Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
ตอนที่ 4

สแลงจีน ตอน 4

ตอนที่ 4 นี้ ไม่อารัมภบทกันยืดยาวหล่ะนะ ว่ากันต่อเลย จากตอนจบตอนที่แล้ว กำลังว่ากันมันส์ๆ เรื่องราวของพวกช่างพูดจำอวดทั้งหลาย มันมีอีกคำหนึ่งนะ คือคำว่า เฮ้าเลี่ยง หรือ เฮ้าเลี่ยน มาเฉี่ยวๆ เรื่องฮาๆ ดีกว่า เขียนแล้วเสียวโดนตื้บเหมือนกัน (ถ้าผมโดน พวกคุณก็โดนด้วยเหมือนกันโทษฐานเชียร์ให้เขียนดีนัก) ผมว่านะ มีคนบางพวก พวกที่ตอนนี้เค้ากำลังเถียงกันอยู่ว่า จะให้มันเป็นโจร 500 หรือโจร 400 จำพวกนั้นแหละ จำเป็นต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานตัวนี้ก่อน คือมันต้องเฮ้าเลี่ยง แล้วก็ต้องตั่วหมิ่งด้วย อิ...อิ...พูดแล้วเฉียวไฉ้

O.K. มาแปลความหมายกัน คำว่า เฮ้าเลี่ยน ถ้าถอดแปลทีละคำไม่แน่ใจว่าจะไปถูกทางหรือเปล่า แต่แปลรวมๆ กัน แบบมันส์ๆ ฮาๆ แปลว่าพวกที่ชอบเอาหน้า ถ้าไม่เห็นภาพก็นึกถึงสเปิร์มเวลาวิ่งเข้าหา Embryo ก็ได้ แย่งกันเฮ้าเลี่ยนใหญ่เลย เห็นไหม ฮี่...ฮี่...ฮี่ คำๆ นี้นะ ให้นึกถึงพวกเฮ้าเลี่ยนเวลาแย่งกันจีบหญิง ถ้ามีการแข่งขันกัน มันก็ต้องแย่งกันตั่วหมิ่งกับเฮ้าเลี่ยน ใช่ไหมจะได้โชว์ออฟให้ หมวยประทับใจ...พูดไปพูดมา โดนตัวเองจนได้ ตอนจีบแม่บ้าน กูก็เฮ้าเลี่ยนนี่หว่า

ในตอนที่แล้ว ได้เอ่ยถึงคำๆ หนึ่ง แล้วก็จงใจไม่แปลมันซะงั้นแหละ ก็วางหมากไว้แล้วว่าจะเขียนต่อ เลยมาแปลมันซะในตอนนี้ คำว่า ทัวบั๊ว กังเจียมทู้ ที่เอ่ยถึงในตอนที่แล้ว จริงๆ แล้ว แยกเป็น 2 คำนะ แต่เอามารวมกันเป็นวลีที่เสริมกันทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น คำว่า ทัวบั๊ว นี่ ทำให้เห็นภาพย้อนหลังถึงความยากลำบากของบรรพบุรุษ ชาวจีนอพยพโพ้นทะเลที่เรียกว่า ฮั่วเคี้ยว หรือ หัวเฉียว สมัยพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดเรา นวนิยายเรื่องลอดลายมังกรที่ทำเป็นละครทางทีวีนี่ใช่เลย สมัยก่อน อากง เหล่ากง (ทวด) ลำบากอย่างนี้แหละ แบบอาเหลียงในเรื่องตอนที่ยังเข็นรถขนผักในตลาด เพราะส่วนใหญ่ก็มาแบบเสื่อผืนหมอนใบทั้งนั้น ตัวนายนรภพเองก็มีอากงขี้เมา เป็นกรรมกรแบกข้าวสารอยู่คลองสาน เตี่ยก็ใช่ว่าสบาย ตอนแกมาจากซัวเถาใหม่ๆ ก็ลำบากไม่ใช่เล่น โชคดีได้เรียนหนังสือนิดหน่อย พออ่านออกเขียนได้ ทำให้มีความสามารถในการพัฒนาตัวเองได้ ส่งผลดีมาจนถึงลูกหลาน ซึ่งมาจนถึงทุกวันนี้ ก็นับว่าแกสบายแล้ว พวกเรานี่โชคดี บรรพบุรุษตัดสินใจถูกต้อง ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร อยู่ในเสี่ยมล้อ ในเมืองที่มีแต่สันติสุข อย่างที่ผมเคยเขียนแตะๆ ไปบ้างในบทความเกี่ยวกับเขมรว่า โชคดีที่พวกอากงอาม่าไม่ลงเรือที่ ค้ำมิ้ง หรืออันนั้ม เพราะฉะนั้น ก็ขอให้รักประเทศนี้ให้มากๆ นะครับ

เอาหล่ะ เรามาแปลความหมายคำว่า ทัวบั๊วกัน คำนี้เวลาพูดจะย่อเป็นคำว่าทัว หรือคำว่าบั๊ว คำเดียวโดดๆ ก็มีความหมายครือๆ กันนะครับ แปลว่าความวิริยะอุตสาหะ ลำบากลำบน ทำมาหากินสุจริตประมาณนั้น คำว่าทัวนี่ยังแปลว่าลาก (สิ่งของ) ได้อีก ส่วนกังเจียมทู้ นี่ ฮานิดหน่อย คือจริงๆ แล้วมันมีร้านอาหารชื่อกังเจียมทู้ ร้านนี้มีจริงๆ นะครับ ไม่ได้ล้อเล่น ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ขาออกรู้สึกว่าจะเลยนวนครไปนิดนึง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนเริ่มต้นเอาคำสองคำนี้มารวมกัน แล้วร้านอาหารเอาคำนี้ไปตั้งเป็นชื่อร้าน หรือคนพูดเอาชื่อร้านมาพูดเป็นวลีสร้อยให้ไพเราะ น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า คำว่ากังเจียมทู้นี่ ถ้าถอดออกมาทีละคำแบบแต้จิ๋ว ความหมายมันออกไปทางลำบากลำบนคล้ายๆ กัน คำว่า กัง แปลว่า งาน อย่างจับกัง นี่แปลว่ากรรมกรหรือกุลี บางทีก็เรียกว่าพะจั๊บ ก็ได้ เจียม นี่แปลว่าแหลม แต่ในความหมายทางการค้าแปลว่ากำไรน้อย หรือลงทุนลงแรงมากๆ แต่ได้ผลตอบแทนน้อย เช่นคำว่า เจียมถั่ง ซึ่งแปลว่ากำไรน้อย ทู้ นี่มาจากคำว่า ถู่ซี่หรือคนไทยมาแผลงเป็นทู่ซี้ คำนี้น่าจะรู้จักนะ ดังนั้นเวลาเอามาพูดรวมๆ กันว่า ทัวบั๊ว กังเจียมทู้ มันเห็นภาพทันที ว่าลำบากมาก ถ้าคนเคยผ่านมาแล้ว ต้องน้ำตาไหลเลย เวลานึกถึงความหลัง คนรุ่นพวกเราส่วนใหญ่น่าจะยังเข้าใจและมีส่วนร่วมอยู่บ้างกับความยากลำบาก ส่วนรุ่นลูกรุ่นหลานเรา คำๆ นี้กับคำเสื่อผืนหมอนใบคงค่อยๆ จางหายไป ตามสภาพของสังคมในปัจจุบัน

ในทางการค้านะ พ่อค้าที่จะต้อง ทัวบั๊วกังเจียมทู้ หมายความถึงจำยอมต้องขายของราคาต่ำ หรือยอมลดราคาแถมกระหน่ำ ก็เพื่อรอโอกาสในวันข้างหน้า หรือมองว่าเป็นการซื้ออนาคต ดังนั้นวันนี้ยอมทนลำบากหน่อย กำไรน้อยหน่อย ก็ไม่เป็นไร ทนไปก่อนเพื่อรอโอกาสที่จะทำกำไรเป็นกอบเป็นกำในระยะยาว วัฒนธรรมทางการค้าแบบนี้นะ ผมว่าเป็นลักษณะเฉพาะตัวของพ่อค้าชาวจีน (รวมทั้งชาวตะวันออกด้วย เช่นญี่ปุ่น) ไม่ใช่ชาติตะวันตกอย่างพวกฝรั่งซึ่งมักจะไม่ค่อยยอมทนกันเท่าไร เท่าที่เคยเห็นมาและเคยสัมผัสนะ บางคนพร้อมจะทิ้งตลาดสะบัดก้นโดยไม่คำนึงถึงความหลังเลย เวลาตัวเลขกำไรหรือที่เค้าเรียกว่า Return ตกลงต่ำกว่าตัวเปรียบเทียบ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามที่ถือเป็น Reference เช่น ถ้าราคา Export ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า Domestic มันหยุดขายเลยทันที แล้วอ้างคำเดียวว่าไม่คุ้ม จนถูกด่าไล่หลังไปก็มี เพราะวัตถุดิบบางประเภทมีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน พวกนี้นะอย่าหวังว่าจะได้กลับเข้าตลาดใหม่ ในยามที่ตลาดหวนกลับมาอยู่ในมือของผู้ซื้อ (Buyer’s Market) แล้วเดี๋ยวนี้นะยุคใหม่เทรนด์สมัยใหม่ พวกบรรษัทข้ามชาติ เวลามีการรวมตัวกันโต (Merge) ผมเห็นมีแต่คนรุ่นหนุ่มรุ่นใหม่ๆ ถูกดันขึ้นมาเป็นใหญ่หรือมีอำนาจตัดสินใจกันทั้งนั้น แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้นะครับ เพราะคนรุ่นหนุ่มเหล่านี้ ไม่ได้ผ่านประสบการณ์ทัวบั๊วกังเจียมทู้ มาเหมือนคนรุ่นเก่า มันก็ดีอย่างเสียอย่าง เพราะจะได้ตัดสินใจบนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่มามัวแต่เกรงใจกัน ก็ตำรามันสอนมาให้ดูแต่ Growth กับ Profit นี่ Goodwill เอาไว้ทีหลังก่อน มันวัดกันไม่ได้ จริงแมะ

เอ้ามาเรื่องถัดไป ผมว่าพวกเราส่วนใหญ่มีความรับผิดชอบในงานที่ตัวเองทำในระดับสูงแล้วและก็มีลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาต้องคอยดูแลกัน บางคนเป็นเจ้าของเงินซะด้วยซ้ำ (เป็นเถ้าแก่) ก็จะรู้ซึ้งถึงวลีๆ นี้เป็นอย่างดี เพราะบางทีก็ต้อง เขี่ยตื่อเจียมัก หรือมองข้ามข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ทำเป็นมองไม่เห็นซะ ยิ่งคุณมีภาระหน้าที่การงานสูงขึ้นไปเท่าไร ก็ต้องนิ่งเข้าไว้ให้มากขึ้น จริงไหมครับ วลีนี้นะ เอามาถอดออกทีละคำ เขี่ย คือ ถือ ตื่อหรือตู่ คือ ตะเกียบ เจียแปลว่าบัง มักแปลว่าตา เอามารวมกันแล้วมันก็คือ กิริยาที่เราเอาตะเกียบบังตาเอาไว้นั่นแหละ คนจะเป็นเถ้าแก่ควรจะเข้าใจวลีนี้อย่างถ่องแท้ (แต่ก็ทำยากมากๆ ด้วย เพราะมันเห็นอยู่ตำตา บางทีก็ทำใจไม่ได้) ถ้าเด็ดขาดเกินไป ลูกน้องก็จะอยู่ด้วยไม่ได้ ต้องลงมือทำเองทั้งหมด มันจะไม่ไหว เพราะหลักการของการเป็นเถ้าแก่ คือ ออกไอเดีย บริหารกิจการ ใช้คนทำงาน ให้ทรัพยากรต่างๆ ที่มีหมุนเวียนเป็นเงินสดเป็นยอดขายออกมาพร้อมกับกำไร ถ้าทำเองทั้งหมด มันจะไม่โต แป้กอยู่ตรงนั้น ดังนั้น วลีนี้แปลตรงๆ ก็คือ แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นนั่นแหละ คนเราบางครั้งก็ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใช่ไหมครับ ขืนตั่วหมิ่ง เหมาหมด คงรับไม่ไหวแน่ๆ

ตอนนี้ ขณะที่กำลังเขียนอยู่ เผอิญเกิดความรู้สึกเบื่อขึ้นมากะทันหัน พร้อมๆ กับกำลังหารันเวย์ลงจอดเพื่อจบตอน ก็ขอหักมุมเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อระบายความรู้สึกเบื่อๆ ออกมา หวังว่าท่านผู้อ่านที่ติดตามบทความของผมจะให้อภัยหรือจะร่วมด้วยช่วยกันเข้ามาแจมความรู้สึกกันก็ได้นะ ผมมีความรู้สึกเหมือนตอนนี้ ห้วยหยัวะฉู่ ซึ่งแปลว่าไฟกำลังไหม้บ้าน คือปีที่แล้ว มีคนในบ้านผมหลายๆ คน จะไล่หนูในบ้าน แต่ทำยังไงก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เลยชักชวนกันจุดไฟไล่ แทนที่จะรื้อข้าวของจัดบ้านเสียใหม่ แก้ไขกฎระเบียบให้รัดกุม กลับไปใช้วิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่า ตอนนี้ทำท่าว่าไฟที่จุดไว้ มันจะลุกลามใหญ่โตจนสร้างความเสียหายให้กับตัวบ้านแล้ว หน้าร้านที่เคยใช้ทำการค้ายังพอใช้การได้อยู่ แต่ห๋วยอิง (ควันไฟ) ก็เริ่มส่งผลทำให้ลูกค้าหนี ไม่เข้าร้านแล้ว เดือดร้อนกระเป๋าสตางค์คนในบ้านทั้งหมด เพื่อนบ้านทั้งที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับพวกต่างหมู่บ้าน ก็เริ่มมองบ้านเราด้วยสายตาแปลกๆ ว่า อยู่ดีๆ จุดไฟเผาบ้านตัวเองทำไม แต่ทำไงได้หล่ะ ไอ้นี่มันบ้านเรา ก็ต้องทน ถู่ซี่ กังเจียมทู้กันไป และก็ได้แต่หวังว่าคนในบ้านจะช่วยกันดับไฟกันคนละไม่คนละมือ ถึงแม้ว่าบางคนจะไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่เห็นด้วยกับพวก ปั๊งห้วย ก็ตาม อยู่ในบ้านเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยๆ กันคนละไม่คนละมือ สามัคคีกันเข้าไว้

เฮ้อ...มักเสียบ แจ่ซี่ ไป อี่สี่ เจียะแต๊ ดีกว่า

นายนรภพ
1/2/50




Create Date : 08 กรกฎาคม 2552
Last Update : 8 กรกฎาคม 2552 16:25:50 น. 1 comments
Counter : 6583 Pageviews.

 
สวัสดีครับ เขียนสนุกดีนะครับ เรื่องการค้าการขายนี่ การบริหารนี่มีความตื่นเต้น สนุกสนานในตัวเอง เอามาผสมกับวัฒนธรรมมุมมองนี่ แต่ละคนคิด เขียนนี่แตกต่างกันมากมายเลยครับ
จะแวะมาอ่านเรื่อยๆครับ


โดย: นพมาร IP: 118.173.87.238 วันที่: 9 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:07:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

norapob
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เกิด กทม.ใช้ชีวิตเสี้ยวหนึ่งในวัยเด็กอยู่กับอาม่าในตลาดหัวรอ จ.อยุธยา เรียนในกทม.ตลอด มีชีวิตที่ค่อนข่างเรียบง่าย ค่อนข้าง progressed conservative ออกกลางๆ แต่มองโลกเป็นสีเทาและไม่นิยมความรุนแรง ชอบเขียนหนังสือ

ตอนนี้รู้แล้วว่าเกิดมาก็เพื่อเรียนรู้กายใจของตัวเองและยอมรับแล้วว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
Friends' blogs
[Add norapob's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.