Power of positive thinking : ใครไม่เจอเองกับตัวไม่รู้หรอก
วันนี้ มีเรื่องจะมาเล่า....
ด้วยทุกคนเป็นมนุษย์ (หรือเป็นแค่คน อันนี้ก็ไม่ทราบ) ก็ไม่แปลกที่จะมี รัก โลภ โกรธ หลงไรกันไป ใครมาว่า มาด่า มาดูถูก ทำมากไป ทำน้อยไป ให้เราไม่พอใจโกรธ แค้น เคืองขุ่น
ไอ่คำว่า ใครไม่เจอกับตัวเอง ไม่มีทางรู้หรอก
ถ้าลองกลับไปคิดให้ดี เป็นอย่างที่ใครบางคนเคยบอกไว้ ว่า ไม่มีเรื่องบัญเอิญบนโลกใบนี้
เริ่มตั้งแต่การที่เราเกิดมา....เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต คนที่เราพบ สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
อาจารย์น้องเติ้ลบอกว่า ถ้าใครจะมองเราว่าเป็นยังไง มองแง่ดี หรือไม่ดี ไปโทษเขาอย่างเดียวไม่ได้ เราห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้ เราต้องมองตัวเองว่าเพราะอะไรคนอื่นถึงมองเราในแง่นั้น เราได้หว่านเมล็ดพันธุ์แบบไหนลงไปในดิน เมล็ดพันธ์ุนั้นถึงได้งอกออกมาเป็นต้นให้คนอื่นเห็นเราเป็นเช่นนั้น (อิชั้นกลายเป็นแม่โลกสวย น่าหมั่นไส้ ปากจัด กวนตีน ชอบกดขี่คนอื่นให้จมดินสินะ....ป่วยการที่จะแก้ตัว เสือกทำตัวเอง -_-'' ดิชั้นอาจจะเป็นเหมือนต้นกระบองเพชร ที่มีหนามแหลมๆ มาโดนเข้าก็เจ็บ แต่สุดท้ายอดอยากเจียนตาย ในลำต้นก็มีน้ำไว้ช่วยชีวิต อ๊า...คิดได้ไง ฟังดูเข้าข้างตัวเองดี 5555)
สมัยก่อน ดิชั้นไม่ใช่คนอิน กับธรรมมะ อย่างลึกซึ้ง เพราะบางที รู้สึกว่า มันใช้ไม่ได้ในชีวิตจริง บางอย่างทำไม่ได้จริงๆ อภัยหรอ ไม่ให้คาดหวังหรอ จะทำได้ยังไง ก็ในเมื่อ คนนั้นคนนี้ มันทำไม่ดีกับเรา เราจะรักคนอื่น เหมือนที่เรารักตัวเองได้ยังไง จะคริสต์ จะพุทธ ทำไมสอนเรื่องเดียวกัน คนบนโลกนี้ ไม่สมควรจะได้รับความรักอย่างเท่าเทียมกันหรอก เพราะมันมีทั้งคนดี และคนไม่ดี ไปจนถึงบางขณะ รู้สึกพอใจที่ โกรธคนอื่น ก็มันทำไม่ดีกับเรานี่หว่า สมแล้วที่จะเกลียดมัน
นอกจากนี้ อิชั้นยังเป็นคนขี้สงสัย คลางแคลง คิดนอกกรอบอย่างที่สุด มาแต่ไหนแต่ไร..ตั้งแต่เรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ดิชั้นก็จะสงสัยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รับคำตอบที่พึงพอใจ เมื่อไหร่ที่ปริศนากระจ่าง เมื่อนั้น จะเข้าใจแจ้งทะลุปรุโปร่ง ในทางทฤษฎี ส่วนปฏิบัติ ของบางอย่างเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา ฝึกฝน แต่ก็เชื่อมั่นว่า จะไม่กลับไปโง่แบบเดิมแน่นอน
เมื่อไม่นานมานี้ มีบางอย่างมาจุดประกาย หลังจากบ้าคลั่งอ่านหนังสือจิตวิทยา การเงิน และหนังสือสร้างแรงบันดาลใจทั้งหลาย เจอฝรั่งบินข้ามโลกมาสัมมนาเรื่องการเงิน ยันลามไปถึง เรื่องจิตใต้สำนึกและการสะกดจิต แต่ฟังๆ ดูดีๆ มันเป็นเรื่องเดียวกับธรรมะพระพุทธเจ้านี่นา
ในชั่วขณะเดียวกัน ก็ได้รู้จักกับใครอีกหลายคน ที่ใช้ธรรมะเป็นเครื่องนำทางในชีวิต...นำมาใช้จริงๆ ทุกวัน เริ่มสังเกตคนรอบข้าง ที่เค้ามีความสุข เค้าทำยังไงนะ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการ หายตัวไป ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิกัน 5 วัน 7 วัน แล้วกลับมาดีอยู่แป๊บเดียว ก่อนจะกลับเข้าสู่สภาวะปรกติ บ้าๆ บอๆ เหมือนเดิม คนเหล่านี้มีความสุขยังไงบ้าง มันช่างน่าสงสัย
ทุกอย่างช่างประจวบเหมาะในเวลาไล่เลี่ยกัน... คำถามที่เคยขบคิดกัน ว่า คนเรานั้น เกิดมาทำไม ได้รับคำตอบอย่างกระจ่างแจ้ง สมเหตุสมผล แล้วจากนั้น ทุกๆ วัน เราก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนโลกใบนี้ ยิ้มให้กับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะดี หรือจะเลว มันมีปัจจัยหลายอย่างในชีวิตเรา ที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าแม้เราพยายามจะควบคุมสิ่งอื่น ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม สิ่งที่ตามมาคือ ทุกข์...ทุกข์จากความคาดหวัง ทุกข์จากความไม่แน่นอน
สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ คือตัวเราเอง แต่การจะควบคุมจิตใจเราเอง ไม่ใช่ของง่าย นั่งไง ทำไมเขาถึงต้องฝึกควบคุมสติ ให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ดิชั้นก็สงสัยแบบโง่ๆ ต่อไปว่า...ถ้ามีสติอยู่กับปัจจุบัน แล้วไงหรอ เราจะรู้ได้ยังไงว่า เราควรทำอะไร แบบไหน ถึงจะดี จะถูก เราจึงลองทำดู ตามดูจิตใจตัวเอง แล้วคำตอบก็ออกมา ณ ขณะที่ตามดูจิตใจตัวเอง ว่าเฮ้ยย สิ่งที่ดีที่สุด ถูกที่สุด ไม่มีหรอก การที่เราจะได้อะไรมาสักอย่าง เราต้องแลกกับบางสิ่งไป ถ้าเรามีสติอยู่กับสิ่งที่ทำ เราจะรู้เองว่า ทางเลือกไหนได้อะไรมา แล้วต้องเสียอะไรไป แล้วแบบไหน ถึงจะโอเค เริ่มจากเรื่องเล็กๆ ใกล้ตัว ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ แล้วคำว่า ปัจจัตตัง ก็แว๊บบบเข้ามาในหัว อ่อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
ถ้าบอกว่า เกิดมาใช้กรรม...แล้วไงหรอ...ชาตินี้ เกิดมา เคยไปทำกรรมอะไรที่ไหน ถึงต้องเจอคนแบบนี้ แล้วทำไมต้องมารับกรรมด้วย เรื่องบางเรื่อง เป็นคราวซวย คราวเคราะห์ ก็ยังต้องก้มหน้ารับกรรมหรือเปล่า จึงเป็นคำถามที่ได้รับคำตอบไปแล้ว
สิ่งเดียวที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบมีความสุขอย่างแท้จริง คือการมองโลกในแง่ดี จากข้างใน
ด้วยเหตุที่เกิดกับเราในทุกๆเรื่อง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา เป็นผลจากการกระทำของเราเอง อย่าโทษโชคชะตา โทษคนอื่น โทษสังคม โทษดินฟ้าอากาศ โอกาสมีสำหรับคนที่เสาะแสวงหา และลงมือทำ
ถ้าเราพูดประกาศตัวว่าเป็นคนดีๆๆ โกรธคนที่มามองเราว่าเป็นคนไม่ดี แต่เราไม่ลงมือทำความดี ใครจะเชื่อ
ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา จะเป็นเรื่องดี หรือเรื่องแย่ จะเป็นเรื่องที่คิดว่าบังเอิญ หรือเป็นเรื่องที่จงใจอาจจะเป็นเพราะ มีบางสิ่งบางอย่างที่เราต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์นั้นๆ ถ้าเรามีสติมากพอ ถ้าเราไม่ใช้อารมณ์และความโกรธ มองโลกในแง่ดี เราจะรู้ได้เอง ว่า สิ่งที่เราต้องเรียนรู้ และก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ คืออะไร เมื่อครั้งนึง เราเคยผ่านไปได้แล้ว....ถ้ามีครั้งอื่นๆ มันอาจจะเป็นเรื่องปรกติธรรมดา ที่เรารู้สึกชาชินก็ได้ หรือมันอาจจะไม่เกิดกับเราอีก
แต่ถ้าเราขาดสติในการแก้ไขปัญหา สุดท้ายแล้ว เราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไร ถ้ามีเหตุการณ์แบบเดิมๆ มาทดสอบเราอีก เราก็จะเป็นเหมือนหมาวิ่งไล่งับหางตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ได้มองรอบข้าง ไม่ได้มองเหตุและผล
จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะโอบกอดคนที่ไม่รู้จักอย่างจริงใจ จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะเข้าใจคนอื่น แม้แต่อริ คนที่เกลียดเรา จะเป็นไปได้ไหม ที่เราจะยิ้มให้กับคนแปลกหน้า ในเวลาที่ขุ่นมัว
สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายๆ แต่ต้องฝึก (บอกตัวเอง)
ณ ช่วงเวลาของความเลวร้าย คนที่มองโลกแง่ดี ก็จะเห็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ มองเห็นความผิดพลาด เป็นโอกาสที่จะแก้ตัว แต่ถึงอย่างไร การยึดหลักทางสายกลาง ยังใช้ได้อยู่เสมอ อย่าคาดหวัง เพราะถึงแม้จะสติพร้อม มองโลกในแง่ดี แต่บางครั้ง ถ้าเราขาดประสบการณ์ ขาดปัจจัยหลายๆอย่าง หรือบางอย่างมีมากเกิน ตั้งใจมากเกิน ตึงเกิน หย่อนเกิน มันก็อาจจะยังมีช่องว่างของความผิดพลาดเกิดขึ้นให้เราได้เรียนรู้บางสิ่งต่อไป
ในห้วงเวลาที่เรารู้ตัวว่า เราต้องเรียนรู้อะไร จากเหตุการณ์ดีและร้ายที่เกิดขึ้นรอบตัว มันเป็นความสุขที่อธิบายได้ยาก ถึงจะเป็นความผิดพลาด ที่หันกลับไปมอง อาจจะแปร๊บๆ ในหัวใจ แต่ก็มีความยินดี ที่เรามองเห็น และพยายามแก้ไข
ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด แต่ถ้าเราเรียกร้องให้คนอื่นอภัยให้ความผิดของเรา เราก็ต้องพร้อมที่จะอภัยให้คนอื่นเช่นกัน
ขอโทษอย่างจริงใจ และ อภัยให้อย่างจริงใจ
ใครอยากรู้ว่าเป็นยังไง ลองทำตามดูนะ
**** ลองนึกภาพคนที่เราไม่ชอบขี้หน้า คนที่ทำให้เราไม่พอใจ คนที่ทำให้เราโกรธ ให้มาอยู่ตรงหน้าเรา เอาแบบมองให้เห็นหน้าตา ท่าทาง ทรงผม เสื้อผ้า รายละเอียดเล็กน้อยต่างๆ ที่เราจดจำเค้าได้ทั้งหมด เหมือนมาอยู่ตรงหน้าเราจริงๆ นั่งจับมือเค้าไว้ แล้วลองคิดว่า เราเป็นคนคนนั้นจริงๆ หาเหตุผลว่า เพราะอะไร เค้าถึงทำแบบนั้นกับเรา มีเหตุผลอะไร ที่ทำให้เค้าคิดแบบนั้น ทำแบบนั้นได้บ้าง เสมือนว่าเราเป็นคนคนนั้นเอง
จากนั้นให้ตัวเราเอง พูดกับคนคนนั้นว่า ชั้นเข้าใจและอภัยให้เธอออกมาจากหัวใจ
มันสุดยอดดมากกก อาจถึงขั้นบ่อน้ำตาแตก เป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก กับการปลดปล่อยพันธนาการตัวเองด้วยการให้อภัยคนที่เราเกลียด โกรธ ไม่ชอบขี้หน้า
ไม่ว่าเค้าจะทำร้ายเรา ทำให้เราไม่พอใจด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม อาจจะประสบการณ์ อคติ สิ่งที่เค้าเคยเจอและเรียนรู้มา แต่เราเข้าใจ และให้อภัยเค้าอย่างจริงใจ ถึงเค้าอาจจะไม่รับรู้ แต่เราได้ปลดปล่อยตัวเองด้วยการให้อภัย ครั้งหน้า หรือครั้งไหน ถ้าเจอคนแบบนี้มาทำกับเราอีก เราจะโกรธได้ลงหรอ
(หลายคนบอก อินี่ ดราม่า โลกสวยอีกละเมิง)
เราเคยกอดให้กำลังใจคนแปลกหน้า ที่ยืนอยู่ข้างๆ สัมผัสกับความเป็นมนุษย์ เพิ่งได้นิยามคำอธิบายความรู้สึกแบบนี้ได้หลังจากคุยกับพี่คนนึง ว่า อ่อ..การที่เราสัมผัสคนอื่นในระดับความเป็นมนุษย์ด้วยกัน มันเป็นแบบนี้นี่เอง ไม่มีหัวโขนใดๆ มาขวางกัน มันรู้สึกแบบนี้นี่เอง เราเคยจับมือให้กำลังใจคนไม่รู้จัก ส่งผ่านกำลังใจไปให้คนคนนั้น
แต่อาจจะเป็นเพราะ เป็นคนไม่รู้จักเลยกล้า ถ้าเป็นคนรู้จัก บางที จะแปลกๆ มะ คงต้องฝึกสินะ
ความรู้สึกดีๆ ที่เคยสัมผัสนั้น มันจะออกมาทุกครั้ง เวลาที่เรารู้สึกขุ่นมัว โกรธ ท้อแท้ เหนื่อย ทำให้รู้สึกว่า เรายังควรที่จะเชื่อมั่นในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันต่อไป
เรามาฝึกไปพร้อมๆ กันนะ ^_^
หนอยย...อิแม่สายสะพายดราม่า...ทำไงได้ ก็โลกมันสวยจริงๆ นี่ สะบัดบ็อบแรงๆ ทีนึง .5555555
แค่ตื่นเช้ามา ก็อยากยิ้มให้ต้นไม้ ยิ้มให้ตัวเองในกระจก กอดคนข้างๆ กอดลูก รับความหวังดีจากคนที่บ้านเบาๆ ก่อนออกจากบ้านไปทำงาน เจอคุณลูกค้าที่รัก ก็คนมันมีความสุขนี่นา...
หรือถ้าใครคิดไม่ออก แต่อยากสัมผัสความรู้สึกแบบนี้ด้วยตัวเอง แนะนำให้มาเวริคช็อบอันนี้ แล้วน่าจะเข้าใจสิ่งที่ดิชั้นพูดถึง (ไม่ได้เป็นหน้าม้านะ ไม่รู้จักอาจารย์ Gil ก่อนหน้านี้เลย แต่ลองหาข้อมูลอ่านกันเองแล้วกัน ไม่ได้บอกให้เชื่อสิ่งที่พูด ลองหาข้อพิสูจน์ดู)
แล้วเจอกัน อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นไง ศิษย์หลายครูก็งี้แหละ แหะ แหะ
Create Date : 06 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 6 ตุลาคม 2555 0:23:49 น. |
|
14 comments
|
Counter : 2597 Pageviews. |
|
|
ชอบประโยคนี้ที่คุณเขียนจังคร่า :)