็นด้วยแต่มนต์ชัยอนุญาตทั้งมอบเงินลงทุนให้เธอก้อนหนึ่ง โดยเริ่มแรกใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของบริษัทMoke ในการเริ่มต้นสินค้าแบรนด์ใหม่

กว่าสองปี มินตราทุ่มเทไปกับการปั้นเสื้อผ้าสตรีแบรนด์ MinTra อย่างขันแข็ง เน้นเจาะตลาดไฮเอนด์ของสาวรุ่นใหม่ที่รักสวยรักงามที่มีกำลังซื้อสูง พร้อมจ่ายหากโดนใจ ทำให้เสื้อผ้ายี่ห้อใหม่เติบโตแบบก้าวกระโดดประสบความสำเร็จเกินคาด

เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ รวมถึงความสบายใจ ร่างสูงจึงตัดสินใจแยกตัวมาตั้งอีกบริษัทซึ่งพ่อให้การสนับสนุน โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของโมกข์แต่อย่างใด

มนต์ชัยอยากให้ลูกสาวได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ตามที่คิดฝันอย่างน้อยก็จะได้รู้กันไปว่าทำได้หรือไม่ได้? ไม่ต้องค้างคาใจ ซึ่งดีกว่าพวกตาขาวที่ปากเก่งชอบอวดอ้างทฤษฏีแต่ทว่าไร้ความกล้าหาญที่จะออกจาก ComfortZone

“ทะลึ่งใช้ชีวิตเหมือนเดิมแต่อยากได้ผลลัพธ์ใหม่ พวกนี้จัดเป็นพวกวิกลจริต” – ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้เช่นนั้น

“ทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มินต้องตั้งใจทำนะลูกมีอะไรสงสัยก็มาปรึกษามาแลกเปลี่ยนความคิดกัน จำไว้นะว่าลูกคุยกับพ่อได้ทุกเรื่อง”มนต์ชัยพูดย้ำเหมือนทุกวันที่นั่งทานมื้อเช้ากับลูกสาว หลังไร้ภรรยาคู่คิดมานานหลายปีแต่ความรักยังคงฝังใจ จึงไม่คิดจะหาใครใหม่

...ได้แต่หวังว่า เราจะได้ครองคู่กันอีกในภพหน้า

“ค่ะพ่อ” มินตรายิ้มบางๆ เงยหน้ามองนาฬิกา “งั้นมินไปก่อนนะคะ เช้านี้มีนัดคุยเรื่องแบบเสื้อกับปิ่นค่ะ”พูดจบก็ตักอาหารคำสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวเร็วๆ แล้วยกแก้วน้ำดื่มตาม

“ไปเถอะลูก มีอะไรน่าสนใจก็มาเล่าให้พ่อฟังล่ะ”

“รับทราบค่ะ”

สาวเพรียวก้าวออกไป พร้อมแฟ้มเอกสาร กระเป๋าสะพายและกุญแจรถ

ไฟแรงจริงๆ ลูกฉัน

คนเป็นพ่อยิ้มมุมปาก หลังอีกฝ่ายคล้อยหลัง จึงหันกลับไปสนใจทานมื้อเช้าต่อ

มินตราขับรถเบนซ์สีขาวป้ายแดงไปจอดยังลานจอดรถอันเป็นที่ตั้งของบริษัท MinTraก้าวลงรถอย่างเชื่อมั่น กับบุคลิกสาวเท่ที่น่ามอง ราวกับหลุดจากแคตตาล็อค

การเป็นเจ้าของบริษัทเสื้อผ้าแบรนด์อันดับต้นๆทำให้เธอต้องใส่ใจการแต่งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เอาตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาขายสินค้าไปด้วยในตัว

“วันนี้คุณมินสวยมากเลยครับ”ยามหนุ่มทักทายอย่างเป็นกันเอง

“ขอบคุณค่ะ”มินตรายิ้มๆ ก่อนเดินเข้าตึกไป ในใจไม่คิดว่า คำจำกัดความของสวยจะเหมาะกับตนพลันหวนคิดถึงใครบางคนที่มีเหมาะกับคำว่า ‘สวย’ มากกว่า

หล่อนจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?

ชาลิสาต่างหากที่สวยงดงามไม่ต่างจากเตียวเสี้ยน หนึ่งในสาวงามล่มเมืองตามประวัติศาสตร์ของจีน ที่เปรียบเปรยว่าเลอโฉม...กระทั่งพระจันทร์ยังต้องหลบหลีก ไม่กล้าประชันความงามด้วย

หลังจากงานวิวาห์คืนนั้น เธอก็ไม่รู้ข่าวของณรงค์กับภรรยาแสนสวยคนล่าสุดนอกจากรู้ต้นสายปลายเหตุว่า ทำไมชาลิสาถึงแต่งงานจากเพื่อนรัก...ก็อดสงสารหล่อนไม่ได้

ต่อมาปิ่นสุดาย้ายมาเปิดบริษัทรับออกแบบเสื้อผ้าที่เมืองกรุงจึงไม่รู้ข่าวคราวพ่อเลี้ยงคนนั้นกับภรรยาประกอบกับโมกข์เป็นผู้ติดต่องานด้านการตลาดกับศูนย์การค้า จึงนับเป็นเรื่องที่ดีต่อหัวใจของเธอ

...บางเรื่องหากแก้ไขอะไรไม่ได้ ควรยอมจำนนฟ้าดินโดยดีฝืนดังทุรังไป มีแต่จะเจ็บตัวปวดใจเปล่าๆ

หลายครั้งมินตรารู้สึกผิดที่แอบคิดถึงภรรยาคนอื่นเหมือนตัวเองแอบเป็นชู้กับชาลิสา นึกปลอบใจตัวเองโดยหวังว่าจะไม่มีเวรกรรมตามสนอง

แค่ชู้ทางใจ...คงไม่ผิดนักใช่ไหม?

“คุณมินเท่ชะมัดฉันงี้อยากจะไปเป็นแฟนจริงๆ รับรองจะกล่อมเช้ากล่อมเย็นเลย”พนักงานหญิงแอบกระซิบกระซาบปลื้มออกนอกหน้า

“งั้นแกต้องข้ามศพฉันไปก่อน”เพื่อนสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงเข้มจริงจัง

“ใครดีใครได้ย่ะ”สาวคนที่สามสะบัดผมยาวพึ่บ ค้อนขวับราวกับเห็นเพื่อนร่วมงานเป็นศัตรูหัวใจ

“แน่นอน” อีกสองคนกล่าวรับคำท้าทายพร้อมเพรียง

มินตราได้ยินเสียงชื่นชมลอยตามลมมาแต่ไม่คิดใส่ใจ ด้วยแทบจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วที่จะมีสาวน้อยใหญ่เอ่ยถึงในเชิงชู้สาว ทำให้ภาพลักษณ์เธอดูเจ้าชู้หลายใจ ไม่ต่างจากเพลย์เกิร์ลที่ควงสาวไม่ซ้ำหน้าก่อนก้าวเข้าไปในลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังห้องทำงานของตน

เฮ้อ! อะไรกันนักหนา

สาวหน้าคมนึกบ่นแบบไม่จริงจังก้าวออกจากกล่องเหล็กเมื่อถึงชั้นบนสุด เดินไปตามทางเดิน ก่อนหยุดทักทายกับเลขาฯที่ทำงานอยู่หน้าห้องของตน

“สวัสดีค่ะพี่น้อย”

“สวัสดีค่ะคุณมิน”น้อยทักตอบด้วยรอยยิ้ม ด้วยวัยสามสิบเศษที่มีครอบครัวและมีลูกสาวหนึ่งคนทำให้ดูอวบท้วมไปบ้าง เธอเคยทำงานให้พ่อของมินตรา ก่อนขอย้ายมาเป็นเลขาฯ ให้เธอตอนตั้งบริษัทใหม่จึงรู้ใจเจ้านายเป็นอย่างดีว่า ชอบหรือไม่ชอบอะไร? “รับกาแฟเลยไหมคะ?วันนี้มีเอแคลร์ค่ะ”

“ดีจัง แต่รอให้ปิ่นมาก่อนค่อยยกมาก็ได้ค่ะ”

“ค่ะ” เลขาฯสาวรับคำเบาๆ ชอบที่เจ้านายคนนี้เป็นคนง่ายๆ ไม่จู้จี้จุกจิกอุปนิสัยผิดกับพี่ชายคนละเรื่อง นับเป็นความโชคดีของเธอที่ได้ทำงานกับผู้หญิงคนนี้ก่อนนึกขึ้นได้จึงพูดต่อ “นิตยสารเล่มใหม่วางอยู่บนโต๊ะแล้วนะคะ”

“ขอบคุณค่ะวันนี้มินมีนัดหรือเปล่าคะ?”ถามเรื่องงานเหมือนเช่นทุกวัน

“นอกจากคุณปิ่นก็ไม่มีแล้วค่ะ”

“งั้นตอนกลางวันมินออกไปทานข้าวกับปิ่นต่อนะคะ แล้วอาจจะไม่แวะเข้ามาอีก”

“ค่ะ”น้อยรับคำ ก่อนจดบันทึกลงยังสมุดตารางนัดกันลืม

มินตราก้าวผ่านประตูไม้ทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน หยิบนิตยสารเล่มใหม่มาดูแบบเสื้อผ้าของต่างประเทศ เพื่อศึกษาแนวโน้มแฟชั่นว่าจะไปในทิศทางใด ก่อนวางแผนเตรียมสินค้าให้ถูกใจลูกค้า ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับธุรกิจเสื้อผ้าที่ต้องปรับเปลี่ยนทุกไตรมาส

มีอะไรน่าสนใจบ้างเนี่ย

ความที่ไทยเป็นประเทศเมืองร้อนจัดคงไม่เหมาะที่จะสวมใส่ผ้าหนา การออกแบบชุดจึงต้องดัดแปลงให้เหมาะสม ไม่ก็เลือกเอาสีสันมาใช้เธอพลิกดูไปไม่กี่หน้า เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

“เชิญค่ะ”มินตราอนุญาต ประตูไม้ถูกเปิดเข้ามาโดยปิ่นสุดา เธอส่งยิ้มให้แขกก่อนทักทายแบบเป็นกันเอง “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”

“ไม่มาได้ยังไงเพื่อเพื่อนรัก” อีกคนพูดโต้ตอบ หลังทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงข้ามเจ้าของห้อง โดยไม่รอให้เชื้อเชิญวางแฟ้มสีดำที่หอบหิ้วมาด้วยบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่

“แหมมาถึงก็ปากหวานเชียวนะคุณเพื่อน” พูดทีเล่นทีจริง

“ปากฉันหวานสู้แกไม่ได้หรอก”ปิ่นสุดาหัวเราะเบาๆ “ตอนผ่านชั้นล่าง ฉันได้ยินพนักงานแกเถียงกันเรื่องแย่งแกด้วยตลกชะมัด”

“ช่างเถอะ อยากพูดอะไรก็ปล่อยให้พูดไป”

มินตราโบกมือห้ามก่อนจะโดนเพื่อนรักกระเซ้าเย้าแหย่มากกว่านี้ ทั้งหลายทั้งปวงมีสาเหตุมาจากความเข้าใจผิดทำให้เธอมีภาพลักษณ์กลายเป็นคนเจ้าชู้ในสายตาของคนทั่วไป...กลายเป็นเพลย์เกิร์ล

หลังเกิดเหตุการณ์นั้นสาวเท่ขบคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วตัดสินใจไม่แก้ข่าว แต่เลือกที่จะเล่นตามน้ำ พลิกวิกฤตเป็นโอกาสใช้ประโยชน์จากชื่อฉาวโฉ่ของตนเองทำให้แบรนด์เสื้อ MinTraเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดแฟชั่นเสื้อผ้าสตรี...ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากในความคิดของเธอ

“ได้ครบไหม?” เจ้าของห้องพูดเรื่องงาน

“ยัง เพิ่งได้มาสามแบบไม่เกินอาทิตย์หน้าจะเอาที่เหลือมาให้ดู” ปิ่นสุดายื่นแฟ้มที่เอามาด้วยส่งให้คนตรงหน้า

สาวร่างเล็กตั้งบริษัทรับออกแบบเสื้อผ้าแม้จะเป็นบริษัทเล็กๆ ที่มีลูกน้องเพียงไม่กี่คน แต่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำมีงานเข้าสม่ำเสมอ ซึ่งลูกค้าสำคัญของเธอก็คือ...บริษัทเสื้อ MinTra กับ Moke

ทว่าการแข่งขันในด้านธุรกิจดุเดือดมากขึ้นทำให้ปิ่นสุดาประสบกับปัญหาเรื่องคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลูกน้องฝีมือดีมักอยู่ไม่นานจะถูกซื้อตัวไปอยู่บริษัทใหญ่กว่า ด้วยข้อเสนอเรื่องผลตอบแทนเป็นสำคัญ

เธอไม่เคยปริปากตักเตือนหรือห้ามใครด้วยมีความคิดว่า คนที่ยอมเป็นทาสให้เงินสนตะพาย ไม่มีวันจงรักภักดีกับที่ใดได้นานทางไหนเสนอเงินมากกว่าก็ถลาไปซบอก...เป็นเรื่องของความโลภล้วนๆ

ปิ่นสุดาทำงานด้วยความรักความชอบ ความหลงใหล เลือกจะนำเสนอคุณค่าที่ดีที่สุดให้ลูกค้า เธอมองโลกในแง่ความจริงไม่คิดเป็นพวกโลกสวย

เคมีไม่ตรงกันจะรั้งไว้ทำไมให้เสียเวลา

“ดูนี่รอไปก่อน”เจ้าของห้องส่งนิตยสารให้เพื่อน

“ขอบใจ”สาวร่างเล็กรับหนังสือมาดูฆ่าเวลา

“เปลี่ยนคนออกแบบเหรอ?”มินตราถามขึ้น หลังพินิจพิจารณาลายเส้นของภาพวาดที่ดูต่างจากงานชิ้นก่อนๆ

“คนเก่าเพิ่งขอลาออกไป”ปิ่นสุดาตอบตามตรง “ฉันว่าจะหาคนมาเพิ่มอยู่เนี่ย”

“วาดสวยดีนะ” ร่างสูงเอ่ยชมออกมา

“เด็กเพิ่งจบน่ะนิสัยดีใช้ได้เลย” ลูกน้องของเธอหลายคนเป็นคนรู้จักจากบ้านเดียวกัน แนะนำฝากฝังให้มาทำงานด้วย

คนฟังพยักหน้าก่อนพลิกกระดาษพิจารณา จนครบทุกแผ่น ซึ่งกินเวลาไปเกือบชั่วโมง

“ไว้ขอฉันดูครบทั้งหมดก่อนแล้วจะตัดสินใจนะ” สาวร่างสูงเอ่ยออกมา ก่อนปิดแฟ้มนั้นวางบนโต๊ะ

“ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ”กล่าวอย่างเข้าใจ รู้ซึ้งดีว่า อีกฝ่ายเป็นลูกค้าที่ไม่จู้จี้เรื่องมากมากที่สุดแล้ว

“ว่าแต่วันนี้ว่างหรือเปล่า?”

“จะบอกว่าว่าง ก็ว่างนะ”

“งั้นกลางวันนี้ไปกินอาหารญี่ปุ่นกันฉันเลี้ยงเอง”

ปิ่นสุดาทำหน้าประหลาดใจก่อนถามออกมา

“มีอะไรหรือเปล่า?”

“กินข้าวกับเพื่อนต้องมีธุระด้วยเหรอ?”มินตราย้อนถาม

“เปล่าแค่งงว่า คุณแฟนๆ ของแกหายไปไหนหมด ถึงว่างมากินข้าวกับฉัน”

“แฟนๆ อะไรฉันมีที่ไหนกัน” เจ้าของห้องปฏิเสธ

“ให้มันจริงเถอะฉันไม่อยากโดนรุมทึ้งหรอกนะ น่ากลัวจะตายไป” เธอนึกถึงเหตุการณ์ไปเที่ยวกับเพื่อนรักแล้วโดนสายตาหลายคู่มองมาอย่างประสงค์ร้าย ด้วยเข้าใจผิดคิดว่า ตนเป็นคนรักของมินตรา

‘สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวกว่างูพิษ คือผู้หญิงสวยยามหึงหวง’ นักเขียนหลายคนเชื่อไปในทิศทางเดียวกันแบบนั้น

ปิ่นสุดาเชื่อหมดใจแล้วว่าเป็นความจริงที่สุด ทำให้เธอต้องระวังตัวเวลาไปไหนกับเพื่อนคนนี้พอสมควร ‘ใครบอกว่ามีเพื่อนดัง แล้วเราจะโชคดี’ ...หญิงสาวเถียงขาดใจเลย

“พูดเกินไปแล้ว”สาวเท่หลุดขำ “แค่อยากเดินเล่นน่ะ”

“โอเค ทานเสร็จแล้วเดินดูของกันฉันอยากหาของขวัญให้ลูกค้าสักหน่อย” สาวร่างเล็กบอก

“ก็ดีฉันจะได้แวะดูโซนของเล่น”

“กันดั้ม?”

“อือ” อีกคนพยักหน้าเธอต่อกันดั้มเป็นงานอดิเรกตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน มีหลายตัวหลายขนาด ตั้งแต่ SD HD RG ไปจนถึง MG ที่ต่อเสร็จแล้วจะวางเรียงอยู่ในห้องนอน จัดเป็นของรักอันดับต้นๆเลยทีเดียว รองลงมาก็เป็นพวกฟิกเกอร์จากการ์ตูนดัง

ตอนแรกปิ่นสุดาแขวะอยู่บ่อยๆว่า เล่นเหมือนเด็กผู้ชาย แต่สาวเพรียวไม่สนใจ ยังคงทำตามหัวใจปรารถนา ผ่านไปหลายปีอีกฝ่ายก็เบื่อจนบ่นน้อยลงไปเอง

...ถึงเป็นเพื่อนสนิทไม่จำเป็นต้องรสนิยมเหมือนกันเป๊ะก็ได้

“ไปกันเลยไหมสิบเอ็ดโมงแล้ว? เดี๋ยวคิวยาว” เธอชวน ด้วยเคยเห็นร้านอาหารนี้ มีลูกค้าเข้าคิวยาวเกือบทุกวันในช่วงพักกลางวันผิดกับร้านอื่นที่ขายดีเฉพาะวันหยุด

“ไปสิเจ้าภาพชวนทั้งที ขัดใจได้ไง เดี๋ยวอด” ร่างเล็กพูดติดตลก

“เลี้ยงอาหารมื้อเดียวพอไหวอยู่” มินตราพูดยิ้มๆ

“ถูกกว่าค่ากันดั้มตัวหนึ่งอีกเนอะ”อีกคนแกล้งแหย่

“วกกลับไปจนได้”เธอพึมพำ หลังได้ยินคำกระทบกระเทียบ

“ก็มันจริงนี่ตัวนิดเดียวห้าร้อย เจ็ดร้อย ไม่ก็พันนึง ถูกซะที่ไหน”

ไม่เข้าใจเลยว่า ตัวต่อพลาสติกพวกนั้นมีดีอะไรผู้คนถึงชอบสะสมกันทั่วบ้านทั่วเมือง

เฮ้อ! ขี้บ่นชะมัด

ร่างสูงนึกในใจแต่ไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วย เถียงยังไงก็ไม่ชนะ

เธอหยิบมือถือกุญแจรถ กระเป๋า พร้อมข้าวของที่จะเอาไปด้วย

ทั้งคู่ออกจากบริษัทเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปยังศูนย์การค้าที่อยู่ห่างไปสองป้ายซึ่งสะดวกกว่าการขับรถยนต์ไปมาก

สิบกว่านาทีต่อมาสองสาวก้าวผ่านประตูห้างฯ ช่วงใกล้พักเที่ยงแม้จะเป็นวันทำงาน ผู้คนแห่มาเดินห้างฯหนาตา ด้วยที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมสารพัดอาหารเอาใจนักกิน

“ชั้นไหน?”ปิ่นสุดาถาม

“สี่”มินตราตอบ

ทั้งคู่ก้าวไปบนบันไดเลื่อนเดินวนฝ่าฝูงชนไปพอสมควร เพื่อจะขึ้นไปยังบันไดเลื่อนที่อยู่อีกด้านจนกระทั่งถึงชั้นสี่ที่มีผู้คนบางตากว่าชั้นล่างมาก ก่อนจะถึงทางเข้าร้านอาหาร

สาวร่างสูงชะงักเท้าเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างทางขวามือของตน...เป็นสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยที่ไม่ควรอยู่ตามลำพัง

“มะ แม่จ๋าแม่น้ำ...” เสียงเด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงสีหวาน ผูกผมจุกสองข้าง ร่ำไห้สะอึกสะอื้นคาดว่าคงพลัดหลงกับผู้ปกครอง

“เดี๋ยวปิ่น” มินตราเรียกคนข้างกาย

“อะไรเหรอ?”

“โน่น” ร่างสูงพยักเพยิดไปทางเด็กน้อยที่อยู่ห่างไปไม่กี่เมตรแต่คนอื่นที่เดินผ่านไปมากลับไม่ให้ความสนใจเลย

หืม?

สาวร่างเล็กมองตามแล้วขมวดคิ้ว

“ลูกใครหลงมาล่ะนั่น”

“ไปดูหน่อยเถอะ”มินตรากล่าวอย่างสงสาร สาวเท้าตรงรี่ไปหาเด็กน้อยทันที

ได้เรื่องอีกแล้วสินะหึหึ

ปิ่นสุดาส่ายหัวกับนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านของเพื่อนก่อนเดินตามไปดู

สาวเท่คุกเข่าลงช้าๆตรงหน้าเด็กน้อย เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่นกลัว ก่อนถามเสียงอ่อนโยน

“ร้องไห้ทำไมคะคนเก่ง?”

“มะ แม่น้ำ แม่น้ำไม่อยู่”เสียงเล็กแหลมของเด็กหญิงตอบอย่างตะกุกตะกัก สะอื้นไห้เป็นระยะมีรอยน้ำตาบนแก้มกลม ออกอาการขวัญกระเจิง แววตาใสแจ๋วที่มีคราบน้ำตาจ้องมองคนถามอย่างหวาดกลัว

“แม่น้ำหมายถึงคุณแม่ใช่ไหมคะ?” มินตราค่อยๆ ตะล่อมคุยกับอีกฝ่ายดูจากการแต่งตัวของเด็กน้อย ชุดกระโปรงดูสะอาดสะอ้านคาดว่าผู้ปกครองต้องมีฐานะพอสมควร ดีไม่ดีตอนนี้คงจะตามหาเด็กคนนี้กันให้วุ่นวาย

“อื้อ” คนตัวเล็กกว่าพยักหน้า

เธอพิจารณาใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กหญิงพลันรู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก คาดว่าน่าจะอายุประมาณสามขวบ

เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ

“ให้น้าช่วยหาคุณแม่ไหมคะ?”

“จริงนะ”เสียงเล็กแหลมถามอย่างตื่นเต้น ปนดีใจที่จะได้เจอแม่ จึงยิ้มออกทั้งที่มีน้ำตาไหลเป็นทางนองแก้ม

“จริงสิคะ”มินตรายืนยัน โล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ร้องไห้งอแงก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ติดกระเป๋าเสื้อออกมาถือ “เช็ดหน้าก่อนนะคะ เวลาเจอคุณแม่จะได้สวยๆ”

ชามาผงกหัวยินยอมให้ร่างสูงใช้ผ้าซับหน้าตาอย่างว่าง่าย

สาวเท่เช็ดใบหน้าอีกฝ่ายอย่างเบามือจนสะอาดไร้รอย ก่อนชมออกมา

“สวยแล้วค่ะ”

เด็กหญิงยิ้มกว้างเต็มหน้าที่ได้รับคำชมออกอาการเขินนิดๆ

หลอกเด็กเก่งชะมัด

ปิ่นสุดาซึ่งยืนอยู่ห่างไปสองเมตรนึกในใจได้เห็นได้ยินทุกคำพูดที่คนต่างวัยสนทนากัน แต่ไม่คิดเข้าไปร่วมวงด้วยเกรงจะทำให้เด็กน้อยตื่นกลัว มินตราถนัดรับมือกับเด็กๆ ดีกว่าเธอ

“หนูชื่ออะไรคะ?”สาวร่างสูงต้องการทราบข้อมูลของเด็ก เพื่อจะไปตามหามารดาถูก

“ชามา” เสียงเล็กแหลมตอบเบาๆ

“ชามา”เธอเอ่ยทวนคำ ก่อนชมออกมา “เป็นชื่อที่เพราะมากค่ะ”

เด็กหญิงยิ้มอายๆรู้ว่าผู้ใหญ่กำลังชมตนอยู่

“ไปค่ะไปหาแม่กันจะให้น้าอุ้มไหมคะ?” เอ่ยถามความสมัครใจ

“อุ้ม” ชามาตอบอย่างไม่คิดอะไรมากยกสองมือขึ้น ด้วยเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะมีแรงเดิน

มินตราจึงโอบอุ้มร่างเล็กๆแนบอกอย่างระมัดระวัง ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินมาสมทบกับปิ่นสุดาที่ยืนมองอยู่

“เอาไงต่อ?” เพื่อนรักถาม

“หาแม่ให้น้องเขาก่อนเรื่องกินเอาไว้ทีหลัง” เธอตั้งใจจะช่วยเด็กน้อยหามารดาให้พบโดยเร็ว

“เด็กน่ารักแบบนี้แม่คงไม่ได้ทิ้งหรอกนะ” ปิ่นสุดาเปรยขึ้นอย่างกังวล

“ลูกน่ารักขนาดนี้แม่ก็น่าจะสวยมาก คงไม่ใจยักษ์ใจมาร”

“แหมพูดหยั่งกับจะจีบแม่”

“ถ้าแม่สวยก็จีบ”สาวผมสั้นตอบแบบกวนๆ หันหน้าไปหอมเด็กน้อยในวงแขนอย่างรักใคร่

ชามาจั๊กจี้จึงหัวเราะคิกคักออกมาจนหน้าแดง หลังโดนมินตราแกล้งหอมซ้ายหอมขวา

“ระวังโรคหอบหื่นจะกำเริบล่ะฉันไม่ช่วยหรอกนะ ถ้าสามีหล่อนมาแพ่นกบาลแยก” สาวร่างเล็กพูดอย่างหมั่นไส้

พูดบ้าๆ

คนฟังค้อนเพื่อนรักปะหลับปะเหลือก

“พูดไปนั่นเห็นฉันเป็นคนยังไง”

ปิ่นสุดาไม่ตอบแต่เปลี่ยนไปยังเรื่องเฉพาะหน้า

“จะใช้วิธีไหนหาแม่น้ำของน้องเขาล่ะห้างฯ กว้างซะขนาดนี้” อีกคนพึมพำอย่างไร้ความหวัง

มินตรายิ้มบางๆให้เด็กตัวน้อยในอ้อมแขน ที่ดูจะคลายความตื่นกลัวไปมากแล้ว มือน้อยๆคว้ากระดุมเสื้อเชิ้ตเล่น ประหนึ่งว่า สนิทสนมกันมานาน

“ต้องได้สิฉันเชื่อว่า ต้องหาแม่ของน้องเขาได้” เอ่ยอย่างเชื่อมั่น ก่อนอุ้มชามาเดินวนไปรอบๆชั้น แล้วตะโกนสุดเสียงเป็นระยะ

“แม่น้ำคะน้องชามาอยู่ตรงนี้ค่ะ!”

“เอางี้เลยเหรอ”ปิ่นสุดาบ่นงึมงำ

“เออไม่เจอค่อยไปแจ้งประชาสัมพันธ์ เผื่อแม่น้องเขาอยู่แถวนี้”

สาวร่างเล็กพยักหน้าแล้วเดินช่วยตะโกนไปด้วย

“แม่น้ำคะน้องชามาอยู่ที่นี่ค่ะ!”

สองสาวผลัดกันตะโกนเรียกหามารดาของเด็กน้อยโดยไม่สนใจว่าใครจะจ้องมอง หลายคนถ่ายคลิปวิดีโอถ่ายรูปเก็บเอาไว้ตามประสามนุษย์โซเชียลที่เจออะไรก็บันทึกหมด แล้วเอาไปแชร์ต่อ

ผู้ใหญ่สองคนเดินวนไปตะโกนไป เกือบทั่วทั้งชั้นที่เจอเด็กน้อย

ผ่านไปห้านาทีเศษก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดตรงมายังต้นเสียง แล้วเอ่ยกับเด็กหญิงในวงแขนมินตรา

“ชามา...อยู่นี่เองแม่ใจหายหมด”

“แม่น้ำ!” เสียงเล็กแหลมตะโกนเรียกมารดาอย่างดีอกดีใจ ยกมือน้อยๆ ขึ้น ราวกับจะโผเข้าหาบุพการี

“ลูกฉันเองค่ะขอบคุณนะคะที่ช่วยชามาเอาไว้” หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าสบตากับสาวร่างสูงเหมือนจะขอลูกคืน

“เอ่อ ค่ะ” มินตรารับคำขยับจะยื่นเด็กหญิงส่งให้ พลันตาโตตกตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าอีกคนชัดๆวงหน้าสวยหวานรูปไข่ เสียงไพเราะนุ่มนวลชวนฟัง อิสตรีที่เธอเคยหลงใหลตั้งแต่แรกเห็นหลายปีก่อนบัดนี้ได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

ชะ ชาลิสา!

OoXoO

ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ

...เรื่องนี้เขียนใกล้จบแล้วค่ะ อดใจรอกันสักนิด ^^

นาง

OoXoO




Create Date : 02 มีนาคม 2561
Last Update : 2 มีนาคม 2561 16:00:40 น. 0 comments
Counter : 812 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com