ไม่รู้ตรรกของตลาดหุ้น  อย่าหวังเอากำไรไป (ตอน3)

เราต้องรู้ว่า  จำนวนหุ้นที่ขึ้นทะเบียนในตลาดหุ้น นับวันมีแต่เพิ่มมากขึ้น  โอกาสลดจำนวนมีน้อย  (ไม่รวมหุ้นกลุ่ม dw  เพราะเหมือนเข้ามาเป็นทางเลือก ขอยืมเวทีขอยืมสถานที่ตั้งแผงลอย แล้วถึงเวลาหนึ่งก็จากไป ส่วนมากก็ดูดเอาเงินคนเล่นไปด้วย ยกเว้นผู้เล่นที่ฉลาด ตีหัวเข้าบ้านพอได้กำไรจากการเล่นเพียงครั้งสองครั้งก็เลิกไป ไม่เข้ามาแวะอีก)  เมื่อจำนวนหุ้นมีแต่ทรงและเพิ่ม ส่วนจำนวนเงินที่เข้ามาซื้อหุ้น มีทั้งลดและเพิ่ม ไม่แน่นอน ราคาจึงต้องแปรผันตรงตามจำนวนเงินที่เข้าออก  จึงเกิดคำถามว่า หากพบว่ากระแสเงินไหลออก แต่ราคาหุ้นในตลาดไม่ลง แถมดัชนียังทรงหรือเพิ่มขึ้น   คำตอบต้องรีบหามาด่วน  จะตั้งรูปแบบตุ๊กตาตลาดให้ดู  สมมตว่า มีหุ้น A และหุ้น B ทั้งสองบริษัทมีหุ้นหมุนเวียนในตลาด บริษัทละ 100 หุ้นรวมกัน 200 หุ้น  มีเงินเข้ามาซื้อหุ้นละ 1 บาทต่อคน  (ราคาจองวันแรก)  วันแรกเข้าตลาด มีการหมุนเวียนเล่นกัน หุ้น  A 300 หุ้น เฉลี่ย 1.50 บาท   ส่วนหุ้น B 50 หุ้น เฉลี่ย 0.90 บาท   คำตอบน่าจะเป็นว่า หุ้น A มีคนนำหุ้นมาขาย แล้วซื้อ ขาย มากกว่า 3 รอบ (เผื่อคนเก็บไว้เฉยไม่ทำอะไรด้วย) แต่ราคาเฉลี่ย กลับสูง แสดงว่า มีคนถือราคาตั้งแต่ 1.50 บาทขึ้นไปอย่างน้อย 50 หุ้น และที่เหลือ ราคาต่ำกว่า 1.50บาท ถึง1 บาท อีก 50 หุ้น  ถ้าวันถัดไป จำนวนหุ้นที่หมุนเวียนลดลง เหลือ 200 หุ้น และราคาเฉลี่ย 2.10 บาท แสดงว่า ยิ่งมีคนได้ราคาสูงขึ้น และจำนวนคนถือราคาสูงว่าเฉลี่ย 1.50 บาท มากกว่า 50 หุ้นแล้ว  วันที่สาม ราคาเฉลี่ยตกลงมา เหลือ 1.00 บาท จำนวนหุ้นหมุนเวียน 60 หุ้น  ยิ่งแสดงให้เห็นว่า คนติดหุ้นมีมากและจะมีกระแสเงินถอนออกไป(ขายเอากำไรไปแล้ว และอาจไม่กลับมาเล่นตัวนี้ ไปเล่น หุ้น B ต่อก็ได้หรืออื่น ๆ )  ถ้าจะตรวจสอบให้ละเอียด ค่าดัชนีอาจยังคงที่ แต่จำนวนหุ้นเล่นลดลง เพราะดัชนีจะคิดจากการราคา ไม่ได้คิดจากจำนวนที่จับคู่กัน   หุ้น A จะพบว่า มีคนติดหุ้นราคาสูงกว่า จอง (1.00 บาท) มากกว่า 40 หุ้น ลองหาจำนวนเงินดูจะพบว่า ราคาหุ้นลงมาเท่าราคาจอง แต่มีคนถือราคาแพงกว่า แสดงว่า กระแสเงินถูกดูดออกไป  ส่วนคนถือจำนวนหุ้นเท่าเดิม มี 100 หุ้น ด้วยราคาทุนที่แตกต่างตั้งแต่ 1 บาท ถึง มากกว่า 2.10 บาท  ส่วนหุ้น B   มี 50 หุ้นเสมอทุน 0.90 บาท แต่มี 50 หุ้นที่ขาดทุนโดยถือหุ้น ทุน 1 บาท เหลือ 0.90 (ขาดทุนทางบัญชีก่อน และขายเมื่อไรก็ขาดทุนเงินสดทันที)  อีก 50 หุ้นขาดทุนเพราะขายไปจาก 1 บาท เหลือ 0.90 บาท (ขาดทุนเงินสด หุ้นละ0.10 บาท)  

พอสรุปได้ว่า เมื่อ ดัชนียิ่งสูง ต้องมีกระแสเงินเข้าแล้วไม่ถอนออกไป คนจะมีกำไร(เป็นกำไรทางบัญชีเพราะยังไม่ขาย)  แต่พอมีกระแสเงินบางส่วนออกจากตลาด แสดงว่า ต้องมีคนขาดทุนเงินสด  และกำลังถือหุ้นทุนสูงและฝันจะขายราคาสูงกว่า อีกส่วนหนึ่งที่ราคาทุนต่ำแต่ไม่ขาย ก็กำลังกอดหุ้นที่มีทุนต่ำ และรอความเสี่ยงอีกรูปแบบ คือ การเสี่ยงเสียโอกาส(หากราคาหุ้นตกลงมาเมื่อตลาดเป็นขาลง) นี่คือพวก VI   แต่พวกเก็งกำไรก็มีกลุ่มหนึ่งกำไรเงินสดออกไปอีกกลุ่มก็ติดดอยหุ้นอยู่

มันเป็นตรรก  ความจริงของระบบตลาดทุนเสรี  คือ ราคาสูงต้องมีจำนวนเงินเข้ามาและคงนิ่งไว้ในตลาด(จะโดยการแลกกัน คือหุ้นหนึ่งเงินเติมมา อีกหุ้นหนึ่งเงินถอนออกไปหากจำนวนเงินคงที่ คนเล่นส่วนใหญ่จะไม่ขาดทุน  แต่ในทางความเป็นจริงไม่ใช่  เพราะหุ้นจดทะเบียนแต่ละบริษัมไม่เท่ากัน ปริมาณหมุนเวียนถ่ายเทไม่เท่ากัน ย่อมมีคนถือหุ้นเฉยๆ แต่มูลค่าเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวตกตามกระแสเงิน)  ความยุ่งยากในการตรวจสอบและคำนวณ  การเล่นหุ้นในตลาดจึงผันผวนเสมอ ในฐานะเป็นชาวหุ้น จะต้องมองภาพตลาดให้ออก และนึกถึงตรรกแห่งความจริงของตลาดให้ได้  จากนั้นถึงจะใช้กลยุทธที่ถูกต้องต่อกรกับความผันผวน   และถ้าทุกคนคิดแบบเดียวกัน ทำเหมือนกัน ตลาดจะไม่ไปไหน พอราคาขึ้นคนก็ขายราคานั้น พอราคาลง คนก็หยุดขาย  จึงมีคำแนะนำออกมาสู่สังคมหุ้นเสมอว่า ให้ถือหุ้นนาน ๆ เอากำไรเป็นกอบเป็นกำ  อันเป็นกุศโลบายที่ต้องการให้จำนวนหุ้นมีการหมุนเวียนน้อย  เพื่อให้คนที่นิยมเก็งกำไรเป็นผู้นำการเดินของราคาตลาด(พาตลาดขึ้นหรือลงตามกระแสความเชื่อไปก่อน  ส่วนนักลงทุน VI  ก็รอเก็บเกี่ยวอีก3 ปี 5 ปี ข้างหน้า  แต่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่า ทุกคนที่ถือหุ้นยาวนานจะได้กำไรเป็นกอบกำ  จึงเกิดคำเตือนที่ว่า ...การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดพิจารณาก่อนการลงทุน.... ตามที่ทุกท่านได้เคยเห็นตามเอกสารแนะนำชี้ชวนการลงทุนต่างๆ  ไม่มีการรับรองกำไร

ลิงค์ ดูตอนแรก

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=nowya&month=09-01-2012&group=1&gblog=56