ออกเดินขบวนจากบ้านสวน ไปในหมู่บ้าน ไปกลับถ้าให้เดา ระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร พี่ๆ เดินนำลิ่วไปโน่นน เพราะต้องตามหลวงปู่ให้ทัน
ยิ่งเดิน ยิ่งห่าง มิวมิวบอก wait for meeeeeeee.........แม่รุ่งช่วยอุ้มมิวมิววิ่งไปให้ทันพี่ๆ ส่วนแม่มิว มัวแต่โอดครวญเจ็บเท้าอยู่ (ไหงงั้น!!)
มิวมิวเองก็ทดลองถอดรองเท้ากะเค้าบ้าง แต่ไม่ไหวจริงๆ ขนาดผู้ใหญ่เดินไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตรยังคิดถึงรองเท้าใจจะขาด เด็กๆแถวหน้าอึดกันมาก ไม่มีบ่นซักคำ หนทางเต็มไปด้วยกรวด หิน ดิน ทุกย่างก้าวโชคดีที่แม่หยิบรองเท้ามิวมิวติดมือมาด้วย เลยได้ใส่สิทธิพิเศษใส่รองเท้าเดิน แต่ก็ล้าหลังพี่ๆ เพราะหลวงปู่ท่านเดินเหมือนปรกติไม่รีบร้อน แต่ไวม๊ากกก....
ระหว่างทางที่เดิน แม่ก็เดินไป ปลงไป แล้วก็คิดในใจว่า พระท่านคงเจ็บจนชิน เดินไปภาวนาไปสินะ เพื่อญาติโยมที่ศรัทธา คนที่ใส่บาตรได้บุญเพราะอย่างนี้นี่เอง เวลามีคนใส่บาตร หรือได้ของมาเยอะๆ เด็กๆ ก็จะดีใจ เราเองก็ชื่นชม อิ่มเอิบใจ อนุโมทนาไปด้วย แบ่งของกัน ช่วยกันถือ มิวมิวตัวจิ๋วไม่พลาด ขอพี่ๆช่วยถือบ้าง ได้รับแบ่งนมกล่อง และขนม มาใส่ย่ามน้อยๆ ช่วยหลวงปู่แบกกลับกุฎิอีกแรง เป็นภาพที่น่ารักมาก...
โดนทิ้งห่างและเริ่มจะเดินกลับไม่ไหว แต่แม่ก็เข็นให้เดินต่อไป เพราะแม่เดินเท้าเปล่า อุ้มไม่ไหวจริงๆ ยิ่งอุ้มน้ำหนักตัวยิ่งกดลงไปบนหิน..โอววว.....ระลึกถึงบุญคุณรองเท้าคู่ละ 79 บาทขึ้นมาตะหงิดๆ นึกปลงว่า นี่สินะ ประโยชน์ที่แท้จริงของรองเท้า จะถูกจะแพง มันก็มีประโยชน์ที่แท้จริงเพียงเท่านี้ อิฟลิบฟลอบ หรือรองเท้าไฮโซคู่ละกี่พัน กี่หมื่น เราใส่เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน อื่นๆนอกเหนือ อยู่ที่คนใส่จะปรุงแต่งกันไป สัจธรรมที่เรียนรู้ได้จากการเดินตามหลวงปู่บิณฑบาตวันนี้ เป็นบทเรียนที่ล้ำค่ามากมาย ^_^
กลับมาถึงบ้านสวน 8 โมงกว่าได้....เอาอาหารที่ได้มา ใส่ถาดไปถวายหลวงปู่พิจารณา และสวดมนต์ กรวดน้ำ ฟังหลวงปู่เทศน์ เรื่องง่ายๆ ให้เด็กๆ ฟัง.....เรานั่งๆ ไปแล้วก็คิดว่า อิจฉาคนต่างจังหวัดซะจริง ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ และธรรมมะ เป็นกิจวัตร ไม่ต้องขับรถไปวัดเพื่อใส่บาตร (วัดแถวบ้าน นี่ ต้องแย่งที่จอดกันอีก รถติดอีก แค่คิดก็เพลีย) เป็นวิถีชีวิตที่คนเมืองห่างไกลออกไปทุกวันๆ
อาหารเช้าเป็นข้าวต้มข้าวกล้อง ใส่ผัก (มังสวิรัติตามเคย) เห็ดฝอยๆ ทำคล้ายหมูฝอย ไข่พะโล้ เป็นข้าวต้มที่โคดดอร่อยยยย ดูทำไม่น่ายาก แต่ทำเองคงไม่เหมือนแง๋ม ....อิ่ม อุ่น สบายท้อง เด็กๆ กินข้าวเสร็จแล้วต้องล้างจานเองด้วยนะ
กิจกรรมตอนเช้าวันนี้ ต่อจากเมื่อวาน คือ กลุ่มมิวมิว เอามะกรูดที่ต้มแล้วมาทำเป็นแชมพูให้เสร็จ (ต้องรอให้เย็น) โดยเอามาปั่น แยกกากไปทำปุ๋ย ส่วนที่เป็นน้ำใช้เป็นแชมพูได้เสร็จสรรพ เก็บได้นาน 3 เดือนโดยประมาณ (ไม่ควรเก็บไว้ในที่ร้อนหรือโดนแดด) ใครจะไปลองทำเองที่บ้านได้เลย ง่ายมากก หอมสุดๆ
เด็กอยากช่วยอีกแล้วว
ปั่นและกรองแยกกากแบบนี้
คนละไม้คนละมือ
ใส่ขวดพักไว้ก่อน เดี๋ยวพ่อเอกจะไปหาขวดสวยๆ มาแบ่งแจกจ่ายให้เด็กๆทุกคน
ผลงาน แชมพูมะกรูด
น้ำยาอเนกประสงค์
เด็กๆ ออกมาสรุป อภิปรายกิจกรรมเป็นกลุ่มๆ เล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่า แต่ละกลุ่มทำอะไรบ้าง ขั้นตอนเป็นยังไง คุณครูโกะถามว่า กลุ่มไหนอยากจะออกมาก่อน...ตามสไตล์เด็กไทย ไม่ว่าจะโฮมสคูลหรือไม่ ขอออกเป็นกลุ่มสุดท้ายดีที่สุด (ไหงงั้น พอแก่ๆ แล้วดิชั้นกลับดีใจอยากเห็นเด็กๆ ยกมือและแย่งกันออกไปพูดแฮะ จะผิดจะถูกไม่เห็นเป็นไร น่ารักดีออก) เจ้าตัวจิ๋วมิวมิวของอิชั้น รีบยกมือขึ้นสูงงงเป็นคนแรกทันที พี่ๆในกลุ่มมองหน้า ประนามด้วยสายตาเล็กน้อย เพราะ ไอ่คนยกมือ ไม่ใช่คนออกไปพูดแน่นอน 55555 แม่ก็แอบดีใจ ชื่นชม ที่เจ้าตัวเล็ก ใสซื่อ และกล้าหาญ
เมื่อวันแรก ในกิจกรรมวงกลม ตอนเพิ่งมาถึงค่าย พอคุณครูเปิดโอกาสให้ซักถาม เจ้ามิวมิวซึ่งพยายามจะถามครูในระหว่างที่พูดหลายครั้ง แม่บอกให้รอก่อน พอครูพูดจบค่อยยกมือถามนะ พอมีโอกาส เธอยกมือขึ้นถามคนแรก ถามสิ่งที่เธอสงสัยมานานทันที "คุณครูค๊า...เราจะทำนากันที่ไหนค๊าาาา" แม่ล่ะฮา แอบสงสัยว่า เจ้าความสงสัยใคร่รู้ กล้าซักถาม กล้ายกมือ กล้าแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ หรือไม่เก่งโดยไม่กลัวสความคิดและสายตาของคนอื่น ว่าจะมองเราว่าเปิ่น ทำไม่ดี ทำไม่ถูก หรือโง่ สิ่งเหล่านี้มันจะหายไปจากตัวเด็กเมื่อไหร่นะ ระบบโรงเรียนจะทำให้หายไปหรือเปล่า หรือเป็นที่ nature ของตัวเด็กเอง
กิจกรรมต่อมาน่ารักมากกกกกก ให้เด็กๆ ทำของเล่นด้วยตัวเอง ไฮไลท์อยู่ที่คนสอนทำของเล่น เป็นคุณย่าทวดอายุ 85 ปี สอนตัดกระดาษเป็นตุง และคุณย่าบ้านสายลมจอยสอนสานทางมะพร้าวเป็นปลาตะเพียนและนก ผู้อาวุโสสองท่านถ่ายทอดความรู้ การทำของเล่นให้เด็กๆ เป็นการมารวมกันของคนต่างวัย ที่คุยเรื่องเดียวกันได้อย่างน่ารัก
คุณย่าทวด สายตาดีมาก ปราณีตสุดๆๆๆ
กิจกรรมนี้ไม่ค่อยถูกจริตเด็กลิงอย่างมิวมิวเท่าไหร่ อาจจะยากไปนิด สำหรับเด็กเล็ก แต่ถ้าเป็นปืนทางมะพร้าวหรือม้าก้านกล้วยล่ะ ขอให้บอก อิอิ
แก๊งนี้ทำของเล่นเสร็จ(หรือไม่เสร็จแต่เลิกทำ) มานั่งชีลตกปลากัน (จริงๆ คือให้อาหารปลาซะมากกว่า โดนปลากินเบ็ดอีกต่างหาก)
พักกินข้าวกลางวัน ผัดผักกูดอร่อยม๊ากกก
มีเวลาให้เด็กไปวิ่งเล่น ปีนต้นไม้ ห้อยโหน แก้ง่วงหลังอิ่มข้าว
กิจกรรมปั้นดินเหนียว พ่อเอกให้ไปหาอะไรก็ได้ จากธรรมชาติ ที่เด็กๆ มองว่าเป็นของเล่น.....ยกตัวอย่างเช่น ใบไม้ เป็นเรือ เด็กหลายคนจึงไปหาใบไม้ แล้วบอกว่า นี่คือเรือ....ส่วนมิวมิว วิ่งไปเก็บลูกมะพร้าว บอกว่า นี่คือลูกฟุตบอลของมิวมิว จากนั้น ใช้ของเล่นที่หามาได้ ปั้นแต่งเติมเรื่องราวด้วยดินเหนียว และเล่าเป็นเรื่องให้สอดคล้องกันทั้งกลุ่ม
พักเบรค หม่ำๆ ผลไม้สดๆ พ่อเอกสอนวิธีการกินผลไม้ให้เด็กๆ ดูว่า ผลไม้ชนิดไหน กินยังไงและปอกเปลือก หั่นยังไง ให้เด็กได้ลองทำด้วยตัวเอง ลูกดิชั้นไม่สนใจที่มาที่ไป กินอย่างเดี๊ยววว
บ่ายๆ ความสนุกก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ภาระกิจของเด็กๆวันนี้ คือ ทำกับข้าวด้วยตัวเองจ้า....ทุกคนมีอุปกรณ์ให้คือ เตาถ่าน หม้อ ไห กะทะ ที่เหลือ ให้หาเองหมด โดยจับฉลากกันว่ากลุ่มไหนจะได้ทำอะไร เป็นเมนูภาคบังคับ ระหว่าง หุงข้าว ทำกับข้าว และขนมหวาน กลุ่มเรานึกว่าจะสบายตีพุงซะแล้ว เพราะสัมภาษณ์พี่พล พี่พลบอก กับข้าวทำได้ทุกอย่างคับ บอกมาเลย ฮิ้ววววว....แต่ดั้นนน มือดีจับได้ขนมหวานสินะ เมนูจึงลงเอยด้วย บัวลอยและกล้วยบวชชี แม่ต้องแอบโทรสับไปถามวิธีทำจากเพื่อนให้อ่ะ 5555
แยกย้ายกันไปเก็บดอกอัญชัญ ใบตำลึง และก่อไฟ
จะรอดมะเนี่ย ท่าทาง กว่าจะได้วัตถุดิบมาครบ คุณป้าบึ่งมอไซค์ไปตลาดซื้อกะทิ และแป้งข้าวเหนียวมาให้เด็กๆ กลุ่มนี้จึงได้ฤกษ์ลงมือเริ่มทำทีหลังชาวบ้าน (แถมทำยากอีกนะ)
พี่ก้านตองกะพี่พล ช่วยกันหั่นกล้วย
โฮววว มิวมิ๊ววววว
ทุ่มทุนขนาดนี้ ไม่อร่อยให้เตะ(มิว)
เพื่อนกลุ่มอื่นทำเสร็จไปเรียบร้อยหมดแล้ว กลุ่มนี้สุดท้าย พี่ต้นกล้าและคนอื่นๆจึงมาช่วย ใช้เตา 3 เตาของ 3 กลุ่มเลย หม้อนึงกล้วยบวชชี หม้อนึงน้ำกะทิบัวลอย อีกหม้อพี่ต้นกล้าช่วยต้มบัวลอยให้สุก ชุลมุนดีแท้ เด็กๆไม่มีกระจิตกระใจจะทำแระ อยากหนีไปโดดน้ำคลองท่าเดียว
รางวัลของวันอันเหน็ดเหนื่อยสำหรับเด็กๆ
ผลงานของเด็กๆ เกลี้ยงงงงงง....มิวมิวบ่นใหญ่เพราะกว่าจะอาบน้ำเสร็จ มาช้า พี่ๆกินบัวลอยหมดเกลี้ยงไม่เหลือเลย อดดด 55555
ก่อนนอนทำกิจกรรมนิดหน่อย เขียนสมุดบันทึก ก่อนจะหลับปุ๋ยกันไปตั้งแต่สองทุ่มกว่า รวมถึงแม่ด้วย คร่อกกกกกก........(แต่ตื่นตอนเที่ยงคืนกว่านึกว่าเช้าแล้ว ทุ๊กกวันสิน่า...นอนเยอะเกิ๊นน)
บทเรียนวันที่สองสำหรับแม่ที่มานั่งคิดๆ แล้วไม่รู้ว่า คนเมือง หรือคนต่างจังหวัด ใครมีบุญมากกันแน่ เราเคยคิดนะว่า ต่างจังหวัดนี่มันห่างไกลความเจริญ ห้องน้ำไรก็ลำบาก อาหารการกินไหนเลยจะสู้กรุงเทพได้ ห้องอาหารหรูๆ จะกี่สัญชาติมีให้เลือก อร่อยเยอะแยะไปหมด ใครๆก็ดิ้นรนอยากจะมาใช้ชีวิตในเมืองหลวง ห้างก็มีเดิน รถก็มีขับ
ทริปนี้ ได้มุมมองใหม่ๆ กลับไปว่าสิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่าในเมืองเจริญแล้วมี มันมีทั้งคุณและโทษ อย่างหลังน่าจะมากกว่าซะอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่ามา แลกมาด้วยเงินปัจจัยที่ 5 ทั้งนั้น ทำงานกันงกๆๆๆๆๆ เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา ที่ไหนได้สุดท้ายก้หมดไปกับของนอกกาย จ่ายค่าอาหารแพงๆ ค่าพร็อบ ค่าเฟอร์ต่างๆประดับบารมี...มาที่นี่ ข้าวเต็มท้องนา กินแต่ผักก็อร่อย เดินไปทางไหนก็มีแต่ของกิน ผลไม้เยอะเหลือทิ้งเหลือขว้าง ไม่ต้องซื้อต้องหา วัดก็อยู่ใกล้ๆ ธรรมะอยู่รอบตัว ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ไอ่ที่เรามองว่าเพียบพร้อม มีเยอะกว่ามันเป็นสิ่งที่คนหามาปรุงแต่งเองทั้งนั้น เค้ามานั่งคิดถึงตัวเองแล้วขำ....เป็นแบบนี้...555
ทุกคนเป็นหนูแฮมสเตอร์ในลูกบอล แล้วก็วิ่งๆๆ ทำงานๆๆๆๆๆ สรรหาสิ่งต่างๆมาประดับลูกบอลของตัวเอง หามือถือ หาแบรนด์เนม หาบ้านสวยๆ รถหรูๆมาขับ จะคุยกัน ก็ต้องมองข้ามลูกบอลของคนอื่นเข้าไปก่อน...
เวลาเราเสาะแสวงหาธรรมชาติ ซึ่งเป็นความต้องการดั้งเดิมของตัวเอง สิ่งที่ร่างกายเรียกร้อง เราเดินบนพื้นหญ้า ไปเที่ยวทะเล เราก็จะแบกลูกบอลนี้ไปด้วย มองผ่านลูกบอลออกไป แล้วบอกว่า นี่มันช่างสวยจริงๆ เลย....ถ่ายรูป อัพเฟสบุ๊คอวดเพื่อน แล้วกลิ้งลูกบอลกลับ 5555555