4 เดือนผ่านไปกับการสำรวจตัวเองผ่านกระบวนการไดอะล็อค
หลังจากฟื้นคืนชีพได้สติคืนมานิดหน่อย นั่งพักให้หายปวดหัวด้วยการอัพบล็อค พอเริ่มจะขยับอัพบล็อคเรื่องไดอะล็อค ไปคุ้ยเจอ entry เก่าๆ เกี่ยวกับไดอะล็อคที่เขียนไว้หลังจากกลับมาหลายอัน แต่ไม่ได้ publish ไว้ แต่ก็ดองมันไว้ซะอย่างนั้น เพราะพอนานวันเข้า กลับมาเขียนต่อ มันเริ่มไม่สดใหม่ ไม่ตื่นเต้นละ ช่างมันละกัน -_-'' เลยคิดว่าเปิดเป็นกรุ๊ปบล็อคอันใหม่ขึ้นมา ไว้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับไดอะล็อคโดยเฉพาะแล้วย้ายทุกอันมารวมกันไว้ที่เดียวละกัน
ช่วง 1-2 เดือนนี้ แยกร่างไปวงไดอะล็อคมาได้ แค่ครั้งเดียว แต่สัปดาห์ก่อน ใช้เวลา 3.5 วันไปกับ landmark forum ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้รู้สึกว่า มาถูกทางแล้ว ไม่ว่าจะไปสัมมนา หรืออบรมอันไหน สุดท้ายแล้ว ทุกสิ่ง ทุกคน พูดถึงเรื่องเดียวกัน วนซ้ำไปซ้ำมา นั่นคือ การเจริญสติ พิจารณาและรู้เท่าทันความคิดตัวเอง ฝึกที่จะปล่อยวาง ลดอัตตาตัวเองลง แน่นอนว่า มันเป็นสิ่งที่หลายๆคนรู้ดี ว่า ต้องทำ และควรจะทำ และเราหลายคนก็คิดว่าพอพูดถึงการเจริญสติ ก็จะว่าไปถึงการเข้าวัด นั่งสมาธิกันไป จริงๆ แล้ว เราค้นพบด้วยตัวเองว่า การเจริญสติ พิจาณารู้เท่าทันตัวเองไปพร้อมๆ กับการใช้ชีวิต เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ทุกขณะ สุดแท้แต่ จริตแต่ละคน
ตอนไปแลนมาร์คฟอรั่ม....ณ โมเม้นต์ที่รู้สึกว่า เราจะต้องฝ่าความกลัวไปให้ได้ ใจนึงก็อยากจะวิ่งหนี อีกใจก็รู้สึกว่า ถ้าผ่านไปไม่ได้ มันก็จะไม่ได้อยู่แบบนี้แหละนะ ชีวิต ส่งข้อความไปหาพี่หุย ก็ได้กำลังใจกลับมา.....ตอนนั้น คิดถึงวงไดอะล็อคมากกกกกกกกกก มีสิ่งนึกที่แว๊บเข้ามาในความคิด อ๊ะ มันคุ้นๆ...จริงๆ พื้นที่แห่งการรับฟัง และใคร่ครวญพิจารณาตัวเอง ก็ทำให้เรา breakthrough ได้นะ แต่นั่น จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเรามีความพร้อมด้วยตัวเองจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันต้องใช้เวลา เบรคทรูอาจจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดเลยก็ได้ ถ้าหากเรายังค้นหาความเป็นเนื้อแท้ (authentic) ของตัวเองไม่เจอ ยังจับความรู้เท่าทันตัวเองไม่ได้
ที่ผ่านมา เราไม่เคยเข้าใจคำว่า authentic หรือความเป็นเนื้อแท้เลยในวงไดอะล็อค (แต่ดันคิดว่าตัวเองเข้าใจ) ได้ยินคุณอ๊บพูดถึงบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจซะทีเดียว ถึงแม้จะมีการแชร์ออกไป มานึกพิจารณาทีหลังว่าจริงๆ แล้วยังคงเป็นความพยายามเรียบเรียงสื่อสาร ถึงแม้ในมุมมองตอนนั้นความรู้สึกทีเ่ป็นปัจจุบันขณะ ไม่ตัดสินคนอื่น ไม่พาดพิงคนอื่น แต่ นั่นไม่ได้หมายความว่าเราดึงเอาความเป็นเนื้อแท้ออกมาทั้งหมด เรายังมีบางส่วนที่เก็บไว้ อยากทำให้ตัวเองดูดี อยากเหนือกว่าคนอื่น อยากชนะ อยากให้เหตุผลบอกตัวเองว่า เรานั้นอาจจะไม่ผิดก็ได้ หรือผิด ก็ผิดน้อยล่ะวะ ใครๆ ก็เป็นกัน -_-''
สำหรับเราแล้ว landmark forum จึงเป็นเหมือนหลักสูตรเร่งรัด ที่บีบคั้นเอาความเป็นเนื้อแท้ของตัวเราเองออกมา หรือช่วยให้เรามองเห็นตัวเองชัดขึ้น ผ่านเรื่องราวของคนอื่น ไม่ว่า เราจะดี จะเลว จะแย่ จะมีมุมมืดที่น่ารังเกียจแค่ไหน เราก็เรียนรู้ที่จะก้าวผ่านความกลัวอันนั้น และยืดอกขึ้นมายอมรับสิ่งเหล่านั้น พร้อมๆ ไปกับ การฝึกปล่อยวางอัตตาของตัวเองลง และรู้สึกว่า การทำไดอะล็อค จริงๆ แล้ว ให้ผลได้เหมือนกัน แต่มันอาจจะไม่ทันใจปรู๊ดปร๊าด เพราะไดอะล็อค เปิดพื้นที่ว่างให้เรา เลือก ว่าเราพร้อมที่จะหยิบยกเรื่องไหนมาใคร่ครวญก่อน มีบางเรื่องที่เราอาจจะยังอยากหลบอยู่ในมุมที่ปลอดภัย ณ วันนึง เราอาจจะมีความกล้าหาญที่จะฝ่าความกลัวที่วางอัตตาของตัวเองลงทีละเรื่อง ละเรื่อง ลดละจากการ แพ้ ชนะ ถูก ผิด หรือให้เหตุผลกับตัวเองต่างๆ นาๆ เราสามารถเห็นตัวตนของเราเอง ผ่านวงไดอะล็อคได้เช่นกัน และไดอะล็อค สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดี เปิดพื้นที่ในการสื่อสารซึ่งกันและกัน ทั้งผู้พูดและผู้ฟังมากขึ้น
ถึงแม้สำหรับเรา บางแง่มุมสำหรับการสื่อสาร ไดอะล็อคอาจจะยังไม่ใช่ทั้งหมด เช่น เมื่อเรารู้จักที่จะฟังมากขึ้น ปัญหาสำหรับตัวเองที่ตามมาคือเราจะพูดอย่างไร ให้เป็นเนื้อแท้ และสามารถสื่อไปถึงผู้ฟังได้ โดยที่ผู้ฟังไม่เจ็บปวด และเค้าสามารถรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความเป็นเนื้อแท้ของตัวเองออกมาด้วยเช่นกัน บางทีเป็นเรื่องยากก ที่เราจะละเลยความรู้สึกของผู้ฟัง อันนี้ ประสบพบเจอมากับตัวเอง โดยเฉพาะ คนฟังที่มีอัตตาสูงมากๆ แม้ว่าเราจะแชร์ไปด้วยความรู้สึกว่า เธอไม่ผิดนะ ที่เธอเป็นแบบนี้ แต่ช่วยไม่ได้ว่า ฉันรู้สึกแบบนี้ ฉันเจ็บปวดจากสิ่งที่เธอทำ....แต่สารที่ผู้รับได้ยิน อาจจะรู้สึกว่า เรากำลังตำหนิ และบอกว่า เขานั้นทำผิดอยู่ ทั้งที่จริงๆ ฉันไม่ได้บอกว่า สิ่งที่เธอทำมันผิดแต่อย่างใดเลย แต่ฉันก็ช่วยไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกแย่ บางที เหมือนอยู่ดีๆ ไปขี้ใส่กระโถนยังไงยังงั้น มันจะดีแค่ไหน ถ้าเราสามารถเป็นตัวนของเราจริงๆ กับคนทุกๆคน และต่างคนต่างยอมรับซึ่งกันและกันในความแตกต่างนั้น บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และเมตตาซึ่งกันและกัน
ณ จุดนึง ผ่านวงไดอะล็อค ในช่วงแรกๆ จากที่เราคิดว่าชีลๆ ไม่น่ามีไรมาก ฉันมาฝึกฟัง เราได้ค้นพบว่า ชิบหายแล้ว กูมีปัญหานี่หว่า เราใช้ชีวิตอย่างเป็นระบบอัตโนมัติ ฟังอัตโนมัติ ตัดสินอัตโนมัติ โต้ตอบกับเหล่าคนทั้งหลายในชีวิต อย่างเป็นอัตโนมัติ
เราค้นพบว่า เราเป็นนักแสร้งฟังที่ยอดเยี่ยม ทั้งๆที่ จริงๆ เป็นคนไม่ชอบคุยกะคนอื่น ไม่ใช่ไม่ชอบเพราะคิดว่าคนอื่นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ คือไม่ได้กลัว แค่ ชอบอยู่เงียบๆ นิ่งๆ คนเดียว แค่นั้น แต่ สามารถแสร้งแกล้งทำว่าสนใจสิ่งที่คนตรงหน้าพูดได้อย่างดีมาก ขอบอกว่า ด้วยอาชีพเซลล์ เจอคนเยอะมาก ที่ผ่านมาตั้งแต่เรียนจบ ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นคน แปลกหน้า คนแล้วคนเล่า ที่ต้องเดินเข้าไปหา นั่งรอในห้องประชุม คุยๆ ให้มันจบไป ด้วย hidden agenda ว่า กูจะพูดยังไงดีวะ ให้ลูกค้าซื้อ ไม่ได้ฟังหรอกนะ ที่ลูกค้าพูดๆมา พูดมาอย่าง ตีความไปอีกอย่าง อย่าเปิดช่องโหว่มาเชียว ฉันจะรีบหาข้อดีของตัวเองเข้าไปเสียบแทนที่ ให้รู้สึกว่า เธอขาดฉันไม่ได้ ต้องซื้อฉันแน่ๆ
กับคนรอบข้าง ยิ่งแล้วใหญ่ ณ ยุคสมัยที่มีคอมพิวเตอร์ และสมาทโฟนบังหน้า.....โชคดีจัง มีเกราะกำบังให้ไม่ต้องคุยกะใคร ณ เวลาที่ต้องคุย ก็ฟังๆ ไปให้มันจบๆ พอมันพูดจบ จริงๆ คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า จะตอบมันไปว่าไร
อะไรวะเนี่ย ที่ผ่านมา ใช้ชีวิต แบบไม่เหมือนใช้ชีวิตหรอเนี่ย พอเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองทีละนิดๆ ด้วยสารพัด tools ที่ไปร่ำเรียนมา เริ่มรู้สึกว่า เฮ้ยย...นี่แหละ ชีวิต จริงๆ ทุกอย่างในชีวิตดำเนินไปเหมือนเดิมเป๊ะ แต่รู้สึกว่า กำลังใช้ชีวิตอยู่จริงๆ มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ และรู้ว่าไม่มีความจำเป็นอะไรต้องสร้างภาพให้ตัวเองดูดี คนอื่นจะคิดยังไงกะเราก็ช่าง เมื่อเรารู้ตัวเองว่า นี่คือเนื้อแท้ของเราจริงๆ แบบไม่ต้องฝืน และเข้าใจคนรอบข้างมากขึ้นอีกด้วย ไม่ต้องรู้สึก guilty กับคนรอบตัว เช่น เวลาขี้เกียจคุยกับใคร แล้วต้องฝืนคุย ก็แค่ไม่อยากคุย หรือบางที เวลากลับบ้านดึก ไปทำงานต่างประเทศ ไม่มีเวลาให้เด็กน้อยที่บ้าน แต่เราก็รู้ว่า สิ่งที่เราทำเวลาอยู่ด้วยกัน เราทำเพราะเรารักกัน เรามีเวลาคุณภาพดีๆ ด้วยกัน ผ่านการสื่อสาร หรือ ผ่านการกระทำเล็กๆน้อยๆ สิ่งสำคัญไม่ใช่ปริมาณเวลา แต่ก่อนจะรู้สึกผิดตะหงิดๆ นอยด์เล็กน้อย เวลาต้องทำงานดึกๆ หรือไปต่างประเทศ หรือ ไม่ได้เอาลูกเข้านอนด้วยตัวเอง ลูกหนีไปนอนกะคุณยายหรือ ถ้าวันไหน ไม่ได้ให้เวลากับลูกเท่าที่ควรจะเป็น บางครั้งด้วยความรู้สึกผิดลึกๆ ทำให้เวลาที่อยู่ด้วยกันซึ่งก็มีไม่มากอยู่แล้ว บางทีก็เผลอเอาความหงุดหงิดไปใส่ไว้โดยไม่รู้ตัว ลูกวิ่งหนี หนักกว่าเดิมอีก
หลายๆ ครั้งที่หวนกลับไปนึกถึงปาฐกถา ของท่าน ติช นัท ฮันห์ ครั้งที่ท่านมากรุงเทพในหัวข้อเรื่อง Together we are one ถ้าเป็นแต่ก่อนฟังพระเทศน์ คงนั่งเถียงในใจตลอด ใครจะไปทำได้วะ แม๋ ทฤษฎีน่ะ มันง่าย แต่ถ้าเราเจอคนไม่ดี มาทำอะไรกับเราคนคนนั้นก็สมควรจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีตอบแทนไปสินะ จะให้ทำดีกับคนไม่ดีได้ยังไง แต่เมื่อตอนไปฟังครั้งนั้น เป็นการฟังหลังจากเจอไดอะล็อค หลังจากเจอ NVC เป็นการฟังแบบ ฟังจริงๆ และเข้าใจจริงๆ ว่า การฟังในรูปแบบที่ใช้หัวใจฟัง ไปพร้อมๆ กับใช้ความเมตตาว่า เราทุกคนล้วนเป็นหนึ่งเดียว มีความทุกข์และความต้องการที่เหมือนๆ กันนั้น เป็นอย่างไร ถ้าหากทำได้จริงในทุกสถาณการณ์ในชีวิตประจำวัน จะมีความสุขมากขึ้นแค่ไหน โลกจะสงบสุขมากขึ้นแค่ไหน
บางขณะที่เราไม่รู้ตัวว่าเวลาเราเป็นพื้นที่แห่งการรับฟัง เมื่อเราฟังแบบไม่ตัดสินคนอื่น พอมารู้ตัวอีกที เหมือนจะมีเสียงพูดที่เราไม่ได้ยินแทรกขึ้นมาในคำพูดที่เราได้ยิน แม้จะเป็นประโยคเดิมๆที่เราได้ยิน แต่เรารู้ถึงความหมายของมันมากขึ้นอย่างน่าแปลกใจ โลกใบเดิม ทุกสิ่งเหมือนเดิม แต่เราเหมือนอยู่ในโลกใบใหม่ที่แตกต่างออกไป จากเสียงบ่น เสียงว่า มันกลายเป็นเราเลือกจะได้ยินว่า ลึกๆ แล้วเขาเหล่านั้น กำลังบอกรักกันอยู่
วันก่อนโน้น คุยกะคุณอ๊บ ก็ขำๆ ว่า สงสัยคล้ายๆกัน คนนึงสงสัยว่า ถ้าตัวเองรู้จักไดอะล็อคก่อนแลนด์มาร์ค จะเป็นยังไง เหมือนที่เราสงสัยว่า ถ้าเรารู้จักแลนด์มาร์คก่อนไดอะล็อค จะเป็นยังไง พอมานั่งคิดๆ ดูแล้ว everything happens for a reason ป่วยการจะส่งสัย ว่า ทำไมเราถึงไป MMI ของ T Harv ก่อน แล้วไป Dialogue พร้อมๆ กับ NVC และแลนด์มาร์คฟอรั่ม ช่วงสัปดาห์นั้นในฟอรั่ม เป็น 3 วันเต็มๆ ที่ใช้พลังชีวิตสูงมาก ใช้สมาธิในการฟังแบบสุดๆ (ปกติก็เป็นคนที่จดจ่อกับอะไรแล้ว สามารถปิดโสตสัมผัสได้แทบจะ 100% อยู่แล้วอะนะ) แล้วรู้เลยว่าโชคดีมากที่รู้จัก Dialogue ก่อน มันช่วยให้เรามีประสิทธิภาพในการรับฟังเรื่องราวในฟอรั่มมากขึ้นและยังมีอาวุธอื่นๆ อย่าง NVC และแนวคิดของ T Harv มาช่วยเป็นกำลังเสริม ทำให้เบรคทรูไปได้หลายเรื่อง
ขอบคุณที่ปรึกษาหลายๆคนที่เป็นพื้นที่แห่งการรับฟังที่ดีมาตลอดและคนที่ผ่านมาในชีวิตทุกคนเป็นเหมือนครู และกระจกช่วยทำให้เรามองเห็นตัวเอง และที่ทำใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุขในแบบที่เป็น
นางงามโบกมืออำลา สวยๆ ไปนอน
Create Date : 22 มิถุนายน 2556 |
Last Update : 22 มิถุนายน 2556 23:15:23 น. |
|
0 comments
|
Counter : 724 Pageviews. |
|
|