1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31
Beleiving and Seeing are both oftern wrong
Beleiving and Seeing are both often wrong บทความวันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักการบริหารและการจัดการ แรงบันดาลใจมาจากนักบริหารการสงครามมืออาชีพคนหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันนี้ท่าน Retire แล้ว คือ Robert S. Mcnamara ภาพยนตร์สารคดี ที่สร้างจากเรื่องราวของท่านชื่อเรื่อง A Fog Of War ได้รับรางวัล OSCAR จำไม่ได้แล้วปีอะไร ในยุคหนึ่งชื่อของ Mcnamara ได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมนโยบายด้านการทหารของสหรัฐอเมริกา เป็นที่รังเกียจสำหรับผู้ที่ต่อต้านสงครามในยุคนั้น ท่านเป็นรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลของ John F. Kennedy และ Lindon B. Johnson ช่วงราวๆ ทศวรรษที่ 60 มีบทบาทสูงมากในรัฐบาลอเมริกันและเป็นผู้มีส่วนร่วมด้วยในการวางแผนกดดันให้สหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็นยินยอมถอนจรวดติดหัวรบนิวเคลียร์ออกจากคิวบา พวกเราบางคนยังไม่ถือกำเนิดเสียด้วยซ้ำ ถ้าเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นเสีย ป่านนี้อาจนั่งขุดดินหาของป่ากินอยู่ที่ไหนก็เป็นไปได้ เหตุการณ์ตอนนั้นต้องบอกว่าโลกเราเฉียดสงครามนิวเคลียร์จริงๆ เพราะอเมริการะดมทหารและสั่งเตรียมพร้อมถึงขั้นขีดแดงแล้ว ถ้าเกมการเมืองระหว่างประเทศในช่วงนั้น เดินผิดพลาดแม้ซักครึ่งตา แล้วมีใครขี้ตกใจสั่งกดปุ่มยิงก่อน ประวัติศาสตร์คงต้องเขียนกันใหม่หมดแน่นอน นอกจากนี้ Mcnamara ยังมีส่วนในการวางแผนและออกแบบการทำสงครามให้อเมริกาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เขาช่วยในการออกแบบการทิ้งระเบิดโดยใช้ป้อมบิน B29 ทั้งในยุโรปและในญี่ปุ่น และที่สำคัญคือมีส่วนร่วมอยู่ในการทิ้งระเบิดปรมาณูทั้ง 2 ลูกด้วย ถ้าดูสารคดีเรื่องนี้ จะมองเห็นอีกด้านหนึ่งของสงครามว่า ที่จริงแล้วมันก็ไม่ต่างจากการวางแผนธุรกิจขนาดใหญ่นั่นเอง เพราะมีการวัดประสิทธิภาพในการทิ้งระเบิดอย่างละเอียด มีการทำสถิติวิเคราะห์ข้อมูลและตัวเลขอย่างเป็นระบบ ซึ่งมีผลต่อการวางแผนและการออกแบบในการรบ เค้าวัดกันละเอียดถึงขั้นว่า การทิ้งระเบิดที่ระดับความสูงต่างๆ ให้ประสิทธิภาพในการทำลายพื้นที่ต่างกันอย่างไรโดยใช้หลักการของ Proportional ดังนั้น ผมไม่สงสัยเลยว่า ทำไมถึงมีชาวต่างชาติมากมาย (รวมทั้งคนไทย และพวกเราหลายๆ คนด้วย) นิยมไปเรียนวิชาการบริหาร หรือ MBA ในสหรัฐอเมริกา เรื่องที่จะเขียนในวันนี้ มีที่มาจากการที่อเมริกาตัดสินใจส่งทหารเข้ารบในสงครามเวียดนาม และ ต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างยับเยินในที่สุด ทหารอเมริกันตายในสงครามเวียดนามราว 6.5 หมื่นคน ฝั่งผู้ชนะสงคราม เวียดนามตายไปประมาณ 4 ล้านคน แมคนามาร่า ในวัย 80 ปี มองย้อนกลับไปและวิเคราะห์อย่างแหลมคมว่าอเมริกาพ่ายแพ้เพราะ Beleiving and Seeing (เชื่อก่อนแล้วค่อยไปดู) หรือว่ากันตามหลักพุทธศาสนาเพื่อให้คนไทยเข้าใจง่ายๆ คือหลักกาลามสูตร คือ อย่ามองเห็นในสิ่งที่เชื่อ อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น อเมริกาเข้าร่วมรบในสงครามเวียดนาม เพราะมีความเชื่อในทฤษฎีโดมิโน และมองเห็นการรุกคืบหน้าของคอมมิวนิสม์ในเกาหลี ต่อมาก็ลาว กัมพูชา จึงเชื่อว่าถ้าปล่อยให้เวียดนามเหนือสามารถรวมประเทศยึดเวียดนามใต้ได้ โดมิโนตัวต่อไปคือ ประเทศไทยจะล้มและจะลุกลามไปจนไม่สามารถควบคุมได้ในที่สุด เมื่อเชื่อตามนั้น ก็ตัดสินใจส่งกำลังทหารและความช่วยเหลือเข้าร่วมรบในเวียดนาม ในที่สุดอเมริกาพ่ายแพ้ในสงครามคราวนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า ทหารอเมริกันคิดว่ากำลังรบกับคอมมิวนิสม์ ซึ่งเป็นลัทธิความเชื่อทางการเมือง ที่ไม่มีตัวตน แตกต่างจากทหารเวียดกง ที่รบเพื่อประเทศชาติ รบเพื่อการรวมประเทศ และเพื่อขับไล่ต่างชาติ ทหารอเมริกันส่วนใหญ่เป็นทหารอาสาและทหารเกณฑ์ มาจากประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่งชนะสงครามโลก และไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับการต่อต้านที่รุนแรงและเข้มแข็งบวกกับอุปสรรคของเมืองร้อนชื้นอย่างเวียดนาม ที่สำคัญที่สุดคือแรงบันดาลใจต่างกัน รบกันยังไงก็ต้องแพ้อยู่ดี เมื่อแมคนามาร่า ในวัย 80 ปี ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เดินทางไปเวียตนามเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ในปี 1995 หลังจากที่อเมริกากับเวียดนามต่อสายสัมพันธ์ทางการทูตกันใหม่ ได้มีโอกาสพบกับอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม คู่สงครามที่เคยอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม มีโอกาสนั่งโต๊ะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน จึงได้รับทราบความจริงว่าชาวเวียดนามเข้าใจว่าอเมริกาจะเข้ามาแทนที่ฝรั่งเศส ดังนั้นจึงต่อสู้เพื่อขับไล่ผู้ยึดครอง (หรือจักรวรรดินิยมแบบฝรั่งเศส) ถึงแม้ว่าจะเหลือทหารคนสุดท้ายก็ตาม แมคนามาร่าเข้าใจและได้ข้อสรุปมาเป็นบทเรียนในที่สุดว่า อเมริกาแพ้สงครามเวียดนามเพราะไม่รู้เขารู้เรา ไม่เข้าใจความคิดของชาวเวียดนามและเรียนรู้ว่าศัตรูกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าสามารถวิเคราะห์พื้นฐานสำคัญนี้ได้อย่างถูกต้อง อเมริกาคงไม่แพ้สงครามและอาจตัดสินใจไม่ส่งทหารเข้าเวียดนาม ต่างจากวิกฤติการณ์นิวเคลียร์คิวบา ที่หน่วยข่าวกรองและผู้นำระดับสูงของรัฐบาลอเมริกัน รู้ไส้รู้พุงของผู้นำรัสเซียในยุคนั้น (นิกิต้า ครุสชอฟ) เป็นอย่างดี จึงสามารถรับมือกับสถานการณ์และเอาชนะได้ในที่สุด โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อชีวิตทหารแม้แต่คนเดียว เรื่องที่เล่ามาให้ฟังในวันนี้ เป็นประวัติศาสตร์มีประโยชน์มาก เราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาดในอดีต ยิ่งเป็นเหตุการณ์ใหญ่ระดับโลกขนาดนี้ ผมว่าหาได้ยากที่จะได้รับรู้ถึงแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด ได้รู้ว่าทำไมถึงตัดสินใจใช้กำลังแบบนั้น แล้วเราควรวางแนวคิดและวิธีตรวจสอบก่อนจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายได้อย่างไร นอกจากนี้มันยังมีประโยชน์อย่างมากในการมองสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ผมอยากให้ลองเทียบเคียงความรู้สึก ในขณะนั้นดูว่าเหมือนตอนนี้หรือไม่ ในราวปี 70-75 พวกเราส่วนใหญ่ยังเป็นเด็กอยู่ บางคนอาจจำได้คร่าวๆ บางคนลางๆ แต่คนที่สนใจศึกษาหาข้อมูลต่อในภายหลังจะได้เปรียบมาก เพราะเราอยู่ในเหตุการณ์ ถึงจะยังเด็กอยู่ก็ตาม คงจำได้ข่าวเรื่องคอมมิวนิสม์เป็นเหตุการณ์ใหญ่มาก ดูเหมือนรัฐบาลพยายามเขียนภาพคอมมิวนิสม์ให้น่ากลัวเกินความเป็นจริง โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ผมยังจำได้ว่าทั้งเกลียดทั้งกลัวคอมมิวนิสม์เวียดนาม ยิ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกิดความขัดแย้ง (จำไม่ได้แล้ว) ด้านชายแดนกัมพูชา มีข่าวว่ากองกำลังเวียดนามเข้าประชิดชายแดนด้าน อ.ตาพระยา ยิ่งน่ากลัวกันไปใหญ่ ถ้าเป็นสมัยนี้นะ คงเกิดกลียุค มีการตุนข้าวสารอาหารแห้ง บางคนอาจเลยเถิดถึงขั้นขายทรัพย์สินอพยพไปอยู่ในประเทศตะวันตกกัน ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่บ้านเราสามารถผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวได้โดยไม่มีสงคราม ***ลองศึกษาดูประวัติศาสตร์ดูสำหรับผมเห็นว่าโอกาสที่กองทัพเวียดนามจะรุกเข้าชายแดนไทยในเวลานั้น เป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดน้อย เพราะวัดส่วนได้ส่วนเสียแล้ว คงไม่น่าจะคุ้ม อีกอย่างการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศในขณะนั้น รัฐบาลหม่อมคึกฤทธิ์ ทำได้ดีมาก ท่านได้ไปเยือนจีนเป็นครั้งแรกในราวปี 2521 ถ้าจำไม่ผิด มีผลอย่างสูงต่อดุลอำนาจทางการเมืองในภูมิภาค เพราะนั่นหมายถึงพี่ใหญ่ให้การยอมรับประเทศไทยแล้ว น้องเล็กอย่างเวียดนามจะมารังแก พี่ไทย พี่ใหญ่คงไม่ยอม ยังไงยังงั้น ในช่วงที่นั่งคุยกัน รัฐมนตรีเวียดนามคุยกับแมคนามาร่าว่า นี่แน่ะ คุณไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์เลยหรือว่า เวียดนามไม่เคยยินยอมที่จะตกอยู่ภายใต้ (บาทา) ของชาวต่างชาติ เรารบกับจีนมาเป็นพันๆ ปี แล้วจะยอมเป็นเบี้ยล่างให้จีนหรืออย่างรัสเซียใช้ในสงครามเย็นได้อย่างไร เรารบเพราะเหตุผลขอเราเอง เราต้องการมีอิสรภาพมากกว่า ...ซึ่งมันแตกต่างจากความเชื่อของโลกเสรีในยุคนั้นอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นเรื่องราวแบบ Geopolitical มาเล่าให้อ่านกันสนุกๆ อย่าเอาไปคิดให้หนักสมอง เครียดมากเดี๋ยวจะมาหาว่านายนรภพเอาเรื่องหนักๆ มาเล่าให้ฟังทำไม อ้าว แต่ถ้าทนอ่านได้จนถึงตอนนี้ ผมว่าเกิดประโยชน์แก่ท่านแล้วนะ ใครไม่ทนอ่านก็ถือว่าชวดไปแล้วกัน
Create Date : 17 กรกฎาคม 2552
Last Update : 20 กรกฎาคม 2552 11:56:23 น.
3 comments
Counter : 339 Pageviews.
โดย: Elbereth วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:43:00 น.
โดย: Jiraphan IP: 69.67.114.232 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2552 เวลา:3:32:22 น.
โดย: da IP: 124.122.247.144 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:22:14:58 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [? ]
เกิด กทม.ใช้ชีวิตเสี้ยวหนึ่งในวัยเด็กอยู่กับอาม่าในตลาดหัวรอ จ.อยุธยา เรียนในกทม.ตลอด มีชีวิตที่ค่อนข่างเรียบง่าย ค่อนข้าง progressed conservative ออกกลางๆ แต่มองโลกเป็นสีเทาและไม่นิยมความรุนแรง ชอบเขียนหนังสือ ตอนนี้รู้แล้วว่าเกิดมาก็เพื่อเรียนรู้กายใจของตัวเองและยอมรับแล้วว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน