Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
25 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
เที่ยวดอยแม่อุคอ ดูดอกบัวตองกัน



คงต้องเริ่มออกตัวก่อนว่าเพ่มนเป็นคนชอบเที่ยว แต่ไม่นิยมเที่ยวแบบหรูหรามาก ชอบแบบพอเพียงมากกว่า งานนี้ขอบอกล่วงหน้าว่าเป็นเรื่องเล่า ตอนที่เพ่มนได้ไปเที่ยวในที่ต่างๆ ซึ่งก็นานมาแล้ว ลองตามมาอ่านกัน
ก่อนที่เพ่มนจะพาไปเที่ยว ก็ต้องขอเล่าถึงความเป็นมาของสถานที่ต่างๆ เสียก่อน เอาไว้เป็นสาระไงจ๊ะสาวๆ เดี๋ยวจะหาว่าไม่ช่ายมืออาชีพ อิๆ

" หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า ป่าเขียวขจี ผู้คนดี ประเพณีงาม ลือนามถิ่นบัวตอง "

คำขวัญนี้เป็นที่รุ้จักกันดีว่า.....เป็นที่มาชองจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เพ่มนจะพาสาวๆบ้านนี้ไปเที่ยวกัน บางคนอาจเคยไปมาแล้ว บางคนอาจแค่แวะ หรือแค่ผ่าน แต่สำหรับเพ่มนแล้ว ที่นี่....เป็นสถานที่หนึ่ง ที่เพ่มนอยากจะไปเยี่ยมเยียนทีเดียว นานแล้วที่ไม่ได้เที่ยวไกลๆ อย่างนี้ ยิ่งมานึกถึงมากๆก็ตอนละครของเพ่หนุ่มออกอากาศ เรื่องสุดแดนหัวใจ บรรยากาศและความสวยงาม ของดอกบัวตองเป็นดังมนต์เสหน่ห์ แห่งเมืองเหนือ ที่ยากจักลืมเลือนจากความทรงจำไปได้ หากใครเคยมาแล้ว ต้องกลับมาอีกแน่นอน ( คารมเป็นลิเกไปหน่อย ทนๆเอาละกันสาวๆ555)
อำเภอสุดแดน เพ่มนไม่เคยไปและไม่เคยรุ้จักด้วยอ่ะ (ส่วนตัวแล้ว คิดว่าไม่น่าจะมีอำเภอนี้ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน อาจจะเป็นอำเภอที่ผุ้เขียน สมมุติขึ้นมากกว่า) แต่อย่างไรก็ตาม ละครเรื่องนี้ก็มาสะกิดต่อมแห่งความคิดถึงบ้านเก่าของเพ่มน.....ก็ว่าได้ เอ้า......ตามมาอ่านกัน



ความเป็นมา คร่าวๆของเมืองแม่ฮ่องสอน มีที่มาว่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้ามโหตรประเทศผู้ครองนครเชียงใหม่ ได้โปรดให้เจ้าแก็วเมืองมา ออกไปหาคล้องช้างในป่า เจ้าแก็วเมืองมาจึงออกเดินทางจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำปาย ด้วยเห็นว่าเป็นบริเวณที่เหมาะสมกับการตั้งบ้านเมืองจึงรวบรวมผู้คนในระแวกนั้น อันได้แก่ชาวไทยใหญ่ มาตั้งเป็น บ้านโป่งหมู (เพราะมีหมูป่าลงกินโป่งชุมชุม )
เมื่อเจ้าแก็วเมืองมาจัดตั้งบ้านโป่งหมูเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางต่อไปทาง ทิศใต้ เพื่อคล้องช้างป่า จนกระทั่งมาถึงลำห้วยแห่งหนึ่ง จึงได้หยุดพัก หลังจากทำการคล้องช้างและตั้งคอกฝึกช้างพร้อมทั้งรวบรวมผู้คนให้มา ตั้งบ้านเรือนในบริเวณนี้ แล้วจึงเรียกบริเวณนี้ว่า บ้านแม่ร่องสอน( และเพี้ยนเป็นแม่ฮ่องสอน ในกาลต่อมา อันนี้เดาเอาอ่ะ สาวๆ ) ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย แม่ฮ่องสอนจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งของเมืองไทย สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็คงประมาณนี้อ่ะค้า ถ้าผิดเพี้ยนไปขออภัยเหมือนเดิม รุ้ความเป็นมาแล้ว ที่นี้ก็ไปลุยกันได้แล้วอ่ะ อิๆ เสบียง เพี๊ยบ...เตรียมลุยจ้า

**

ทริปนี้มีสามชิกแค่สี่คนเป็นเพราะด้วยเวลาและพาหนะไม่อำนวย เพ่มนไม่มีแลนโรเวอร์ หรือรถลุยๆ มีแต่โตโยต้าแก่ๆ(แต่อึดค้า ขอบอก) ปี 89 (แต่ตอนนี้น้องโตโย ไม่ได้อยู่กับเพ่มนแล้วอ่ะ มีคนรับช่วงต่อไปแหล่ะ) อายุของน้องโตโย ก็ปาเข้าไปสิบปีหย่อนๆ เท่านั้นเอง อิๆ แต่สมรรถนะ เที่ยบเท่าน้องแลน... เทียวนะ ฮ่าๆ พิสูจน์กันมาแล้ว

**

เริ่มจากจุดมุ่งหมายของพวกเราก็คือไปดุทุ่งดอกบัวตอง ที่อำเภอขุมยวง ดอยแม่อุคอ จังหวัดแม่ฮ่องสอน อันลือชื่อ ว่าสวยงามมากมายนัก โดยเฉพาะจะบานเต้มทิวเขาในช่วงเดือน พย.-มค. แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดชายแดนจังหวัดหนึ่งซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับ พม่า ห่างจากรุงเทพฯ 924 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 12,681 ตารางกิโลเมตร แม่ฮ่องสอนแบ่ง ออกเป็น 6 อำเภอ กับ 1 กิ่งอำเภอ อันได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอแม่สะเรียง อำเภอขุนยวม อำเภอปาย อำเภอแม่ลาน้อย อำเภอสบเมย และกิ่งอำเภอปางมะผ้า (อิๆ มะมีอำเภอสุดแดน อ่ะ มีแต่อำเภอแดนไตร เอ้ย ไม่ช่าย ฮ่าๆ) ก็แบบว่าอย่างที่บอกอ่ะ จะเป็นอำเภออะไรไม่สำคัญๆที่ว่า ผู้กองแดนไตรอยู่ที่ไหนมากกว่า อิๆ ว่าไมีน้องน้ำปิงงง..

**

หลังจากลานายแล้วเพ่มนก็จัดการ เก็บผ้าผ่อนท่อนสไบ ไม่ช่าย เก็บของเสร็จก็เตรียมไปกันได้แหล่ะ เดือนที่ดอกบัวตองบานเต้มที่ก็ประมาณเดือนพย .ปลายๆเดือน พวกเพ่มนก็ไปประมาณนั้นอ่ะ แบบว่าชิงตัดหน้านักท่องเที่ยวแบบเส้นยาแดงผ่า16 เพราะไม่ชอบไปตอนมีคนมากมาย (ก็เลย....ขอลาเจ้านายไปก่อนเลยอ่ะ)

**

อากาศที่หัวเมืองเหนือ( ภาษา ประมาณพ่อไกรคุยกะน้องดาวเรือง อิๆ เนียนๆ)กำลังเย็นสบาย อดีตแฟน ปัจจุบันฝาชี ก็พาขึ้นเหนือทางเส้นพหลโยธิน ผ่านพิษณุโลก มาเรื่อยๆ มาเรียง ๆจนกระทั่งถึงเมืองรถม้า (จังหวัดลำปาง)แล้วเราก็แวะพักเครื่องน้องโตโย...เพื่อหาเสบียง(อย่างกะจะเตรียมไปทัพ ไงงั้นเลยอ่ะ อิๆ กองทัพเดินด้วยท้องเน้อ...) ของเรา จากนั้นจึงไปแวะไหว้พระที่วัดพระธุาตุลำปางหลวงเสียก่อน

**

ก่อนจะเลยขึ้นไป ไหว้พระที่วัด..........พระธาตุหริภุญชัย วัดนี้มีความเป็นมาอย่างไร เดี่ยวเพ่มนจะแถลง เอ้ย เล่าให้ฟังกันนะสาวๆ มากับอดีตไก่ เอ้ย....ไกด์ (เกือบปาย 55) ก็งี้แหล่ะ อิๆ เอาเป็นว่า วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลำพูน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1651 ในสมัยพระเจ้าอาทิตยราช ภายในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัย ซุ้มประตูฝีมือโบราณสมัยศรีวิชัย ก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายวิจิตรพิสดาร ประกอบด้วยซุ้มยอดเป็นชั้นๆ เบื้องหน้าซุ้มประตูมีสิงห์ใหญ่คู่หนึ่งยืนเป็นสง่าบนแท่นสูงประมาณ 1 เมตร สิงห์คู่นี้ปั้นขึ้นในสมัยพระเจ้าอาทิตยราชเมื่อทรงพระราชให้เป็นสังฆาราม

**

เมื่อ ผ่านซุ้มประตูเข้าไปแล้ว จะเห็นวิหารหลังใหญ่เรียกว่า “วิหารหลวง” เป็นวิหารหลังใหญ่มีพระระเบียงรอบด้าน และมีมุขออกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นวิหารที่สร้างขึ้นใหม่แทนวิหารหลังเก่า ซึ่งถูกพายุพัดพังทลายไปเมื่อ พ.ศ. 2458 วิหารหลวงใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศล และประกอบศาสนกิจทุกวันพระ ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธปฏิมาใหญ่ 3 องค์ก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทองบนแท่นแก็วและยังมีพระพุทธปฏิมาหล่อโลหะขนาดกลางสมัยเชียงแสน ชั้นต้นและชั้นกลางอีกหลายองค์

**

พระบรมธาตุหริภุญชัย ตั้ง อยู่หลังวิหารหลวง ประดิษฐานพระเกศธาตุบรรจุในโกศทองคำ เจดีย์ประกอบด้วยฐานปัทม์ แบบฐานบัวลูกแก็วย่อเก็จ ต่อจากฐานบัวลูกแก็วเป็นฐานเขียงกลมสามชั้น ตั้งรับองค์ระฆังกลม บัลลังก์ย่อเหลี่ยม เจดีย์มีลักษณะใกล้เคียงกับพระธาตุดอยสุเทพที่จังหวัดเชียงใหม่ มีสัตถบัญชร (ระเบียงหอก ซึ่งเป็นรั้วเหล็กและทองเหลือง) 2 ชั้น สำเภาทองประดิษฐานอยู่ประจำรั้วชั้นนอกทั้งทิศเหนือและทิศใต้ มีซุ้มกุมภัณฑ์ และฉัตรประจำสี่มุม หอคอยประจำทุกด้านรวม 4 หอ บรรจุพระพุทธรูปนั่งทุกหอ

**

นอกจากนี้ยังมีโคมประทีป และแท่นบูชาก่อประจำไว้เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป พระบรมธาตุนี้นับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งในล้านนามาตั้งแต่สมัยโบราณ ในวันเพ็ญเดือน 6 จะมีงานนมัสการ และสรงน้ำพระบรมธาตุทุกปี ตามประวัติกล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 1440 พระเจ้าอาทิตยราชกษัตริย์วงศ์รามัญผู้ครองนครลำพูนได้สร้างมณฑปครอบโกศทองคำ บรรจุพระบรมธาตุไว้ภายในและมีการสร้างเสริมกันต่อมาอีกหลายสมัย ต่อมาในปี พ.ศ. 1986 พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ผู้ครองนครเชียงใหม่ได้ทรงกระทำการปฏิสังขรณ์บูรณะเสริมองค์พระ เจดีย์ขึ้นใหม่ การสร้างคราวนี้ได้สร้างโครงขึ้นใหม่เป็นรูปแบบลังกา ซึ่งปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งนี้เพราะในสมัยพระเจ้าติโลกราชได้มีการติดต่อสัมพันธ์กับลังกา

ภาพบนซ้าย**วัดพระธาตุหริภุญชัย(สีทองอร่ามคล้ายพระธุาตดอยสุเทพ) เป็นวัดที่คนเกิดประจำปีระกา ควรมากราบไหว้..จ้า

ภาพบนขวา**ส่วนองค์สีแดง เพ่มนคิดว่าน่าจะเป้นพระธาตุลำปางหลวงอ่ะ



ภาพล่างขวา**ก็เป้นพระธาตุิองค์สีขาว ที่อยู่ในบริเวณวัดพระธาตุหริภุญชัย

จากลำปาง จนถึงลำพูน แวะทานข้าวเที่ยงแบบตามมีตามเกิด แล้วก็รีบไปต่อกันเลย ผ่านเชียงใหม่แบบว่าทัวร์ชะโงก ( ภาษาไกด์ แปลว่า เที่ยวแบบว่า สิบจังหวัด สิบนาที อิๆ คือแค่ชโงกออกไปดูก็หมดเวลาเที่ยวแล้วอ่ะ ว่างั้น ..หุๆ)ไม่มีการแวะ เพราะกะเอาไว้ว่าจะแวะขากลับ เกะว่านอนค้างที่เชียงใหม่เพื่อดูปรากฎการณ์ฝนดาวตก...(ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นมาเมื่อสิบปีที่แล้ว สาวๆคนไหน ยังพอจำได้มั่งอ่ะ คนที่อยู่กทม. จะเห็นไม่ค่อยชัดเพราะแสงสีสว่างเเกินไป เพ่มนและเพื่อนๆ จึงขึ้นไปดูที่นอกเมืองเชียงใหม่แถวๆม.แม่โจ้โน้นอ่ะ เอาไว้ขากลับค่อยเล่าละกัน) เพราะเกรงว่าจะไปไม่ทันดูพระอาทิยต์ตกและขึ้นที่ห้วยน้ำดัง จังหวัดแม่ฮ่องสอน อันเป็นที่หมายที่ต่อไปของพวกเรา (ถามว่าต้องออกจากบ้านกันกี่โมง ถ้าจำไม่ถูก เอ้ย...จำไม่ผิดออกจากบ้านซอยท่าอิฐ เมืองนนท์ ตั้งแต่ตีสาม มาแวะทานข้าวเช้าแถวๆพิษณุโลกอ่ะ คลาดเคลื่อนประการใด ขออภัยเพราะมันตั้งสิบกว่าปีมาแล้วอ่ะ อิๆ)

**

เย็นแก่ ๆ ไม่เกินทุ่ม ก็มาถึงห้วยน้ำดังพอดี หลังจากพิชิตมาแล้ว 1686 โค้ง และได้ใบประกาศความเก่งกล้าจาก ททท. มาแล้วเรียบร้อย ทั้งรถ ไม่มีใครเมาเพราะชินกับการเดินทางไกลพอสมควร จะเห็นมีก็แต่นั่งหลับ เหลือแต่พลขับฝาชีเพ่มนที่ขับยาวจนถึงวนอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง (งานนี้เลยไม่ทันดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ แต่พวกเราก็แวะดุที่อื่นก่อนหน้ามาแล้ว พร้อมอาหารมือเย็นง่ายๆ เป็นข้าวสอยเมืองเหนือ (ข้าวสอยเนื้อ อร่อย...ขอบอก อิๆ) พอมาถึงก็กลับต้องแปลกใจมากๆ ประชาชีจากทั่วทุกสารทิศ....ตรึม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จะลางานมากันเยอะแยะขนาดนี้ เหมือนกาน เฮ้ย.......

**

หลังจากกางเต็นท์เรียบร้อยแล้ว(แต่อยากจะหัวเราะแบบประชดอ่ะ ประมาณว่าแทบหาที่กางแทบไม่ได้เลยอ่ะ นี่ขนาดไม่ใช่วันหยุดต่อเนื่องนะเนี่ย หลังจากนั้นก็เดินตามๆกันไปเก็บภาพประอาทิตย์ตกดิน อากาศหน้านี้เป็นใจมากๆเลย หนาวเย็น สดชื่นได้ใจมั๊กๆ สูดหายใจได้เต็มปอดเลยอ่ะ (แม้ว่าจะต้องสูดดมกลิ่นของใครต่อใครเต็มไปหมด ก็เถอะ อิๆ) ยังไรเสียอากาศก็ยังดีกว่าอยู่เมืองกรุงอ่ะ

**

คืนนั้นก็มีความสุขตามประสาคนจรหมอนหมิ่น (สำนวนนี้เพ่มนไม่รุ้ที่มา รุ้แต่ว่า โบราณมากค้า 55) ในเต้นท์ค่อนข้างอุ่นแม้ว่าข้างนอกจะอากาศหนาวมาก เลยไม่ถึงกับต้องนอนกอดกันกลม อิๆ (เดี่ยวจะร้อนเกินไป ฮ่าๆ สาวไม่ต้องนึกภาพต่อไป เดี่ยวจะเถิดเทิงเกินไป กีบกิ้ว...) เครื่องเครากันหนาวเพี๊ยบ งานนี้ไม่กลัว...ความหนาว อีกอย่างเรามากันเป็นเลขคู่ อิๆ มะช่ายเลขคี่ อิๆ (เล่าให้คนไม่มีคู่หมั่นไส้เล่นเล็กน้อย ฮ่าๆ)

**

เพื่อนคู่นี้ของเพ่มน ก็คบกันมายาวนานกว่าสิบปี (ไม่นับรวมปัจจุบันอีกสิบปี เอาหล่ะ พอแล้วมะต้องนับเดี่ยวรุ้ว่าสุดสวยอายุไม่น้อยแล้วอ่ะ อิ) เราสนิทกันมาก ชอบไปเที่ยวไหนต่อไหนกันอยู่เรื่อย ถึงจะไปไหนด้วยกันบ่อยมากๆก็ไม่เคยทำให้การเมาส์ของเรา ลดน้อยลงเลย แบบว่าถ้าเจอกันเมื่อไหร่ แปลงร่างเป็นนกกระจอกเทศกันทั้งนั้น ฮ่าๆ (เอ๊ะ ก็เมื่อเจอคนรุ้ใจ ทำไมจะต้องเนียมอาย อิๆ จริงป่ะเพ่หนุ่ม เอ้ย จริงป่ะ สาวๆ...) แต่คุยกันไปซักพัก ก็เบื่อขี้หน้าแหล่ะ ไม่ช่าย ต่างคนต่างเหนื่อยมากกว่า ก็เลยแยกย้ายเข้านอนซ้า...เพราะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่มืด..เดินออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ห้วยน้ำดัง ห่างจากจุดกางเต็นทืประมาณแปดร้อยเมตรอ่ะ หนาวๆนอนกอดกันก็อุ่นดีอ่ะ ว่าป่ะสาวๆ 555

ห้วยน้ำดัง อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง อ. แม่แตง จ. เชียงใหม่



(ความจริงไม่ง่วงกันเท่าไหร่หรอก แต่อากาศมันเป็นใจ พาให้อยากเข้าเต็นท์ เอ้ยๆ อย่าคิดมากไป แค่เหนื่อยๆกันเท่านั้นเอง ฮ่าๆ
ตีห้า ล้างหน้าล้างตาแปรงฟันแล้วก็ออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นได้แล้ว แต่ว่าวันนี้หมอกแยะมาก แล้วหมอหหนาด้วยอ่ะ ขนาดยืนห่างกันแค่เมตรเดียวก็แถบมองไม่เห็นหน้ากันแล้วอ่ะ หมอกลอยต่ำๆรอบๆเต้นทืเพ่มน มีสายขาวๆ บางๆลอยอยู่รอบๆตัว ไกลออกไปก็แทบมองไม่เห็นเต้นท์คนอื่นเลย สวยหนาว และประทับใจมากค้า (แหมถ้ามีหนุ่มใต้เชื้อสายจีนมาจีนชมสายหมอกด้วยกันก็ โค ตะ ระ ปลื้มอ่ะ 555 เนีนยซะแล้ว เอิ๊กๆ) พอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมากว่าจะพ้นหมอกที่ลงจัด ก็สายมากแล้ว แสงทองที่สวยจับท้องฟ้า ก็ดูไม่สวยเท่าที่ควร แต่ก็มีรูปมาฝาก แบบว่าเก็บบรรยายกาศ มาฝากกัน

**

ขอออกตัวก่อนว่า รูปถ่ายของจริงๆ สวยมากค้า ( ในรูปถ่ายออกมาจากอัลบัม อีกทีหนึ่ง ภาพเลยไม่สวยเท่าอ่ะ แต่ถ้าใครอยากเห็นของจริง เชิญที่บ้านเพ่มนนะจ้า ยินดีจ้า) เพราะป็นรูปถ่ายจากกล้องฟิมล์ คลาสิคมากๆ เมื่อสิบปีที่แล้ว ยังไม่มีปัญญาซื้อกล้องดิจิตอลดีๆ อ่ะจ้า แต่กลับเป็นว่ากล้องฟิมล์ดีๆ ยี่ห้อแคนนอนที่ใช้เมื่อก่อน กลายเป็นของเก่าหายากเลยแล้ว ก็ได้กล้องตัวนี้แหล่ะจ้า เพ่มนและผองเพื่อนจึงได้เก็บภาพสวยๆ เอาไว้ได้เกือบหมด (ประมาณว่าไปเที่ยวแล้วต้องเผื่อตังค์ไว้อัดรูปด้วยอ่ะ ปลายๆเดิอนกินแต่แกลบ เอ้ยไม่ช่าย.. กินแต่มาม่าตลอด อิๆ ไม่ถึงขนาดนั้น)

**

สายๆก็พากันไปเที่ยววัดพระธาตุดอยกองมู ไปไหว้พระกัน วัดพระธาตุดอยกองมู ตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ตรงบริเวณอนุสาวรีย์พระยาสิงหนาทราชาขึ้นไปทางซ้ายมือ เป็นทางลาดยางขึ้นภูเขาไปอีกประมาณ กิโลเครึ่ง ก็จะถึงบริเวณวัด

วัดพระธาตุดอยกองมู ขอพรไหว้พระให้จ้าวต้นเมฆแข้งแรง อิๆ



วัดนี้เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดปลายดอย เป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญ ประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ที่สวยงาม ๒ องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่สร้างโดย “จองต่องสู่” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓ เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระ ซึ่งนำมาจากประเทศพม่า ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ โดย “พระยาสิงหนาทราชา” เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก จากวัดพระธาตุดอยกองมูนี้สามารถมองเห็นภูมิประเทศและสภาพตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ได้อย่างชัดเจนและสวยงามมาก

**

ทริปนี้แวะวัดบ่อยเพราะเพ่มนมีจ้าวต้นเมฆมาด้วยอยู่ในท้องได้สองเดือนแหล่ะ อิๆ แบบว่าม่าม๊า...ขาลุยค้า.. แต่เพ่มนไม่แพ้เลยอ่ะหม่ำได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอยากทานมากๆต้องเป็นสาคุไส้หมูแนมกับผักชี อร่อยมากๆ เสร็จแล้วก็เดินเล่นแถวๆในตัวเมือง ดูถนนหนทาง บ้านช่องห้องหอ ชื่อถนนที่นี่ด้วยว่าเป็นเมืองเล็กๆ ถนนจึงมีไม่กี่สาย และชื่อถนนก็ตั้งให้คล้องจองกันและเพราะเสียด้วย เช่น ถนนขุนลุมประพาส แต่เพ่มนจำได้ไม่หมด จำได้ว่าเคยจำได้ แต่ตอนนี้ลืมไปแล้วอ่ะ...อิๆ ไหนๆ..ก็ไหนๆ...แล้วเพ่มนก็ขอเล่าเสียหน่อยอ่ะว่า

**

เจ้าเมืองคนแรกของแม่ฮ่องสอน ก็คือพระยาสิงหนาทราชา เดิมชื่อ ชานกะเล เป็นชาวไทยใหญ่ ได้รวบรวมผู้คนตั้งหมู่บ้านขึ้นชื่อว่า “บ้านขุนยวม” ต่อมาได้ยกขึ้นเป็นเมือง จวบจนปี พ.ศ. ๒๔๑๗ จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองแม่ฮ่องสอน และพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าครองนครเชียงใหม่ ได้ยกบรรดาศักดิ์ชานกะเล เป็นพระยาสิงหนาทราชาและแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก อนุสาวรีย์พระยาสิงหนาทราชา อนุสาวรีย์พระยาสิงหนาทราชานี้ ตั้งอยู่ต้นถนนขุนลุมประพาส เมื่อมองตรงขึ้นไปจะเห็นองค์พระธาตุดอยกองมูอยู่บนยอดเขา สวยมั๊กๆๆขอบอก ไหนๆก็มาเที่ยวแม่ฮ่องสอนทั้งทีเพ่มนก็จะเล่าความเป็นว่าของจังหวัดให้สาวๆฟังเป็นระยะ จะได้ทั้งความรุ้และความ บันเทิง ไปในตัวอ่ะ อิๆ



อ้าวเล่าไปเล่ามาเลยยังไปไม่ถึงไหนเลยอ่ะ ตอนนี้เพ่มนกับผองเพื่อนก็มาอยู่กันที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอนแล้วอ่ะ เห็นว่าเป็นเมืองเล็ก แต่ว่ะรรมชาติสวยงามมาก มีหมอกถึงสามฤดูเลยอ่ะ หมอกที่เกิดจากไอฝน หมอกที่เกิดจากความหนาวเย็น และหมอกควันที่เกิดจากการเผาถ่านในหน้าแล้ง หมอกสามฤดูจึงกลายเป็นเอกลักษณืของจังหวัดและกลายเป็นคำขวัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอนไปในที่สุด

**

หลังจากเที่ยวชื่นชมตัวเมืองไปเรียบร้อยเราก็พร้อมไปต่อที่อำเภอขุนยอม เพื่อไปดูทุ่งดอกบัวตองกัน ความจริงดอกบัวตองจะมีให้เห็นทั่วทุกที่ทุกอำเภอในจังหวัดเลยก็ว่าได้ แต่ที่เพ่มนเลือกไปที่ดอยแม่อุคอ ด้วยเหตุรุ้มาว่าดอกบัวตองที่นี่มีมากมายมหาศาลบานสะพรั่งนับเป็นพันๆไร่จากเขาสู่เขาไปตลอดเทางลยอ่ะ เรียกว่าคุ้มจริงๆที่ได้มาดู (ดุจากรูป ถึงแม้ไม่ชัดแต่ก็จะรุ้ว่ามันมากมายมหาศาลแค่ไหน อิๆ ก็อย่างที่บอกว่ารูปถ่ายมาจากอัลบัมอีกที รูปจริงๆบอกได้คำเดียวว่า..สวยมากกค่ะ)

**

แต่กว่าจะขึ้นมาถึงดอยแม่อุคอได้ ขอบอกว่า พาหนะที่ท่านควรจะนั่งมาควรเป็นพวกตะกูลแรนด์ หรือรถกระบะ แต่ด้วยงบน้อย รถเที่ยวรถทำงานงานเป็นรถเดียวกันค้า.....ดั้งนั้น น้องโตโยของเพ่มนจึงต้องทำหน้าที่กลายเป็นแรนโรเวอร์ เพื่อพาพวกเราขึ้นดอยแม่อุคอที่สูงชัน ที่สำคัญดินที่นี่ก็ไม่แน่นเสียด้วย งานนี้เรียกว่าต้องมีลุ้นกันตลอดทางขึ้นดอยอ่ะ แบบว่าหวาดเสียว....ค้า ทางชันถึงขนาดที่ผู้โดยสารต้องลงจากรถหมด เหลือแต่รถเปล่าวิ่งขึ้นไป พวกเพ่มนก็เดินขึ้นดอยไปเอง ก็พอไหวอยู่ เรียกว่าปีนมากกว่าเดินอ่ะ อิๆ (แต่เดี่ยวนี้เพ่มนคิดว่าคงจะไม่ชันแล้วอ่ะ ทางการน่าจะปรับทางราบขึ้น น่าจะสะดวกสบายมากขึ้นอ่ะ) แต่ขานดให้รถเปล่าๆขึ้นไปอย่างเดียวยังมีการสไลของล้อและรถเกือบไถลลงดอยมาเลยอ่ะ ดินแดงๆทำเอาฝุ่นตลบเลยอ่ะ(แต่ความยากลำบากแบบนี้อ่ะ เพ่มนถือว่าเป็นเสหน่ห์ อีกอย่างหนึ่งอ่ะ) งานนี้...นึกว่าจ้าวต้นเมฆ จะไม่ได้เห็นหน้าว่าที่คุณพ่อซะแล้ว...หุๆ เกือบปายยยย

**

อ่ะนะ....แต่ด้วยความเก๋าบวกความเฮง และฝีมือของพลขับ..น้องโตโยของเพ่มนก็เลยได้มีดอกาศขึ้นมาสูดอากาศบนดอยแม่อุคอ สมใจ อิๆ ที่สุดแล้วก็ฝ่าฟันทางชันขึ้นมาได้ด้วยความปลอดภัย ..โล่งใจ...ส่วนขาลงไม่มีปัญหา ผู้โดยสารไม่ต้องลุ้น แถมนั่งกันตรึม ในรถครบทุกคน เพราะต้องการให้รถมีน้ำหนักพอที่จะพาเราลงมาข่างล่างได้อ่ะ(พลขับเค้าว่างั้น..ว่าไง ว่าตามกันอยุ่แล้วววว) งานนี้ ...ถามว่าคุ้มมี อ่ะคงจะ...ไม่คุ้มอ่ะถ้าเกิดมีอารายขึ้นมา ผแหมไม่ถึงขนาดนั้น พอไหวอยู่) แต่คนจน.....ไม่มีทางเลือก อิๆ

**

จากนั้นเราก็กางเต้นท์บนดอยแม่อุคอ ตอนขาขึ้นกว่าจะถึงดอยก็เย็นมากแล้ว ความมืดเริ่มโรยตัว หมอกเริ่มลงบางๆ และค่อยๆหนาขึ้นเรื่อยๆ (งานนี้...เพ่มนอาบน้ำที่หน้าอย่างเดียว ที่เหลือรอเก็บไว้รวบยอดตอนลงไปข้างล่างที่เดียวค้า อิๆ สะอาดซะไม่มี 555 เพ่มนเป็นคนเหงื่อน้อย ก็เลยไม่เหม็นอ่ะ อิๆ ออกตัวก่อนโดนแซวป) พวกเราเลยไม่ได้ชมความงามของดอกบัวตองเท่าไหร่ แต่ที่รุ้ๆอ่ะ ขนาดมืดๆไม่ค่อยมีแสง ยังเห็นดอกเหลืองเต็มพรืดทั้งเขา กะว่าพรุ่งนี้เช้า พอแสงทองจับฟ้า คิดดูเอาเองละกันนะว่าจะสวยขนาดไหนหนอ อดใจรออีกนิดคร๊าบๆสาวๆ




คืนแรกบนดอยแม่อุคอเพ่มนนอนหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน เราทานข้าวเย็นจากข้างล่างมาแล้ว พอหนังท้องตึง หนังตาก็พาหลับอย่างรวดเร็ว ภายใต้ผ้านวมอันหนานุ่มอุ่นสบาย (อย่างกะพิซซ่าอ่ะ อิๆ) บนผ้าปุรองอย่างดี ดินใต้เต้นท์ไม่แข็งกระด้าง นอนแล้วเหมือนโดยโอบอุ้มด้วยที่นอนอย่างดี อ่ะนะ ขอบรรยายให้คนไม่เคยมาเที่ยวที่นี่ อิจฉาตาร้อนกันไปเลย อิๆ อากาศหนาวเย็นมากค้า เพราะอยู่บนทิวเขาสูง น้ำค้างก็แรงมากด้วย ลมพัดแรงเป็นช่วงๆ ไม่ต้องบอกก็รุ้นะว่า อากาศดีขนาดไหน อิๆ ใครไม่มีคู่ อาจจะมาเจอคู่ที่นี้ก็ด้าย ฮ่าๆ ส่วนคนมีคู่แล้ว ก็... สุขใจค้า ฮ่าๆ



พอตะวันพ้นเส้นขอบฟ้ามาครึ่งดวง แสงทองเริ่มฉายฉานตกกระทบทิวเขาที่เต็มไปด้วยดอกบัวตอง ดอกสีเหลืองสะท้อนกับแสงตะวันที่ฉายมา สีเหลืองอร่ามทั่วท้องทุ่งเขา จนสุดลูกตา สวยงามจริงเทียว แบบว่าไม่มีคำบรรยาย ได้แต่เก็บความงามนั้นไว้เต็มหัวใจ แล้วอุทานได้คำเดียวว่า สวยหว่ะ ...วันนี้ไม่มีหมอกลงจัด ท้องฟ้าสีเข้มจัดเป็นสีฟาตัดกับสีเหลืองของทุ่งดอกบัวตองที่กำลังบานสะพรั่งเต้มทิวเขาที่ทอดต่อกัน นับเป็นพันๆไร่ เปฌนภาพที่สวยงามไม่มีที่ติ ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์ ความงามมาให้เราเชยชมโดยแท้.....แม้ว่าวันเวลาจะผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ภาพประทับใจที่ตราตรึงอยู่ณ.ช่วงเวลานั้น มันไม่เคยลบเลือนจากใจของเพ่มนเลย สวยจริงๆ สวยเหมือนอยู่บนสวรรค์ อากาศก็ดีมากๆ





หลังจากเก็บภาพกันจนพอใจแล้ว มื้อเช้าที่ทุ่งบัวตองของเพ่มน ก็คือ ขนมปังทาแยมนมเนย ตามด้วยกาแฟ สำหรับหนุ่มๆ และ หนุ่มๆ นมกระป๋องตราหมีร้อนๆ(เพื่อคนที่คุณร๊าก) ใส่โอวันตินเต็มแก็วสำหรับเพ่มนและเจ้าต้นเมฆ อิ่มอุ่นท้องรับอรุณค้า(เพ่มนเตรียมเอาเตาแก็สกระป๋องไปด้วยอ่ะ สะดวกโยธินจริงๆ ทุกวันนี้เพ่มนยังไม่รุ้เลยว่า ทำไมต้องเป็นโยธินก็ไม่รุ้จิ อิๆ) ตบท้ายออกเดินเที่ยวด้วยโจ๊กกระป๋องร้อนๆ อ่ะนะ หนาวๆอย่างงี้ต้องทานของร้อนๆ โค ตะ ระ อภิมหาอร่อยค้า

**

ขาลงจากดอยก็อย่างที่บอกอ่ะ สบายมากไม่มีลุ้น รวดเดียวจบจนถึงเชียงใหม่เลยที่เดียว ขากลับเพ่มนแวะมาส่งเพื่อนสองคนขึ้นรถไฟกลับกทม. เพราะนายไม่ให้ลาต่อ แหม...ไม่เข้าใจวัยรุ่นเลยอ่ะ เลยลามาได้แค่สามวัน แต่สำหรับเพ่มนและฝาชีลาพักร้อนห้าวัน รวมแล้ว....เก็าวันเอง ดีนะกลับไปยังมีงานทำอยุ่เรียกว่าตอนสี่ปีที่ผ่านมา เพ่มนเที่ยวต่างจังหวัดแบบหัวราน้ำเลยอ่ะ ปสำนวนเหมือนคนขี้เมา แต่ความจริงกินเหล้าไม่เป็นค้า อิๆ...แต่ถ้าจะให้เมาก็เมาได้อ่ะ ดื่มแต่ดค้กก็เม้าทื เป็นเพื่อนได้ ฮ่าๆ) ทริปนี้ ฮ่าๆ (ที่บอกว่าทริปนี้...เพราะเพ่มน มาแม่ฮ่องสอนแบบที่ว่ามาเที่ยวละไมจริงๆอ่ะสี่ทริป แล้วจะทยอยเล่าให้ฟังละกันสาวๆ เอาเป็นว่าทริปนี้ เล่าได้เท่านี้แหล่ะ ฮ่าๆ)

**

ส่วนตัวเพ่มนกับฝาชีก็ไปลันล้าในเมืองเชียงใหม่ เราสองคนขึ้นไปไหว้พระที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ สำหรับความเป็นมาของพระธาตุแห่งนี้ ให้ฟังกันเอาเคล็ด เคล็ดอะไรก็ไม่รุ้ ว่าตามเค้าไป อ่ะ เรื่องมีอยุ่ว่า วัดพระธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1921 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 8 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์เม็งราย พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์ ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการะบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่
ด้วยทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องสามครั้ง พร้อมกับทำทักษฺณาวัติ สาม รอบ แล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดดินลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้ จากนั้น ถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น

วัดพระธาตุดอยสุเทพ พระธาตุประจำปีคนที่เกิดปีมะแม





ในพ.ศ. 2081 สมัย พระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้ทรงโปรดฯให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุ และในปี พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น กระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวถึง 11.53 กิโลเมตร สาวๆไหนเคยไปก็คงเห็นความดดเด่นของตัวองคืพระธาตุกับบันไดนาค ที่สวยงามอ่ะ ไหว้พระแล้ว ที่นี้เพ่มนก็จะพาไปดูฝนห่าดาวตกกัน เดี่ยวรอให้มืดนิดนึงก่อน ตอนนี้ขอแวะไหพักบ้านน้องชายก่อนอ่ะ...

**

บ้านน้องชายของฝาชีเพ่มน เค้าจบที่มอ.แม่โจ้ และปักหลักอยู่ที่นี่ เพื่อที่จะไปนอนดุฝนดาวตกในมอ.แม่โจ้ ซักคืนสองคืนก่อนกลับบ้านเราอ่ะ (คิดถึงบ้านนิดหน่อย สงสารบรรดาต้นไม้ที่ไม่มีใครรดน้ำให้ก็เท่านั้นเอง อิๆ) ที่บ้านของน้องชายฝาชีเพ่มน เป็นบ้านเช่า เป็นบ้านมะรรมดาๆยกใต้ถุนสูง แต่ข้างล่างเลี้ยงปลาตรึม น้ำใสสะอาด รรมชาติมากๆเลย ) ห้องน้ำก็เป็นแบบนั่งยองๆ งานนี้ใครเข่าไม่ดี มีเหน็บรับประทาน อิๆ
นอกชานผูกเปลยวนใต่ต้นมะม่วง ซึ่งตอนนี้กำลังออกช่อดอก หอมอมเปรี้ยว แต่สดชื่นมากเลย เสียดายอย่างเดียวว่า

**

ยางของดอกมะม่วงมันกัดเสื้อผ้าดำซักยากดีแทน นอกนั้นโอเคหมด อิๆ ตกกลางคืนกลับมานอน ขอบอกว่าหนาวมากๆค้า (แต่ก็ไม่เท่าที่แม่สะเรียงหรอกจ้า เสาวๆ เพราะที่แม่ฮ่องสอนจะหนาวมากกว่าเพราะอยู่เหนือเชียงใหม่ขึ้นไปอีก ที่เพ่มนพูดอย่างนี้เพราะปะป๊า เพ่มนไปอยุ่ที่โน้นเกือบสิบห้าปีอ่ะ เวลากลับบ้านแต่ละที ไม่นั่งรถ นั่งเครื่องบินเล็ก ก็ต้องนั่งฮออ่ะ(ประมาณว่า นั่งออแบบผู้พันแดนไตร ในสุดแดนไงงั้นเลยอ่ะ อิๆ) ดูหรุใช่ป่ะ แต่ความจริง เป็นเพราะว่าบางวันเครื่องบินลงไม่ได้ต่างหาก เพราะหมอกลงจัดมากนั่นเอง

**

เอาเป็นอันว่าที่บ้านน้องชายฝาชีเพ่มนที่เชียงใหม่ก็หนาวไม่แพ้กัน แต่เครื่องกันหนาวเพี๊ยบ ก็เลยนอนอุ่นสบาย ไปดูฝนดาวตกมาสองคืน คืนแรกดุในมอ แต่มองไม่ค่อยชัด เพราะมันไม่มืดพอ แต่ก็พอเห็นว่ามีมากมาย ตกลงมาเป็นสายๆ ที่คนโบราณเค้าเรียกว่าห่าฝนอ่ะ ไม่ได้ตั้งกล้องเก็บภาพไว้เพราะว่าไม่ได้เอาขาตั้งกับแฟทไปอ่ะ เนื่องจากต้องการลดภาระไม่ให้น้องโตโย ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป (แค่นี้เวลารถวิ่งผ่านที่ดอนๆหรือลูกระนาดเล็ก ท้องรถยังครูดเลย เสียวเครื่องพังมากเลย สาวๆ แต่ทุกอย่างก็ผ่านมาได้ด้วยความประทับใจ ตลอดมาสิบปี ก่อนที่ทริปต่อไป จ้าวต้นเม๊ห้าขวบเพ่มนก็พาไปอีกครั้งแต่เราไปพักกันที่ปาย จ้าวต้นเมฆกับคุรพ่อ็ยังไปอาบน้ำร้อนที่ลารเลยอ่ะ อ่ะนะ แล้วค่อยว่ากันต่อไป

**

ตกคืนที่สองเราจึงย้ายที่นอนดู เข้าไปลึกๆกว่าเดิมอ่ะ (น้องชายฝาชีเพ่มนเค้าชำนาญทั้งพื้นที่ในมอ แม่โจ้ และในตัวเมืองเพราะอยุ่มาตั้งแต่อายุสิบสองจนเรียนจบก็ยังไม่ลงมา แต่ตอนนี้กลับไปอยุ่บ้านที่เมืองกาญจน์แหล่ะ เค้ามีงนทำที่นั่นอ่ะ)คืนนี้ฝนดาวตกมากกว่าคืนที่แล้ว และตกต่อเนื่องนานกว่า กลับมาบ้านยังเห็นเทปถ่ายทอดอยู่เลย แต่ในทีวีเห็นไม่มากเท่รที่เพ่มนไปนอนดูมาอ่ะ ตอนนอนก็ปูเสื้อ ส่เสื้อกันหนาวนอนหนุนผ้าคลุมหัว ไม่รุ้ว่าง่วงบวกเพลียหรือเหนื่อย หลับแยเลยอ่ะ ก็ดูเพลินๆ เหมือนไปดูในท้องฟ้าจำลองกรุงเทพเลย อากาศกำลังดี หลับ....ซ้า......มาตื่นอีกที่ตอนเค้าเฮๆๆว่าฝนดาวตกมันตกมาห่าใหย่มากๆ อย่างกับดอกไม้ไฟในงานเทสกาลลอยกระทงเลยอ่ะ งานนี้ไม่มีเก็บภาพมา เก็บแต่ความประทับใจไว้ล้นปรี่

ฝนดาวตกที่เพ่มนเห้นประมาณดีอ่ะ
ขอขอบคุณเวป //www.4x4camp.4t.comสำหรับรูปค้า




ก่อนจากเชียงใหม่มาก็พากันไปนอนที่วนอุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ เป็นบ้านพักให้นักท่องเที่ยวมาพัก เพ่มนจำได้ดีว่าตอนเที่ยงก็ขึ้นไปบนพระเจดีย์นภภูมิเมทณีดล กับเจดีย์.......อารายอีกองค์ไม่รุ้อ่ะ สร้างคู่กันกัน เพ่มนจำไม่ได้แหล่ะยังได้ไปดูกุหลาบพันปี กับดอกฝิ่น สีสวยสดมาก แต่ฤทธิ์ร้ายแรงเหลือเกิน ( เดี๋ยวนี้น้องฝิ่นคงตกกระป๋องไปแหล่ะ ทั้งยาไอซ์ยาอี มาแรงแซงโค้งกว่าแยะ )ที่นั่นเคาปลูกไว้ให้นักท่องเที่ยงชม ไม่รุ้ว่าตอนนี้ยังมีให้ดูอยู่หรือเปล่า

**

ขึ้นไปบนอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เพ่มนจำได้ว่าลมแรงและโค ตะ ระหนาวมากๆ ตกกลางคืน งานนี้ซักแห้งอยุ่แล้ว แต่ขอล้างหน้าล้างตาเข้าห้องน้ำหน่อย ตอนที่ล้างหน้าก็โอเคอ่ะ น้ำเย็นเจี๊ยบ...จนมือเพ่มนชาพอเอาน้ำล้างหน้า หน้าก็ชา จนไม่รุ้สึกเลยอ่ะ แต่พอล้าง......อิๆ จะเหลือรึ ...เรียกว่าเย็นต้องต้องแทบลุกขึ้นยืน หุๆ แล้วก็ชาสุดๆ งานนี้..เรียกว่าตรงนั้น อิๆ ไม่รับรุ้ความรุ้สึกปเสียแล้ว 555 อย่าคิดลึก นะสาวๆ เรื่องธรรมชาติอ่ะ ฮ่าๆ ใช่ว่าไม่เคย เข้าห้องน้ำตอนหน้าหนาว ฮ่าๆ

**

แต่หัวค่ำเค้าก็เอากีตาร์มาเล่นมาร้องเพลง ตรงหน้าก็มีกองไฟพิงกันหนาว แหมบรรยากาสอย่างกะแอ๊ดคาราบาวออกคอนเสริท ไม่ช่าย.... บรรยากาศประมาณนั้นแหล่ะ แต่พอดับไฟนอน เฮ้ยยยย.....ฮูยยยยย นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะมันหนาวมั๊กๆ ผ้าห่มก็ไม่มี มีแต่เสื้อกันหนาวหนาๆ ใส่แล้วตัวกลมอย่างกับโอ่งเดินได้ ฮ่าๆ(มีรูปมาโชว์ แต่ไม่ให้ดู อุบาทว์ตัวเองอ่ะ ก๊ากก เดี๋ยวเค้าหาว่ากระเหรี่ยงลงจากดอยมาเอง อิๆ) รุ่งขึ้นลงมาทานข้าวเช้าที่ในเมืองก่อนกลับกรุงเทพ ดีนะว่าไข้ไม่กินไปเสียก่อน....อ่ะโชคดีไป

**

ฝาชีเพ่มนขับรวดเดี่ยวถึงเมืองนนท์เลย ไปถึงไหนก็แล้วแต่ ก็ต้องกลับมาตายรังเสมอ บ้านคือวิมานอ่ะ ไปไหนไม่พ้น อิๆ ลงมากรุงเทพ ก็เจออากาสร้อนมั๊กๆ ขนาดหน้าหนาวนะเนี่ย...เฮ้ย เหนื่อย...เหมือนกัน แต่ก้อิ่มบุญอิ่มตา อิ่มจายยย

....เอาเป็นว่า ทริปนี้จบแล้วจ้า ไว้คราวหน้าจะพาไปเที่ยวบ้านน้ำเพียงดิน ไปดูกระเหรี่ยงคอยาว ที่แม่ฮ่องสอนกัน แลัว ครั้งต่อไปค่อยพาไปอาบน้ำพุร้อนที่อำเภอปาย ละกันนะจ้า ....

ปล.ขอขอบคุณเวป
1.www.4x4camp.4t.com
2.www.ezytrip.com/travelsearch
และ เวปของ ททท.ค้า
สำหรับรูปสวยๆที่ยืมมา





Create Date : 10 ตุลาคม 2551
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2551 13:56:47 น.
Counter : 438 Pageviews.



Create Date : 25 มีนาคม 2556
Last Update : 25 มีนาคม 2556 13:32:15 น. 0 comments
Counter : 926 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Setakan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





อยากให้คนที่เข้ามาได้รอยยิ้ม
และความสุขกลับไปค่ะ

..................

นิยายปี 53










นิยายปี 54










งานเขียนในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ. พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ ส่วนหนึ่งส่วนใด โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร




TOP : Users Online hits
Friends' blogs
[Add Setakan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.