แม่จะให้แต่สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก?
หลังๆ นี่ แม่คิดอะไรวนไปวนมาเหมือนพายเรือในอ่างยังไงชอบกล มานั่งทบทวนถึงคนที่เกี่ยวข้องกับแม่หลายๆ คน
มาคิดถึงแนวคิดในการเลี้ยงดูลูก หรือเวลาอ่านนิตยสารเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ความคิดหนึ่งที่หลายๆ คนคิดเหมือนกันคือ "จะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก"
แม่มานั่งคิดว่าจริงๆ แล้วคนเป็นพ่อแม่ควรจะให้แต่สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกจริงเหรอ ...
ตั้งแต่สงกรานต์ มีครอบครัวหนึ่งที่ทำให้แม่รู้สึกว่าการยกลูกให้เป็นที่ 1 ในชีวิตนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย กับแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนดังในเชียงใหม่แล้วพอกลับบ้านนอก ทุกคนก็ต้องปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นคุณหนูลูกผู้ดี
แม่เห็นมาทุกปีแล้ว เวลาทุกคนไปกินข้าวกันที่บ้านใหญ่ เธอคนนี้และแม่ของเธอก็ไม่เคยที่จะโผล่หน้ามาช่วยทำอะไรเลย พอถึงเวลากินก็ถึงจะยุรยาตรมา มิหนำซ้ำยังทำหน้าหงิกงอว่าถูกปลุกมาเสียอีกด้วย
แม่ไม่สบอารมณ์กับเด็กคนนี้มานานหลายปีแล้ว จริงๆ ก็คงจะผิดที่คนเป็นยายเป็นป้าเป็นลุงด้วยแหละมั้งที่คอยโอ๋ คอยปกป้อง ยิ่งพอไปเรียนในเมืองก็ยิ่งเหลิง กลับบ้านทีไม่เคยไปคุยกับญาติคนไหน มิหนำซ้ำถ้าเธอพาเพื่อนไปบ้าน แม่ของเธอถึงกับห้ามญาติๆ ว่าไม่ต้องไปยุ่งกับเธอ เพื่อนเธอมาด้วย
พ่อแม่รังแกฉันจริงๆ ... มันจะอะไรกันนักหนา ทำยังงี้ก็เท่ากับรังเกียจญาติว่าเป็นคนบ้านนอกเหรอ ถึงไม่อยากให้เพื่อนของลูกได้เห็นเหรอ
รุ่นพี่ของแม่บางคนที่เขารักลูกมากๆ แม่ก็รู้สึกว่าการให้ๆๆๆ อย่างเดียวก็ทำให้เด็กรู้จักแต่การ "รับ" ไม่รู้จักการ "ให้" แต่แม่ก็ว่าอะไรไม่ได้หรอก ลุงป้าก็แก่กว่าแม่เยอะ
ลูกๆ ของลุงป้าเขาฉลาดทุกคน เพราะลุงป้าให้อิสระในการคิด การตัดสินใจของลูก แต่บางครั้งมันเกินไปหน่อย โดยเฉพาะกับลูกชาย ลูกชายของลุงป้าเขาต้องได้แต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ไม่มีใครกล้าว่าอะไร
เช่น ถ้าจะนั่งรถ ที่นั่งข้างคนขับต้องเป็นที่นั่งของลูกชายเท่านั้น โดยที่แม่และลูกสาวต้องไปนั่งเบียดกันข้างหลัง หรือลูกชายคนนี้จะกรี๊ด จะร้องไห้ จะตะโกนยังไงก็ได้ ก็ไม่มีใครเห็นว่าผิด
แต่เวลาแม่เจอเหตุการณ์แบบนี้ทีไร แม่ก็ได้แต่คิดว่าแม่จะเอาแนวคิดเขามาแค่ครึ่งหนึ่งก็พอ อีกครึ่งที่แม่รับไม่ได้นี่แม่จะไม่เอามาเลี้ยงลูกแม่เด็ดขาด
ถ้าหนูโตกว่านี้ แม่จะไม่ให้หนูร้องกรี๊ดๆ เพื่อจะได้นั่งเบาะหน้าซึ่งเป็นที่นั่งที่ดีที่สุดในรถหรอกถ้าคนที่จะโดยสารไปนั้นยังมีคุณตาคุณยายหรือแม่นั่งไปด้วย
ชีวิตของหนูไม่ได้เป็นชีวิตที่มีค่าประดุจทองคำขาวเพียงคนเดียว ทุกๆคนที่ใกล้ชิดล้วนแต่มีความสำคัญทั้งนั้น จะไม่มีแม่อยู่ในวันนี้หากไม่มียายคอยเลี้ยงดูแม่มา และก็จะไม่มีหนูในวันนี้หากไม่มีแม่ในวันเวลาที่ผ่านมา ดังนั้นคนทุกคนมีความสำคัญเหมือนๆ กันหมด แม่อยากจะให้หนูเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับคนโดยที่หนูเห็นความสำคัญของเขา
ในชีวิตหนูทั้งชีวิต หนูจะต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคน ถ้าหนูไม่รู้จักที่จะเป็นที่สอง ที่สาม หรือไม่รู้จักที่จะเห็นคนอื่นเป็นที่หนึ่งเสียบ้าง แล้วหนูจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรในอนาคต
แม่ถึงไม่อยากจะพูดคำว่าแม่จะให้แต่สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก เพราะแม่รู้ว่าบางสิ่งก็ควรจะให้สิ่งที่ดีที่สุด เช่น การรักษาพยาบาลในยามเจ็บป่วย แต่หลายๆ สิ่งแม่ก็ไม่คิดว่าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด หรือที่หนึ่งให้กับหนู
เรื่องเรียนเป็นเรื่องหนึ่งที่แม่คิดมาตลอด แม่ๆ ในเชียงใหม่เกือบทุกคนที่แม่คุยด้วยจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะเอาลูกเข้าปรินส์รอแยล (อันนี้ขออภัยไว้ก่อนนะคะถ้าความคิดเราจะทำให้ขุ่นเคืองใจท่านผู้อ่าน) หรือไม่ก็มงฟอร์ต แต่แม่ไม่เคยคิดจะเอาหนูเข้าที่นี่เลย เพราะอัตราการแข่งขันสูงมาก แม่ไม่อยากเห็นหนูซึ่งมีอายุแค่ 4-5 ขวบไปนั่งลุ้นจับฉลากว่าจะได้เข้าเรียนหรือไม่ ถ้าจับฉลากไม่ได้จะทำยังไงกับชีวิตต่อไปล่ะ แม่ไม่อยากให้หนูไปเจอสภาพแบบนั้น
แม้แต่วันที่หนูไปนอนโรงพยาบาล ก็ไปเจอแม่ของพี่ที่เข้าโรงพยาบาลคนหนึ่ง ก็คุยกันเรื่องโรงเรียน แม่คนนั้นเขาตั้งใจจะส่งลูกเข้าเรียนที่ปรินส์อีกเหมือนกัน เขาพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ (ทั้งๆ ที่ลูกเขาก็ยังไม่ถึงวัยสอบเข้าที่ปรินส์เลยนะ) ว่า
"ที่ปรินส์นะ วิชาการเข้มมาก ชอบที่นี่ ถ้าจะต่อม.1 เกรดคุณไม่ถึง เชิญออก! (น้ำเสียงเหมือนพิธีกรกำจัดจุดอ่อน) ถ้าจะต่อม.3 ถ้าเกรดคุณไม่ถึง เชิญออก!"
ฟังแค่นี้ แม่ก็เลิกคุยกับเขาแล้ว เพราะรู้ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตคนละไฟลั่ม คนละสปีชีย์กันแล้ว แม่รู้สึกว่าระเบียบโรงเรียนแบบนี้มันกดดันเด็กมากเกินไป แม่ไม่อยากเห็นลูกของแม่มานั่งหน้าดำคร่ำเครียดกับการเรียนจนละเลยส่วนอื่นๆ ของชีวิต
แม่ไม่รู้ว่าถ้าหนูโตขึ้น หนูจะมีสติปัญญาแค่ไหน ถ้าเรียนเก่งก็ดีไป แต่ถ้าหนูเรียนแค่ปานกลางล่ะ การส่งหนูไปเรียนในโรงเรียนที่มีแนวทางแบบนี้ ลูกของแม่ไม่อัดใจตายเหรอ
สมัยแม่เรียนมัธยมที่บ้านนอก แม่ก็ถือว่าเป็นเด็กโง่คนหนึ่งเหมือนกัน ติดศูนย์ฟิสิกส์เป็นว่าเล่น แต่ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ศิลปะได้เกรดดีๆ มาตลอด แม่โชคดีที่ตายายเข้าใจไม่บังคับให้แม่เรียนอะไรที่แม่ไม่ชอบ ถ้าเป็นครอบครัวอื่น แม่ก็คงถูกบังคับให้เรียนพยาบาลไปแล้ว เพราะเป็นค่านิยมในช่วงเวลานั้นจริงๆ เรียนจบแล้วก็มีงานทำเลย
แต่นี่ตายายยอมให้แม่เรียนวิชาที่จบมาก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรกิน มิหนำซ้ำต่อปริญญาโทในสาขาที่จบมาแล้วมันจะไปทำอะไรได้(วะ) แต่สุดท้ายชีวิตมันก็มีทางออกของมันนั่นแหละ
แม่ถึงอยากจะสอนอะไรๆ ที่อยู่นอกตำราให้หนูให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เผื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์กับอนาคตของหนู ถ้าหนูรู้จักตัวเองได้เร็วเท่าไหร่ ชีวิตหนูจะไม่เคว้งคว้างโดยเปล่าประโยชน์
^ ^ ^ เขียนไว้เมื่อคืน รู้สึกว่ามันจะเครียดไปหน่อย ยิ่งคิดมากไป ยิ่งเขียนมากไปก็เหมือนคิดวนพายเรืออยู่ในอ่าง บางทีความคิดของแม่อาจจะผิดก็ได้ ได้คุยกับน้าโอเปิ้ลเมื่อคืน สรุปว่า ทางสายกลางดีที่สุดละมั้ง ไม่ต้องคาดหวังอะไรกับลูกให้มากเกินไป ให้สิ่งที่ดีกับลูกเท่าที่ทำได้ แต่ก็ต้องสอนให้รู้จักที่จะให้หนูเป็นผู้ให้บ้าง สอนให้รู้จักกับความเจ็บปวด ความผิดหวังบ้าง สอนให้รู้จักพอใจกับสิ่งที่มีอยู่ สนอให้หนูเป็นคนดี ไม่ต้องมี IQ สูงก็ได้ แต่ขอให้มี EQ สูงพอที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคมอย่างไม่มีปัญหาก็น่าจะดีกว่านะ
เปลี่ยนโหมด....มาบันทึกพัฒนาการของสาวไหมดีกว่า
ตั้งแต่สงกรานต์มานี่ หนูพูดได้เยอะมากขึ้นมากๆ พูดมากด้วยแต่ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง บางทีก็มีอะไรขำๆ มาให้ได้ยินตลอด
ตอนนี้หนูพูดตัวสะกดแม่กนได้ชัดขึ้นแล้ว เมื่อก่อนเวลาสอนให้เรียกพี่ป่าน ลูกน้าโอเปิ้ล (บล็อกพู่ระหงที่อยู่ใน friend's link น่ะค่ะ) หนูก็จะเรียก ป่าม สอนให้เรียกพี่ม่อนลูกน้านิด ก็เรียก ม่อม สอนให้เรียกยายมวล หนูก็เรียก มวม หรือตัวสะกดแม่กง หนูก็จะออกเสียงเป็นแม่กมหมดเลย เรียกแป้งก็เป็นแป้ม
แต่หลังสงกรานต์นี่ หนูพูดชัดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน หนูเรียกยายมวล พี่เลี้ยงที่เนิสเซอรี่ว่า "มวน" เรียกเหมือนเพื่อนเลย
วันก่อนตอนที่ขับรถจะเลี้ยวเข้าไปเนิสเซอรี่แม่ถามหนูว่า "นี่เรากำลังจะไปไหนกันน้า" หนูตอบว่า "เรียน" แม่ถามต่อว่า "โรงเรียนครูอะไรน้า" หนูตอบทันที "มวน"
ต๊ายยย กลายเป็นโรงเรียนยายมวลไปละ 555
หนูชอบขโมยลิปแม่ไปทาเล่นจริงๆ ดีที่แม่มีแต่ลิปมันติดกระเป๋านะ ราคาถูกๆ เลยไม่เสียดายเท่าไหร่ วันนี้ก็เอาอีกละ ไปค้นกระเป๋ากล้องแม่ใหญ่เลย เจอลิปมันก็คว้าหมับทันที "ทาจิ๊บ ทาจิ๊บ"
วันที่หนูทำแม่ขำมากๆ คือวันที่ออกจากโรงพยาบาล หนูมานั่งคุ้ยถุงยาที่หิ้วกลับจากโรงพยาบาล แม่ได้ยินหนูบ่นพึมพำๆ อะไรอยู่คนเดียว ก็ลองไปแอบฟัง ได้ยินหนูพูดว่า "กินยามั้ย กินยามั้ย" ก๊ากกก จะกินยาเหรอ แม่เลยถามว่า เอาไหม กินไหม เดี๋ยวป้อนให้ แล้วแม่ก็หยิบไซริงค์มา ทำท่าจะดูดยาขี้นมา แค่นั้นแหละ หนูปิดปากวิ่งหนีเลย "บ่เอาๆๆๆๆ"
หนูเริ่มเจ้ากี้เจ้าการมากขึ้น เวลาจะนอนก็ต้องจัดระเบียบการนอน จะเอามือไปตบฟูกแล้วบอก "ป้อ นอนนี่" แล้วย้ายมาตบฟูกข้างๆ "แม่ นอนนี่" ถ้าพ่อหรือแม่ไปนอนที่อื่นก็ไม่ยอมนะ จะต้องให้มานอนที่ตัวเองจัดให้เท่านั้น
สาวไหมเข้าวัยเอาแต่ใจแล้วล่ะ จะดูแต่โดราเอมอนท่าเดียว ถ้าแม่ไม่ยอมจะดูวีซีดีหรือดูทีวี หนูจะตะโกนบอกพ่อกับแม่ว่า "หลับบบบบ" "นอนเน้ออออ"
อ่ะนะ...ทีตัวเองจะดูนี่ไม่เห็นบอกตัวเองหลับเลย ชิๆๆ
สาวไหมรู้จักตัวละครในโดราเอมอนเกือบทุกตัวเลย พอแม่ชี้ไปที่ตัวละครตัวไหนบนหน้าปกวีซีดี หนูก็จะบอกชื่อถูก "ม่อน" -- โดราเอมอน "ตะ" -- โนบิตะ "กูกะ" -- ชิสุกะ "จะแอ้น" -- ไจแอนท์ "โอะ" -- ซุเนโอะ "พ่อตะ" -- พ่อโนบิตะ "แม่ตะ" -- แม่โนบิตะ
ตอนแรกๆ หนูก็ไม่รู้จัก โอะ พ่อตะ แม่ตะ หรอก พอแม่ชี้หนูก็จะถามว่า "หยังอ่ะ" บางทีแม่ก็จะใช้วิธีถามว่า โนบิตะอยู่ไหน หนูก็จะชี้ๆๆ พอมาถึงพ่อโนบิตะ แม่ถามว่า "พ่ออยู่ไหน" แทนที่หนูจะชี้ที่พ่อโนบิตะ หนูกลับไปตีแขนพ่อที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วบอกว่า "พ่อ นี่ไง"
ตั้งแต่นั้นแม่เลยต้องเปลี่ยนเรียกว่าพ่อโนบิตะ แม่โนบิตะ แล้วหนูก็ย่อว่า พ่อตะ แม่ตะ ฉะนี้แล
สาวไหมเริ่มพูดเป็นประโยคได้มากขึ้นแล้ว ถ้าหนูจะกินนมก็บอกว่า "กินนมหน่อยยยย" ตรงคำว่าหน่อยนี่ต้องลากเสียงยาวๆ เหมือนขอร้องแกมบังคับ หรือถ้าหนูไม่สบายตัวมากๆ ก็จะบอกว่า "อาบน้ำก่อนนนน"
สาวไหมเริ่มเล่นของเล่นเพียงลำพังได้ ตัวอย่างชัดเจนก็เมื่อกี้นีเอง แม่กำลังปั่นต้นฉบับส่งขวัญเรือนอยู่ หนูก็เข้าไปห้องนอนไปค้นอะไรกุกกักๆ แล้วเดินออกมาที่โซฟา พูดว่า "น้องนอนเน้อ" แม่ก็คิดว่าหนูบอกแม่ซะอีกว่าจะนอนแล้ว ที่ไหนได้ หนูไปเอาตุ๊กตาพี่โปโกะกับตุ๊กตาล้มลุกเป่าลมหอบมาสองตัว เอามาวางโซฟา แล้วบอกตุ๊กตาว่า "น้องนอนเน้อ" พอแม่ลุกไปคุยด้วย หนูก็ไม่พอใจ หอบตุ๊กตาเดินตุปัดตุเป๋ไปที่ห้องนอนเล็ก แม่ก็มานั่งเขียนงานต่อ
เห็นหนูเงียบไปนานเลยไปแอบดู ปรากฏว่าหนูปีนขึ้นไปนั่งบนเตียง เล่นกับตุ๊กตาสองตัวอยู่เงียบๆ เออ ดีแฮะ...พอแม่ไปเล่นด้วยก็ไม่พอใจเหมือนเคย ประมาณว่าไปขัดจังหวะความสุขยังงั้นแหละ
จริงๆ แล้วพัฒนาการด้านการพูดของหนูถือว่าช้านะ คนอื่นๆ เขาพูดกันแจ้วๆ แล้ว แต่แค่นี้แม่ก็ดีใจแล้วล่ะ เพราะคำพูดของหนูทุกคำมันทำให้แม่ชื่นใจจริงๆ เวลาหนูเรียก แม่จ๋า พ่อจ๋า ยิ่งทำให้รู้สึกว่าดีจังเลยที่มีสาวไหมขี้อ้อนมาเป็นลูกของแม่เนี่ย
เวลาอยู่เนิสหนูจะเรียกทุกคนที่เนิสว่า มวนจ๋า เบนจ๋า(เบนก็คือ จี่จี๋ นั่นเอง) เพ็บผึ้ง (เพราะออกเสียงคำว่า พี่ ไม่ได้) เพ็บแมว น้าดดดด
พูดถึงเบนจี้ของสาวไหม น้าจูนของเบนจี้เล่าให้ฟังว่า เพราะสาวไหมเรียกเบนจี้ว่า "จี่จี๋" เลยทำให้เบนจี้ซึ่งก็พูดช้าเหมือนกันเรียกตัวเองว่า "จี๋" ตามสาวไหม สุดท้าย ทั้งบ้านเลยเรียก "จี๋" เหมือนกันหมด 555
เบนจี้เป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมัน อายุแก่กว่าสาวไหมประมาณ 3 เดือน วันก่อนคุณยายเบนจี้เล่าว่า ที่บ้านจะมีตุ๊กแกอยู่ พอถามเบนจี้ว่าตุ๊กแกมันร้องยังไง เบนจี้บอกว่าตุ๊กแกร้อง "ซิทดาวน์ ซิทดาวน์"
ยายมวลบอกว่าสาวไหมอยู่เนิสคุยกับเบนจี๋เป็นคุ้งเป็นแคว เพราะอู้เมืองเหมือนกัน เบนจี๋หน้าเป็นฝรั่งแต่อู้เมืองสำเนียงลำปาง น่ารักมากๆ สาวไหมนี่วันก่อนแม่พาไปร้านยาจะซื้อวิตามินให้ยาย หนูก็ถอดรองเท้าซะงั้น พอจะออกร้านแม่บอกว่า ใส่รองเท้าก่อน หนูก็ทำหน้างง แม่ต้องบอกว่า ใส่เกิบก่อน หนูเลยเข้าใจแล้วพูดตาม ใส่เจิบๆ เล่นเอาพี่ๆ ในร้านยาหัวเราะกันครืน
สาวไหมเริ่มพูด 2 พยางค์ที่เป็นคำขยายกริยาแล้ว เช่น เจ็บจัง พูดบ่อยเชียว เพราะล้มบ่อย หัวเข่าเป็นแผลตลอด หนูก็จะบ่น เจ็บจังๆ บางทีก็มี โอ๊ย นำหน้าด้วย โอ๊ย เจ็บจังๆ
บางทีหนูเกเร เอาตุ๊กตาตีหัวแม่ พอแม่แกล้งร้องไห้ หนูก็จะเข้ามากอดแล้วถามว่า "เป๋นหยัง เป๋นหยัง" พอแม่บอกว่าเจ็บแล้วแม่ก็เอามือจับตัว หนูก็มองหน้าแล้วก้มไปจับหัวเข่าตัวเองแล้วบอกแม่ว่า "เจ็บจัง เจ็บจัง" อ้าว เวรกรรม...แทนที่จะมาเป่าพ่วงหายให้แม่ กลับต้องให้แม่ไปเป่าหัวเข่าให้อีก
แต่วันก่อนสาวไหมน่ารักมาก หมู่นี้แม่ไม่ค่อยสบาย จะปวดเมื่อยตัวมากๆ พอจะนอนก็จะเจ็บแถวๆ บั้นเอว หลัง แม่ก็ร้อง "โอ้ย เจ็บ เจ็บ เจ็บ" หนูก็รีบมาถาม "เจ็บไหน" พอแม่บอกว่าเจ็บหลัง หนูก็มานวดให้ แต่นวดอยู่ 3-4 ทีก็หยุด แม๊ น่าจะนวดนานๆ นะ อิอิ
สาวไหมเริ่มมีจินตนาการมากขึ้น เหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ตอนนี้นี่แหละ หลังจากที่หนูไม่ยอมหลับกลางวัน หนูก็อุ้มพี่โปโกะมานั่งข้างๆ แม่ แม่ก็พิมพ์บล็อกนี่อยู่ ได้ยินหนูพูดว่า "กินน้ำมั้ย กินน้ำมั้ย" พอเหลียวดู เห็นหนูกำลังเปิดกระติกน้ำเปล่าๆ แกล้งเทน้ำใส่แก้วป้อนพี่โปโกะ แม่เลยรีบคว้ากล้องมาถ่ายแทบไม่ทันแน่ะ ขำมากๆ
พอป้อนพี่โปโกะไปแล้วก็ถือแก้วยกขึ้นเหมือนจะดื่มเอง แล้วทำเสียง "ฮ่า" ก็มีการบอกว่า "อ่า บ๋อแบ๋แย้ว หมดแย้ว"
อ่านะ อีกหน่อยสงสัยจะไปเป็นดารา
ดูเธอรักพี่โปโกะมากๆ เอาขาพาดซะเลย กลัวพี่โปโกะหนีจาก
กินน้ำมั้ย กินน้ำมั้ย
ซู้ดดด กินซ้า
ไหมกิ๋นน้ำโตยคน อ่า หมดแย้ว บ๋อแบ๋แย้ว
อีกเรื่องก่อนจบ...วันก่อนแม่ไปทำอาหารเย็นอยู่ในครัว เลยเปิดซีดีโดราเอมอนให้หนูดูคนเดียว พ่อไปร้านแล้ว ซักพักได้ยินหนูเรียกแม่ลั่นเลย "แม่ แม่จ๋า แม่จ๋า~~~~"
แม่เลยรีบวิ่งมาเปิดประตูห้องครัว หนูยืนอยู่หน้าประตูบ้าน พอได้ยินเสียงประตูครัวเปิด หนูก็สะดุ้งแล้วหันขวับมาหาแม่ แล้วพูดว่า "โอ้ย โตะใจ"
ก๊ากกกกกกกกก ไปเอามาจากไหนฟะ ไหมเอ๊ย
มาอัพอีกเรื่อง สดๆ ร้อนๆ เมื่อกี้นี่เอง สาวไหมไม่ยอมหลับเลยทั้งวัน แต่อึไปแล้ว 3 รอบ รอบสุดท้ายนี่ผ้าอ้อมฉี่เต็มด้วย เลยไล่ไปล้างก้นในห้องน้ำ แม่ก็เข้าไปเปิดน้ำฝักบัวไว้รอ แต่หนูยืนหยุดอยู่หน้าประตูค่อยๆ พับชายเสื้อขึ้นไปแล้วใช้คางกดชายเสื้อที่ม้วนไว้พร้อมกับพูดว่า "พับก่อนนนนนน"
ก๊ากกกกกกกก ทำไมลูกช้านมันน่าชังยังงี้ฟะเนี่ย (ขอชมลูกตัวเองซักวันเต๊อะ) ถึงเหม็น แต่ก็น่าชังค่า
ทักทายย้อนหลังค่า
หลังจากโง่มานานว่าเป็นคนไม่ค่อยตอบเมนท์ พอจะไปตอบ บางทีมันก็นานไปแล้ว เก่าไปแล้ว เพื่อนๆ ที่เข้ามาเมนท์เขาจะอ่านเหรอฟะ ก็เลยเพิ่งเกิดพุทธิปัญญาว่าทำไมไม่ตอบเสียตอนท้ายของตอนใหม่ที่จะเขียนเล่า เนาะ...
คุณน้องแพนด้ามหาภัย ... เรื่องสาวไหมเป็นคาวาซากิมัน 2 ปีมาแล้วจ้า แต่เวลาคิดถึงช่วงเวลานั้นทีไรมันก็โศกๆ นะ ไม่อยากให้ใครต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกเลยอ่ะค่ะ
คุณ cookery-girl ... ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วค่า เอามาแปะไว้ในบล็อกอีกรอบ เผื่อว่าใครที่อยากรู้เรื่องคาวาซากิจะได้เข้ามาอ่านได้ง่ายกว่าในคลังกระทู้เก่าน่ะค่ะ แต่ก็ขอบคุณมากๆ ค่าสำหรับกำลังใจ
พู่ระหง ... ตอนนี้มันเป็นแสบสนิทศิษย์ส่ายหน้าไปแล้วจ้า ตอนนี้ที่พิมพ์อยู่เนี่ย มันกะลังเอาปากกาเขียนผ้าปูที่นอน ฮือออ บอกให้มันไปนอนนะเนี่ย เชื่อฟังกันมากๆ เลย แก๊
iamlek ... คนเขียนเองอ่านเองก็มีซึมเหมือนกันจ้า เล็ก เลยต้องไหว้พระขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้แข็งแรงปลอดภัยน่ะ
คุณแหม่ม tiara .... นัดก็ตั้งใจจะเก็บทุกตอนที่เขียนไว้ให้สาวไหมอ่านตอนโตค่ะ โดยเฉพาะเรื่องคาวาซากิเนี่ย มีอาจารย์คนหนึ่งบอกว่า อย่าเพิ่งให้อ่าน เอาไว้เจอเหตุการณ์คับขันประมาณว่าลูกเริ่มดื้อ ไม่เชื่อฟัง จนทำให้เราเสียใจแล้วค่อยเอาให้อ่าน ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่านะคะเนี่ยกับการให้เขาอ่านตั้งแต่ต้นน่ะค่ะ ดีใจกับลูกชายของเพื่อนคุณแหม่มด้วยจริงๆ ค่ะที่ไม่มีอะไรแทรกซ้อนเหมือนกัน ตอนนี้คงจะโตเป็นหนุ่มแล้วมั้งเนี่ย
ป้านกยูง ... จ๊ากกก อย่าอวยพรให้มันไฮเปอร์สิค้า แค่นี้ก็แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้วค่า
คุณ UtsU ... ยินดีต้อนรับสู่บล็อกที่คนเขียนขี้เกียจตอบเมนท์ที่สุดในโลกค่า 555 สาวไหมแปลงร่างเป็นได้ทุกอย่างที่แม่รู้สึกว่ามันเป็นค่า 555
ปุ๊ก ... อย่าเอาแต่หลงเสน่ห์ลูกสาวเขาไปทั่ว หัดทำเองได้แล้ว หรือว่ามีปัญหาที่พี่เชษฐ์? 555555
แม่ออย ... เดี๋ยวมีตติ้งแก๊งค์เด็กเหนือ เดือนมิถุนาเจอกันแน่จ้า
คุณแม่น้องใบแค ... ขอบคุณมากๆ ค่ะที่ติดตามกันมาตั้งแต่ในสวนลุมจนถึงปัจจุบัน พูดถึงตอนสาวไหมอ่านหนังสือที่คือไฟล์ที่นัดเรียงต่อๆ กันหลายๆ รูปใช่ไหมคะ ว่าแล้วก็คิดถึงเหมือนกันแฮะ โอนไปใส่ในฮาร์ดดิสก์แล้ว ไว้ว่างๆ จะค้นมาแปะในบล็อกด้วยดีกว่า อิอิ ขอบคุณมากๆ ค่ะสำหรับคำอวยพรและคำชม แต่นัดคิดว่าพ่อแม่ทุกคนถ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ต้องทำเหมือนกันแหละค่ะ ก็ลูกทั้งคนอ่ะเนาะ
ศศิศ ... หล่อไม่เร้าใจพอน่ะ สาวไหมเลยไม่ยอมให้จุ๊บ ก๊ากกกกกกก
First and Aor ... เฟิร์สกับอ้อหรือเปล่าจ๊ะ หลงทางมาเจอบล็อกพี่ได้ไงเนี่ย รู้เปล่าว่าเพราะซีดีเรียนเจิงที่เอามาให้พี่แสบน่ะ เลยทำให้สาวไหมติดฟังเพลงโดราเอมอนเลย จนต้องขวนขวายหาซีดีมาให้มันดู กลายเป็นโดรามาเนียไปแล้วเนี่ยยยย
คุณคนเจียงฮาย ... ยินดีนักๆ เจ้าที่คอยติดตามอ่านบล็อก แหม ถ้ารู้ว่ามีคนคอยอ่านบล็อกจะฟั่งมาอัพบล็อกหมั่นๆ กำเหมาะ อิอิ จะไดก่อมาอ่านเป๋นหมู่กั๋นเน้อเจ้า ยินดีนักๆ เจ้า
เอารูปอุด้งน้ำกุ้งทอดจากร้านเจแปน เป็นร้านเล็กๆ ใต้สุริวงศ์บุ๊กเซ็นเตอร์มาให้ชิมกัน อร่อยมากๆ รสชาติเข้มข้นจริงๆ ชอบๆ โทรชวนพ่อสาวไหมไปนั่งกินกันสองคนเมื่อวาน หลังจากต่างคนต่างออกไปทำงานกัน นัดเดทๆ อิอิ
Create Date : 28 เมษายน 2550 |
|
10 comments |
Last Update : 2 พฤษภาคม 2550 21:42:44 น. |
Counter : 1593 Pageviews. |
|
|
|
ส่วนเรื่องให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกเนี่ย ก็ลองดูว่าลูกของเรามีความสุขกับสิ่งไหนที่เราหยิบยื่นให้ ก็อันนั้นแหละดีที่สุดสำหรับลูก
ทำไมช๊านต้องเห็นรูปของกินตอนห้าทุ่มด้วยฟระ ยั่วน้ำลายชะมัด ...ทั้งๆที่เพิ่งกินขนมปังเนยสด(เนยหนาๆ น้ำตาลเพียบๆ) กะข้าวต้มมัดข้างนึง ...หิวว้อยยยยยย
ป.ล. ส่งของรับขวัญสาวไหมหลังป่วยไปให้แล้วน๊า ค่าส่งทำเอาแทบหงายหลัง ซะมีบอกให้ไปส่งกะปณ.เอกชนที่โลตัส แล้วเป็นไงล่ะ โดนฟันหัวแบะ แพงกว่าปกติตั้ง 2 เท่า ฮือๆ
ป.ล.2 ลองใส่รูป ได้เป่าไม่รุ