วันครู รับปริญญา หมูของสาวไหม ไดร์เป่าผม กิมจิ สิงห์สาวนักปั่น พราหมณ์น้อย พลังจ่อยเรนเจอร์
จริงๆ แม่ว่าจะเขียนบล็อกหลายวันแล้วนะ แต่หนูไม่เปิดโอกาสให้แม่ได้เขียนเลย กลับถึงบ้านก็คึกเหลือเกินไม่ยอมหลับยอมนอน
หมู่นี้แม่ไม่ค่อยสบาย เจ็บคอ หวัดลงคอ กลืนน้ำลายยังลำบากเลย เสียงก็ไม่มี เวลาหนูดื้อนี่ แม่นี่โมโหปรี๊ดขึ้นเลย อยากถองให้สักอั๊กแต่ก็ทำไม่ลง เพราะเวลาปรี๊ดทีไร หนูก็ชอบมาทำปากจู๋จุ๊บแม่ทุกที
เขียนชื่อไดแบบนี้ คงเดาได้ว่าเป็นรายการรวมมิตรอีกแล้ว
จริงๆ ว่าจะเขียนตั้งแต่วันที่ 16 ละ เป็นวันที่ขับรถออกจากบ้านแม่เช้าก็ต้องเสียน้ำตา สถานีวิทยุราชพฤกษ์ก็เปิดแต่เพลงครูจูหลิง เพลงต่างๆ เกี่ยวกับครูที่ชีวิตช่างรันทดเสียเหลือเกิน
ตระกูลทางแม่ก็นับได้ว่าเป็นตระกูลครูเต็มขั้นเลยนะ ตาก็เป็นครู ลูกๆของตาสิบกว่าคนก็เป็นครูเกือบทุกคน มีน้าจอนกับน้าเจนที่ทำงานอย่างอื่น เขย+สะใภ้ก็เป็นครูกันหมด แล้วหลานๆ ของตาเกือบทุกคนก็เป็นครูอีก ทั้งลุงป้าน้าของสาวไหมก็เป็นครูเหมือนกัน
จะขาดช่วงที่แม่นี่แหละมั้ง แต่ตอนเรียนโท แม่ก็ได้สอนภาษาไทยที่ภาควิชาอยู่สองเทอม ก็นับได้ว่าเป็นครูเหมือนกันนะ แม่มีโอกาสได้สอนแค่ 2 เทอม แต่แม่ก็ซึ้งงงงว่ามันไม่ใช่งานที่สบายเลยแม้แต่นิด ขนาดว่าแม่สอนนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยนะ ยังต้องพูดกันปากเปียกปากแฉะ เล่นเอาเหนื่อย ถ้าสอนระดับอนุบาล ประถมเหมือนตายาย และลุงๆ ป้าๆ ของสาวไหมล่ะก็ แม่คงไม่ไหวแน่ๆ
พูดถึงเพลงครูจูหลิง มีวงดนตรีชื่อ "ตีฆอลาฆู" แต่งเพลงนี้ขึ้นมา รายการวิทยุคลื่นราชพฤกษ์ก็เปิดแทบทุกวันตั้งแต่ได้เพลงนี้มา ยิ่งฟังก็ยิ่งเศร้า ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์วันที่ครูจูหลิงและเพื่อนถูกทำร้าย แม่ก็น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว
แม่ไม่อยากจะเขียนบรรยายถึงความรู้สึกที่มันจุกอกนี้ออกมาเป็นตัวหนังสือ เพราะยังไงก็เขียนได้ไม่เท่ากับที่รู้สึก ก็จะขอภาวนาให้วิญญาณครูจูหลิงไปสู่สุขคติและถ้าได้เกิดมาในชาติหน้าก็อย่าได้พบพานกับความเจ็บปวดและโชคร้ายอย่างนี้อีกเลย
วันที่ 16 มกราคม 2550 เป็นวันพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นปีแรกที่เลื่อนวันมาจัดก่อนอย่างนี้ ปกติจะรับวันที่ 24 มกราคมเป็นประเพณี บางปีอาจจะเลื่อนเป็นวันที่ 28
พูดถึงเรื่องรับปริญญา ก็คงจะต้องเล่าความหลังกันยาว มันทำให้แม่นึกถึงรุ่นพี่เมเจอร์คนหนึ่ง ชื่อ ป้าเก๋ เป็นรุ่นพี่ของแม่ 1 ปี ป้าเก๋คนนี้เป็นสาวใต้ เพื่อนแม่คนหนึ่งเป็นน้องเทคของป้าเก๋ ก็เลยสนิทกัน เพื่อนมันเล่าให้แม่ฟังว่าในห้องของป้าเก๋มีอัลบั้มรูป เป็นรูปรับปริญญาทั้งหมดเลย
รูปพวกนั้นเป็นรูปที่ป้าเก๋ถ่ายรูปกับพี่บัณฑิตผู้ชายทั้งหมด มีหลากหลายคณะ แต่ที่สำคัญคือทุกคนหล่อมากๆ เพื่อนพี่ก็แปลกใจว่าป้าเก๋นี่เก๋เริ่ดสมชื่อจริงๆ รุ้จักแต่พี่บัณฑิตที่หล่อๆ ทั้งนั้นเลย
ป้าเก๋มาเฉลยว่า ไม่รู้จักเลยซักคน แต่ในวันรับปริญญาป้าเก๋จะเตรียมดอกไม้ ส่วนใหญ่ก็เป็นดอกกุหลาบนั่นแหละ เตรียมไว้เป็นกำๆ เลย แล้วหอบเดินไปในหมู่บัณฑิต ถ้าเจอบัณฑิตคนไหนหล่อเข้าตาก็จะเอาดอกกุหลาบไปให้ไป 1 ดอกแล้วบอกว่ายินดีด้วยนะคะพี่ แล้วก็ให้เพื่อนถ่ายรูปให้!!
ต๊ายยย พี่ชั้นเริ่ดดดดดด
รุ่นพี่อีกคนหนึ่งของแม่ชื่อพี่เมต เป็นสาวห้าว รุ่นพี้ รุ่นพี่ ห่างจากแม่ 5 ปี แต่ที่แม่และเพื่อนๆ ยังรู้จักพี่เมตก็เพราะพี่เมตเปอร์ 1 ปีและเป็นพี่ว้ากสุดโหดเนี่ยสิ ทุกคนเลยรู้จัก แต่จริงๆ ป้า(ลุง)เมตก็โหดเฉพาะเวลาอยู่ในห้องว้ากแค่นั้นแหละ พอรู้จักกันหลังจากนั้นแล้วป้าเมตก็เป็นรุ่นพี่ที่ใจดี (แต่ปากร้าย) มากๆ อีกคนหนึ่ง ตอนที่ป้าเมตมารับปริญญา พวกแม่และเพื่อนๆ ก็ต้องจัดงานบายเนียร์ให้พี่บัณฑิต พี่เมตมางานเอาดึกมากๆ จนเกือบจะเลิกแล้ว เมาแอ๋มาเชียว แต่ก็ยังจำฉายาของแม่ได้อีก
วันรับปริญญา ป้าเมตต้องสวมรองเท้าคัชชูส้นสูงอย่างน้อย 1 นิ้วครึ่ง สำหรับคนที่ปกติสวมแต่รองเท้าผ้าใบก็คงเป็นเรื่องทรมานสุดๆ นั่นแหละ แม่ไปเจอป้าเมตตอนที่ป้าเมตต้องรีบเข้าศาลาอ่างแก้วเพื่อเตรียมรับเสด็จแล้ว ทุกคนก็เรียกป้าเมตมาถ่ายรูป ป้าแกวิ่งมาเลย แม่ก็สงสัยทำไมสวมคัชชูแล้ววิ่งได้แฮะ ปรากฏว่าป้าเมตหิ้วรองเท้าคัชชูไว้ในมือ ส่วนเท้าน่ะ คีบอีแตะนันยาง ก๊ากกก
ปีนี้ มช มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้กับศาสตราจารย์เกียรติคุณมณี พยอมพงค์ ด้วย แม้ว่าแม่จะไม่เคยร่ำเรียนกับอาจารย์มณีมาก่อน แต่ตั้งแต่ที่แม่เริ่มก้าวเข้าสู่แวดวงการศึกษาภาษาและวรรณกรรมล้านนา พ่อครูมณีก็เป็นคนหนึ่งที่ทุกคนต้องรู้จัก หากใครไม่รู้จักก็อย่าได้พูดเลยเชียวว่าเรียนภาษาและวรรณกรรมล้านนามา
ปัจจุบันพ่อครูมณีมีปัญหาเรื่องดวงตา มองเกือบไม่เห็นแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครลืมพ่อครูมณี ทาง มช ก็ยังไม่ลืม เพิ่งมารู้เอาตอนที่ฟังวิทยุตอนไปทำงานนั่นแหละ ได้ยินแล้วดีใจจริงๆ
ความดีใจของแม่ไม่ได้ดีใจกับพ่อครูมณีอย่างเดียวนะ แต่แม่ดีใจที่ทางมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ลืมสาขาวิชาที่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นค่าว่าจะเรียนไปทำไม เรียนจบแล้วจะทำมาหากินอะไร
หลายปีก่อน โปรเฟสเซอร์ฮารัลด์ ฮุนดิอุส หรือลุงอู๊ด ของคนทำงานด้านนี้ก็ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาภาษาและวรรณกรรมล้านนาจาก มช ด้วยเหมือนกัน
ลุงอู๊ด นี่เป็นโปรเฟสเซอร์ชาวเยอรมัน เชี่ยวชาญภาษาล้านนามากถึงขนาดเป็นอาจารย์สอนที่คณะมนุษย์หลายปี สอนป.โท วิชาชำระเอกสารโบราณ แต่แม่ไม่ทันได้เรียน (อีกแล้ว) ตอนนั้นลุงอู๊ดกลับเยอรมันไปละ
แม่มาเจอลุงอู๊ดครั้งหนึ่งตอนที่ลุงอู๊ดมาเยี่ยมอาจารย์อุดมที่เรือนเดิม อาจารย์อุดมก็บอกให้แม่มาไหว้สาลุงอู๊ดเสีย พอแม่บอกว่า "สวัสดีเจ้า" ลุงอู๊ดก็รับไหว้แล้วบอกว่า "เออ ไหว้พระเต๊อะ อี่หล้า"
กรี๊ดดดด สำเนียงนี่ชัดมากๆ ประหนึ่งว่าพ่ออุ๊ยพูดเลยแหละ เขาว่ากันว่าลุงอู๊ดนี่พูดคำเมืองกับลาวชัดกว่าภาษาไทยมาตรฐานเสียอีก
ยังไงก็ขอแสดงความยินดีกับพ่อครูมณีและลุงอู๊ด(ย้อนหลังหลายปีเลย) ด้วยนะคะ
***
เรื่องต่อไป....หมูของสาวไหม
สงสัยใช่ม้าว่าหมูของสาวไหมคืออะไร...นี่ไง
งานประจำของหนูทุกเย็นหลังจากกลับจากเนิสก็คือ ต้องมาวาดรูปหมูที่โซฟาเบดตัวนี้ หมู่นี้หนูเริ่มวาดวงกลมเก่งแล้วนะ หนูจะวาดวงกลมวงใหญ่หนึ่งวง แล้วจะวาดวงกลมเล็กๆ ลงไปตกแต่งตามมุมต่างๆ แล้วบางทีก็ขีดเส้นหยักๆ อีกมุมหนึ่ง ประมาณว่าเขียนตา เขียนจมูก เขียนปากให้พี่หมู พอเสร็จก็จะหันมาบอกแม่ว่า "หมูๆ" เอานิ้วจิ้มๆ ที่รูปหมูด้วย กลัวแม่ดูไม่ออก
นี่ก็เป็นหมูอีกเล้าหนึ่ง
แต่ข้างบนนี่เหมือนหนอนเอเลี่ยนมากกว่านะ
ดูมาดของศิลปิน graffiti แห่งดอยสะเก็ดซะก่อน 555
ยังดีนะที่โซฟาเบดตัวนี้มันไม่มีราคา เพราะแถมมากับที่นอนตอนที่พ่อกับแม่ซื้อเข้าบ้าน หนังที่หุ้มก็เป็น PVC จริงๆ มันก็เกือบพังไปแล้วแหละ แต่พ่อซ่อมหนหนึ่งก็ใช้ได้ต่อ แม่โดนยายบ่นเรื่อยเลยว่าปล่อยให้หนูเขียนโซฟาเนี่ย พ่อก็บอกว่าซื้อโซฟาตัวใหม่ไหม แม่ก็ย้อนถามว่า จะซื้อใหม่ให้มัน(หมายถึงหนูนั่นแหละ)มีเขียนมากขึ้นหรือไง เอาไว้ให้มันพ้นวัยมือบอนก่อนแล้วค่อยซื้อใหม่
*******
ไดร์เป่าผอม....อุ๊ย ไดร์เป่าผม
แม๊ คำๆ นี้ ลองพิมพ์ดูสิ ไม่รู้เป็นอะไร พิมพ์ทีไร พลาดทุกที จากไดร์เป่าผมเป็นไดร์เป่าผอมทุกที
หลังจากที่เคยบังคับขู่เข็นให้น้าเอะยกไดร์เป่าผมอันเก่ามาให้ก่อนที่น้าเอะจะบินไปเรียนที่ญี่ปุ่นเมื่อ 6-7 ปีก่อน แม่ก็ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่หรอก เพราะกำลังวัตต์มันอ่อน เป่านานมากกกกกกว่าผมจะแห้ง ขนาดผมบางๆ อย่างแม่นะ ดังนั้นใช้ที ผมแทบจะเป็นไม้กวาดแน่ะ
วันก่อนตอนที่น้าเอะกลับบ้านช่วงปีใหม่ก็ได้ไปเดินโรบินสันด้วยกัน เล็งๆ ไดร์เป่าผม น้าเอะก็บอกว่า เออ ไอ้แบบ ionic เนี่ย กำลังฮิต เห็นเขาว่ามันจะปล่อยประจุบวกลบอะไรไม่รู้ออกมาทำให้ผมไม่ฟู แม่ก็ไม่ได้สนใจหรอก เพราะมันแพงกว่าธรรมดาเกือบเท่าตัวแน่ะ
แต่หลังจากที่ดวงตาเริ่มเห็นธรรม เริ่มเห็นความทุเรศทุรังของตัวเองปรากฏบนกระจก แม่ก็ตระหนักได้ว่า ควรลงทุนกับตัวเองบ้างได้แล้ว และแม่ก็หาข้อมูลเกี่ยวกับไดร์เป่าผมเยอะแยะเลย และหวังว่าชั้นคงจะสวยขึ้น(และผอมลง)ได้ด้วยไดร์เป่าผม
คิดดังนี้แล้วก็ไปโรบินสัน เลือกแล้วเลือกอีกก็ได้ของพานาโซนิก เป็นแบบ double ionic มีตัวปล่อยประจุ 2 ตัวแน่ะ
เย็นนั้นก็สระผมและไดร์ผมทันที โอ้ว จอร์จจจจ มันเยี่ยมจริงๆ เล้ย ผมดูเงางามสมกับที่โฆษณา ไม่ฟูเลยแม้แต่นิด .. แต่หลังจากนั้นอีกประมาณชั่วโมง ก็เหมือนเดิม 555
แต่ก็ถือว่าดีกว่าไม่ได้ไดร์ผมนะ เพราะปกติเวลาแม่สระผมแล้วต้องมาดูหนูเนี่ย พอผมไม่แห้ง หนังศีรษะก็จะเป็นเชื้อรา เอาฟะ...ถือซะว่า ซื้อไดร์เป่าผมมา ถึงจะไม่ทำให้สวยขึ้นและผอมลง แต่ก็ไม่ทำให้หัวเป็นเชื้อราก็พอ
****
กิมจิ...
วันก่อนนั่งทำงานอยู่แล้วเบื่อๆ ใจก็คิดไปถึงกิมจิของฟูจิ อืมม น้ำลายสอเชียว พอดีแม่เคยซื้อกิมปั๊บที่ศูนย์อาหารของโรบินสันแล้วเขาตักกิมจิใส่ถุงให้ด้วย ยายมาบ้านพอดีได้ชิมก็บอกว่าอร่อยดี
ด้วยเหตุนี้แม่เลยคิดจะทำกิมจิกินเอง ก็เลยไปเปิดอินเตอร์เน็ทเว็บพันทิพนี่แหละ โต๊ะก้นครัว search หาคำว่า กิมจิ ก็เจอสูตรของคุณยู้ bigsize อืมม น่ากินๆ
จดเสร็จ เย็นนั้นก็ไปซื้อข้าวของ มีดังนี้จ้ะ 1.ผักกาดขาว 2.แครอท 3.หัวไชเท้า 4.ต้นหอม 5.ขิง 6.พริกแดงใหญ่แห้ง 7.กระเทียม 8.น้ำตาล 9.น้ำปลา 10. เกลือ
ในรูปน่ะมีซูกินี่ติดมาด้วย ตอนแรกว่าจะหั่นใส่ไปด้วย แต่ดูๆไปแล้ว ผักเยอะละ เลยไม่เอา กะว่าจะต้มซุปให้สาวไหมกินไปเนิสดีกว่าเนาะ
ก่อนอื่นต้องหั่นผักกาดขาวให้เป็นชิ้นๆ ซะก่อน เอาไปคลุกเกลือให้ทั่วเสียก่อน อ้อ...ไม่ต้องถามนะคะว่าปริมาณเท่าไหร่ ครัวแม่สาวไหมนี่ กะเอาเองทั้งน้านนนน ใช้สัญชาตญาณแห่งการเอาชีวิตรอดเข้าช่วยค่ะ
คลุกเกลือกับผักกาดขาวทิ้งไว้นั่นแหละ ไม่ต้องสนใจ จากนั้นก็หั่นแครอทเป็นเส้นๆ หัวไชเท้าก็หั่นเป็นเส้นๆ ต้นหอมก็หั่นเป็นท่อนๆ ใช้ความทรงจำเวลาไปกินกิมจิมาช่วย แต่พูดก็พูดเหอะ เราไม่เคยกินอาหารเกาหลีจริงๆ เลยนี่นา รสชาติดั้งเดิมของเขาจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ เอาวะ เอารสที่เราว่าอร่อยก็แล้วกันเนาะ
พอหั่นๆ ซอยๆ ผักต่างๆ แล้วก็เอาไปคลุกเกลือเหมือนกัน แต่พอกลับไปดูบล็อกของคุณยู้ เขาไม่คลุกพวกนี้นี่นา แหะๆ ทำไงได้คลุกไปแล้วช่างมันเหอะเนาะ
จากนั้นก็ตำพริกแดงเข้ากับขิง ใส่น้ำตาลทรายหน่อย เผอิญบ้านเราเทน้ำตาลกรวดผสมกับน้ำตาลทราย แหะๆ แม่ก็เลยตักไปทั้งกรวดทั้งทรายนั่นแหละ จริงๆ ก็ไม่หน่อยนะ ใส่ไปเยอะเหมือนกัน เพราะน้ำตาลกรวดมันไม่ค่อยหวานเท่าน้ำตาลทรายอ่ะ แล้วก็เหยาะน้ำปลาเมกะเคลฟเวอร์ เอ๊ย ไม่ใช่ เมกะเชฟลงไปนิดหน่อย คลุกๆ อืมมมมมมม ก็น่าจะอร่อยนะ
จากนั้นก็จัดการอาบน้ำ ป้อนข้าวสาวไหมเสร็จเรียบร้อย ชงนมให้กิน จนหลับไป แม่ก็ไปจัดการผักกาดขาวและผักต่างๆ ที่คลุกเกลือไว้เอาไปล้างน้ำ 2-3 รอบ แล้วบีบน้ำทิ้งจนหมด บีบชนิดที่ผักแทบจะแหลกคามือ แล้วก็เอามาคลุกกับพริกที่ตำไว้
พอคลุกเสร็จ ชิม....อืมมม เค็มนิดๆ เผ็ดหน่อยๆ มีแนวโน้มว่าจะอร่อยนะเนี่ย
ตามสูตรเมื่อคลุกผักกับพริกแล้วต้องใส่ภาชนะทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 2-3 วัน กิมจิของเราก็จะเปรี้ยวได้ที่ แต่รุ่งเช้าหลังจากที่ทิ้งไว้ เอ๊ะ ก็ยังเค็มๆ เผ็ดๆ เหมือนเดิม ไม่เห็นเปรี้ยวเลย จนไปคุยกับป้าหน่อยป้ากุ้ง เพื่อนที่ทำงาน พอแม่บอกสูตรไป ป้าหน่อยก็บอกว่า อ๋อ ใส่กระเทียมนี่เอง มันเลยเปรี้ยวเร็ว
แม่ก็มาถึงบางอ๋อออออทันทีว่าลืมใส่กระเทียมนี่เอง พอกลับถึงบ้านก็เลยมาตำกระเทียมแล้วเอาไปคลุกอีกรอบ อืมมมม เช้ามา เปรี้ยวแล้วๆ แม่ก็ทิ้งไว้ทั้งวัน ตกเย็นก็เปรี้ยวอีกนิด อืม ใช้ได้ๆ จับใส่ตู้เย็นเลย
รูปนี้มันดูเรียบๆ หน่อย เพราะแม่เอาช้อนกดๆ ไว้ก่อนจะปิดฝาใส่ตู้เย็น พรุ่งนี้ว่าจะเอาไปให้ป้าๆ ที่ทำงานชิมซะหน่อย
และหลังจากที่ไปค้นสูตรกิมจิ แม่ก็ต้องไปเป็นขาประจำที่ก้นครัว เจอน้าแพนด้ามหาภัยด้วยและก็ตามไปอ่านที่บล็อกถึงได้รู้ว่าน้าแพนด้าเคยเป็นเพื่อนกับ someone ในตำนานอินเตอร์เน็ทด้วย 5555
****
สิงห์สาวนักปั่น
เอารูปความหลังฝังใจสมัยที่พาสาวไหมไปออกกำลังกายที่สนาม 700 ปีมาแปะซะหน่อย แม่คันสามล้อคันนี้ให้หนู หลังจากที่เห็นว่าหนูชอบไถสามล้อแบบนี้ที่เนิสเหลือเกิน แม่ไปหาซื้อที่คาร์ฟูร์ ราคาประมาณ 590 พอเอากลับมาถึงบ้าน หนูก็เห่อ ไถๆๆ มันอยู่นั่นแหละ
ช่วงที่แม่พาหนูไปสนามกีฬา 700 ปี แม่ได้ออกกำลังกายจริงๆ เพราะพอหนูเบื่อไม่อยากไถสามล้อ หนูก็ลงจากรถแล้ววิ่งพล่านไปทั่วเลย แม่ก็ต้องหอบทั้งกระเป๋าแม่ หอบกล่องข้าวสาวไหมและรถสามล้ออีกหนึ่งคันวิ่งตามหนู
จากนั้นอีกไม่นาน แม่ก็เห็นหนูเริ่มปั่นสามล้อได้แล้วนะ แต่ปั่นได้ 3-4 รอบก็เอาขาลงไถต่อ คงเพราะในห้องมันแคบด้วยมั้ง ปั่นได้หน่อยก็ถึงทางตันละ แต่สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ สาวไหมปั่นรถสามล้อเป็นเรื่องเป็นราวเลยแฮะ แม่ก็ไม่ทันสังเกตว่าหนูปั่นได้ตอนไหน แต่แน่ๆ พอปั่นได้ หนูแทบไม่เดินเลย ปั่นรถตลอด บอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก็เลี้ยวนะ เออ ดีแฮะ เชื่อฟังคำสั่งดี
วันก่อนชิมลาง พาไปปั่นหน้าบ้าน หนูก็ปั่นไปถึงบ้านป้าเล็ก พี่วินท์กับพี่พลอยเล่นกองทรายอยู่ แม่ก็บอกหนูว่า อย่าปั่นไปใกล้กองทรายนะ เลี้ยวๆๆ หนูก็เลี้ยวตามแม่บอก พี่พลอยอายุ 4 ขวบชมหนูว่า "เออ น้องคนนี้เก่งจัง แม่บอกอะไรก็ทำตามหมดเลย" กรี๊ดดดด เด็ก 4 ขวบชมสาวไหม แม่ปลื้มจังเลย
อีกวันหนึ่ง พอไปส่งหนูที่เนิส ยังไม่ทันเข้าบ้านหนูก็รี่ไปขึ้นรถสามล้อคันใหญ่แบบที่มีที่นั่งซ้อนท้ายน่ะ แม่ก็นึกว่าขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเหมือนที่พี่โยโย่เคยพาหนูซ้อนซะอีก แต่ที่ไหนได้ หนูขึ้นไปนั่งตรงเบาะคนขี่เลย
ตอนนั้นสาวไหมเป็นคนซ้อน แต่ตอนนี้เป็นคนขี่แล้วค่า
พี่แอร์บอกว่า สาวไหมปั่นรถถีบได้เมื่อวาน เห่อใหญ่เลย แม่ก็เลยบอกว่า อยู่บ้านก็ปั่นได้หลายวันแล้วนะ พี่แอร์บอกว่า ไม่ใช่คันเล็กนะคะ คันใหญ่น่ะ ปั่นได้เมื่อวาน เอาน้องนัทซ้อนด้วย
แม่ก็....หา!! สาวไหมปั่นคันใหญ่ได้เหรอ เอาน้องซ้อนได้เหรอ จริงอ่ะ...
พอแม่ยื่นกระเป๋าและข้าวของสาวไหมให้พี่แอร์ น้องนัทก็เดินออกจากมาบ้าน สาวไหมเรียกน้องนัทเสียงดังเลย
"น้าดดดดดด มาๆ" แล้วก็เอามือตบเบาะหลังเรียกให้น้องไปนั่ง ก๊ากกกกก
พี่แมวก็อุ้มน้องนัทไปนั่ง สาวไหมก็ปั่นได้จริงๆ แฮะ แต่ดูจะออกแรงเยอะทีเดียว เพราะน้องนัทตัวพอๆ กับสาวไหมเลย
กรี๊ด ลูกแม่ ตัวเล็กนิดเดียวทำไมแรงเยอะยังงี้ฟะเนี่ย
****
พราหมณ์น้อย...
วันนี้พ่อนึกครึ้มอะไรไม่รู้ เอาเศษผ้าสาลูที่แม่เคยตัดผ้าอ้อมหนูแล้วมันเหลือเศษๆน่ะ เอามาพันๆๆ ตัวหนู เป็นโจงกระเบนก่อน จากนั้นก็เอามาพันอกมั่ง พันคอมั่ง ดูเหมือนพราหมณ์น้อยเลย
สไตลิสต์ประจำบ้านกำลังแต่งตัวให้นางแบบคนดังอยู่นะเคอะ
แฮ่ สาวไหมชอบจังเลยชุดนี้ พ่อคิดได้ไงเนี่ย (หนูขี้จุเน้อป้อ )
นี่กำลังดูทีวี เลยยอมอยู่นิ่งๆให้ถ่าย
รูปนี้พราหมณ์น้อยสละเพศบรรพชิตแล้วออกไปแสวงหาโลกแห่งประชาธิปไตยเป็นนักร้องเพลงเพื่อชีวิต
****
พลังจ่อยเรนเจอร์
ตอนนี้สาวไหมอายุ 1 ขวบ 10 เดือนกว่าแก่ๆ แล้ว วันที่ 25 นี่ก็จะครบ 1 ขวบ 11 เดือนแล้ว (งวดนี้แทง 111 ดีเปล่าหว่า ) แต่ตัวยังเล็กเหมือนเดิม น้ำหนักจะถึง 10 กิโลหรือยังนะเนี่ย สูงก็คงจะไม่ถึง 80 ซม แน่ๆ เลย แต่พลังจ่อยเรนเจอร์นี่สูงปรี๊ดมากๆ
หนูซนได้ไม่บันยะบันยัง ไม่เกรงอกเกรงใจใครเลย บางทีแม่ก็เครียดนะ กลับถึงบ้านต้องทำกับข้าว หนูก็คอยกวนมากอดขา จะให้อุ้ม พอเอาอะไรให้กินก็คายทิ้งๆ กรี๊ดดดดดดดดดดด เซ็งเด็ก
นอกจากจะซนแล้วสมองหนูก็คงพัฒนาไปเยอะด้วยแหละ วันก่อนแม่เปิดประตูเหล็กดัดทิ้งไว้ แต่ปิดประตูข้างนอกล็อกไว้ด้วย พอแม่ไปนอนเอนหลังที่โซฟา(ลายหมู) หนูก็ชี้มือจะออกไปข้างนอก แม่ก็บอกว่า ไม่ออก อยู่ในบ้านนี่แหละ อ้อนวอนยังไงแม่ก็ไม่ไปเปิดให้ หนูก็เลยไปลากห่อผ้าอ้อมแพ็คใหญ่มาที่ประตู แม่ก็ดูว่าหนูจะทำยังไง ปรากฏว่าหนูขึ้นไปเหยียบห่อผ้าอ้อมแล้วเอื้อมไปปลดล็อกประตูได้!!
เฮ้ย...มันคิดยังงี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
แต่ที่ขำก็คือ เมื่อวานนี่เอง หนูพยายามจะออกไปข้างนอกอีก แต่ไม่มีใครเปิดประตูให้ คราวนี้ห่อผ้าอ้อม แม่ก็ขนไปเก็บในห้องนอนแล้ว หนูก็เลยไปหยิบกระดาษมาแผ่นหนึ่งมาวางไว้ที่หน้าประตูแล้วขึ้นไปเหยียบกระดาษ พร้อมกับเอื้อมไปปลดล็อก ก๊ากกกกกกกกกกกก
สาวไหมเอ๊ย.....คล้ายๆ จะฉลาดนะเนี่ย แต่ไม่รู้เหรอว่ากระดาษกับห่อผ้าอ้อมมันหนาต่างกัน
อย่างที่บอกว่านอกจากจะซนแล้วหนูยังมีแรงเยอะมาก วันก่อนก็พยายามยกรถสามล้อขึ้นไปไว้บนโต๊ะที่สูงประมาณ 30 ซม แม่ก็ไม่ช่วย หนูก็อึ้อ๊ะๆ เบ่งพลังเต็มที่แล้วยกขึ้นไปจนได้ โห ไอ้โหด ตัวกระเปี๊ยก ข้าวก็ไม่กิน เอาแรงมาจากไหนฟะเนี่ย
พอเอารถขึ้นไปตั้งไว้บนโต๊ะแล้วหนูก็ปีนโต๊ะขึ้นไปนั่งบนรถแล้วทำท่าจะปั่น!! เฮ้ยยยย หัวปูดเป็นลูกมะนาวตั้งหลายลูกน่ะ ไม่เคยจำเลยเรอะ
เพราะความซน สาวไหมเลยมีลูกมะนาวประจำตัวติดอยู่บนหัวเหม่งหลายลูก ลูกแรกอยู่ด้านขวา เพราะเธอคึกอะไรไม่รู้ แม่เอาคาร์ซีทมาวางที่ระเบียงหน้าบ้าน หนูก็กระโดดขึ้นไปเลย คาร์ซีทก็หงายหลัง ทั้งคาร์ซีททั้งหนูก็ล้มลงกับพื้น หน้าผากฟาดพื้นโป้กกกก หัวปูดเป็นลูกมะนาวทันทีเลย
สองวันถัดไป หนูก็เอาหน้าผากไปฟาดพื้นที่เนิสอีก เรื่องของเรื่องเพราะเล่นเตะบอลกับพี่โยโย่แล้ววิ่งไล่จับลูกบอล ล้มหัวฟาดพื้นอีก
เฮ้อออ.... มันจะโง่ไหมเนี่ย หัวปูดบ่อยๆ เนี่ย จะทำยังไงดีอ่ะ
ก่อนจบบล็อกวันนี้ อัพคลังคำของสาวไหมก่อน
1. จบแล้ว.... พ่อบอกว่าหนูฟังรายการลุงสรยุทธ ลุงสรยุทธพูดว่าจบแล้ว หนูก็จำแล้วพูดแต่คำว่า จบแล้ว จบแล้ว
2. แม่จ๋า พ่อจ๋า ฯลฯ จ๋า .... ที่เนิสสอนให้หนูพูดจ๋าต่อท้ายเวลาหนูเรียกใครๆ ดังนั้นพอกลับมาบ้านหนูก็จะเรียก แม่จ๋า แต่การเรียกของหนูนั้นจะมีจังหวะ หนูจะเรียก แมะ......จ๋า ป้อ.........จ๋า เวลาอยู่เนิสก็จะเรียก แอ๊น......จ๋า เรียกยายมวญว่า มวง......จ๋า
3. ขี้ .... หนูเป็นเด็กที่อึดมาก ตั้งแต่เล็กๆ เวลาผ้าอ้อม(ผ้า)เปียกฉี่ หนูก็ไม่ร้อง สวมผ้าอ้อมกระดาษเวลาอึเต็มก้นก็ไม่ว่าอะไร เดินไปเดินมาให้แม่ใช้สัญชาติญาณแม่อันแรงกล้าดมหากลิ่นเอาเอง แต่สองสามวันมานี่ เวลาหนูยืนเกร็งเบ่งอึสักพักก็จะเดินมาหาแล้วบอกแม่ว่า "ขี้ ขี้" เพื่อบอกว่า หนูอึแล้วเน้อ มาจัดการซะดีๆ พอแม่พาไปห้องน้ำ หนูก็จะก้มตัวให้ล้างก้นแต่โดยดี บางทีก็จะอ้าขาย่อตัวให้เอามือล้างก้นถนัดๆ หน่อย ฮ่า...อันนี้คือข้อดีของการไปเนิส
4. เหม็ม ... หมายถึง เหม็น จะพูดเวลาอึออกมาแล้ว พร้อมกับทำมือปัดไปมา แล้วพูด เหม็ม เหม็ม บางทีได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ ก็จะบอกเหม็มๆ เหมือนกัน
5. ฮับๆ .... ถ้าโทรศัพท์ดังขึ้น หนูก็จะบอกแม่ว่า ฮับๆ หมายถึงรับโทรศัพท์สิ เออ อันนี้ดูดีกว่าเคสเจ้พราวด์ของน้าเจี๊ยบนะ ว่าแล้วก็เอามาเล่าในที่สาธารณะดีกว่า น้าเจี๊ยบเล่าว่าเจ้พราวด์น่ะเวลาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังก็จะบอกน้าเจี๊ยบว่า "เจี๊ยบ ทอสับ" พอน้าเจี๊ยบรับแล้วคุยจนเสร็จเจ้พราวด์ก็จะถามน้าเจี๊ยบว่า "ใครโทรมา" ก๊ากกกกกกก น้าเจี๊ยบเป็นพี่เลี้ยงพม่าจริงๆ ฟ่ะ
6. หนูรู้จักอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเยอะแล้วล่ะ หนูรู้จักผม ตา หู จมูก ปาก แก้ม มือ เท้า พุง ถ้าถามว่าขี้ปุ๋มอยู่ไหน หนูก็จะเอามือจับพุง บางทีก็เอานิ้วจิ้มแก้มแล้วบอกว่า "เก้มๆ" วันก่อนเอามือจับจิ๋มก็บอกว่า จิ๋มๆ เฮ้ย อันนี้ไม่เคยสอน ไปฟังที่ไหนมาหว่า
วันนี้หนูนอนกลางวันนิดเดียวเองตอนนั่งรถกลับจากโรบินสันประมาณ 15-20 นาที แล้วก็ไม่ได้นอนเลย พอเย็นๆ ซัก 4 โมงกว่าหลังจากหม่ำข้าวเสร็จแล้ว แม่ก็พาหนูปั่นสามล้อไปรอบหมู่บ้านเลย กลับถึงบ้านทุ่มกว่า หนูนอนกลิ้งไปมาแป๊บเดียวก็หลับ
กรี๊ดดดดดดดดด เป็นไปได้ยังไงเนี่ย ดีใจเอ๊ยดีใจจัง
แต่....เมื่อกี้นี่เอง ก็ได้ยินเสียงตุบๆ เหมือนดังมาจากในห้อง คิดว่าพี่เจ้าสัวเล่นอยู่ที่บ้านเค้าเสียอีก (แบบว่าบ้านจัดสรรคนจน บ้านใกล้กันเหลือเกิน) ที่ไหนได้ อีกแป๊บได้ยินเสียงหนูร้อง แม่ก็รีบไปเอาขวดนมที่ชงไว้ในตู้เย็นออกมาให้ เปิดประตูเข้าไปก็ไม่เห็น อ้าว โน่น ไปยืนทุบประตูห้องน้ำโน่น พอแม่พาไปนอนกินนม แม่ก็เห็นปากกาแท่งหนึ่งวางอยู่บนที่นอน เอ๊ะ แม่ไม่ได้เอาปากกามาไว้แถวนี้นี่นา
พอสังเกตไปสังเกตมา อ้าววววว แขนและข้อมือซ้ายมีแต่รอยปากกาเป็นเทือกเลย ตรงหมอนก็มีอีกหลายหย่อม แสดงว่าหนูตื่นนานแล้วจนถึงกับไปค้นปากกามาเขียนจนเบื่อแล้วใช่ไหมเนี่ย ถึงได้ไปทุบประตูห้องน้ำเรียกแม่ไปเป็นของบูชายัญให้หนูเล่นอ่ะ
กรี๊ดดดดดดดด
แล้วคืนนี้มันจะนอนตีอะไรกันเนี่ย
Create Date : 18 มกราคม 2550 |
|
9 comments |
Last Update : 21 มกราคม 2550 22:52:55 น. |
Counter : 2689 Pageviews. |
|
|
|