เสมือนแม่-เสมือนพ่อ
เพลงเรียงความเรื่องแม่ เด็ก ๆ เล่นดนตรีและร่วมกันร้องในงานที่นี่
เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วช่วงวันแม่ เราได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกเพราะเด็ก ๆ มาร้องกัน เราก็ถามว่าร้องทำไม ไปเอามาจากที่ไหน เด็ก ๆ บอกว่าครูที่โรงเรียนสอนร้อง เราฟังก็ได้แต่น้ำตาซึม เด็ก ๆที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นกำพร้า ในโรงเรียนก็เด็กด้อยโอกาสและเด็กกำพร้าซะส่วนมาก
เด็ก ๆ บางคน ที่อยู่ที่นี่กับเรา จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแม่หน้าตาเป็นยังไง เด็กบางคนไม่มีกระทั่งเลข 13 หลัก เรื่องญาติไม่ต้องไปถามถึง
ถ้าใครเคยมาที่นี่แล้วถามเด็ก ๆ ว่าหนูมาจากที่ไหน บ้านอยู่ที่ไหน จะมีเด็กบางคนที่ตอบว่า "หนูมาจากวัดพระบาทน้ำพุ บ้านหนูอยู่วัดพระบาทน้ำพุ" เพราะเด็กพวกนี้จำความได้ก็โตมาในกุฎิพระอาจารย์แล้ว
พ่อแม่อุ้มกันมา โซซัดโซเซกันมา หลักฐานอะไรก็ไม่มี พอพ่อตายแ่ม่ตาย เด็กจะไปอยู่ที่ไหนได้ เพราะการที่สังคมตราหน้าพวกเค้าว่า "ลูกเอดส์"
เด็กบางคนไม่ได้ติดเชื้อด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเค้าเกิดมาจากคนที่มีเชื้อ เลยทำให้เค้าเป็นที่รังเกียจของสังคมและเด็กบางคนก็โชคร้ายติดเชื้อมาจากพ่อแม่
เด็กที่ไม่ติดเชื้อบางคน พอโตมาญาติเริ่มจะไม่รังเกียจ(แล้วมั้ง) เคยมีเด็กอยู่คน ญาติจะมารับกลับไปอยู่บ้านด้วย คิดได้เนาะ ทิ้งไว้ตั้งแต่ 3 ขวบ มารับตอน 12 เด็กมันคงไปหลอกค่ะคุณขาาา
เด็กงงสิคะ จำไม่ได้ เกิดมาก็จำได้แต่ว่ามีป๊ะป๋า(พระอาจารย์) กับพี่เลี้ยง ครู ที่เปลี่ยนหน้ากันไปเรื่อย ๆ กับเพื่อน พี่น้อง ที่มาจากพ่อแม่ที่ติดเชื้อเหมือนกัน ญาติพี่น้องที่ไหนไม่มี พอโตใช้งานได้มีญาติเฉยเลย
ถ้าแบบนี้เราไม่เคยห้ามเด็กนะในการที่จะกลับไปอยู่บ้าน ถ้าเด็กอยากไป เราให้ไป แต่ก็ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ญาติก่อน ว่าเป็นของจริงมั้ย และมีการลงบันทึกประจำวันที่โรงพัก ว่าจะมาขอรับเด็กซึ่งเป็นลูกเป็นหลานอะไรก็ว่าไป กลับไปอยู่บ้านด้วย แต่ที่ผ่านมา มีเด็กกลับไปอยู่กับญาติแค่คนเดียว
ที่เหลือปฏิเสธญาติเหมือนตอนที่ญาติปฏิเสธเค้าหมด ส่วนใหญ่ถ้าญาติคนไหนดี ๆ หน่อยเราก็จะบอกว่า ให้มารับเด็กไปตอนปิดเทอมก่อนมั้ยคะ เพื่อให้เด็กปรับตัวก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกทีนึง ส่วนใหญ่เด็กกลับไปอยู่กับญาติได้สักสองสามอาทิตย์ก็ร้องกลับมานี่แล้ว
เราไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเคยชินส่วนนึง หรืออีกส่วนนึงจะมาจากการที่เค้าไปเจอสังคมซึ่งเคยผลักเค้าให้เข้ามาอยู่ที่นี่ ทำให้เค้าไม่สามารถใช้ชีวิตปกติในสังคมได้
เคยมีคนถามเราว่า แล้วอย่างนี้จะเลี้ยงเด็กพวกนี้ไปเรื่อย ๆ หรอ จะให้เค้าอยู่ที่นี่ตลอดหรอ??
เราก็ตอบไปแค่ว่า เราเลี้ยงลูก ไม่ได้เลี้ยงเด็กติดเชื้อ เราให้เด็กเลือกทางเดินของเค้าเอง ทุกวันนี้เราเตรียมความพร้อมของเด็กในการไปใช้ชีวิตข้างนอกให้กับเค้า เราพาเค้าไปในที่ที่เค้าอยากไป เราเคยพาเด็ก ๆ ไปปล่อยตามตลาดนัด ตามห้าง ให้เงินเค้าไป แล้วให้เค้าเดินซื้อกันของกันเอง แต่นั่นไม่ใช่การใช้ชีวิตในสังคมภายนอกที่แท้จริง
ตอนนี้เรามีเด็กที่อายุมากที่สุดคือ 19 ปี ตอนนี้เรียนอยู่ราชภัฎเทพสตรีที่ลพบุรี เราให้เค้าเรียนกศบป. คือเรียนเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ทุกเย็นวันศุกร์เด็กคนนี้จะนั่งรถเมล์ไปลงที่บ้านเราที่อยู่ในอ.เมือง (บ้านเราอยู่ซอยหลังราชภัฎเทพสตรี) เพื่อไปเรียนหนังสือ เย็นวันอาทิตย์ก็จะนั่งรถกลับมาที่นี่เอง
บ้านเราที่เด็กไปอยู่ จะมีแค่น้องชาย กับหลาน ๆ อยู่ เพราะแม่เราอยู่อีกที่นึง เพราะฉะนั้นเด็กคนนี้ก็ต้องดูแลตัวเองช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารการกิน ไปจนถึงการเรียน
เราบอกเด็กไปแค่ว่า รักดีก็ได้ดี รักชั่วก็ได้ชั่ว จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเอง เราคงได้แค่ทำหน้าที่เสมือนแม่ให้พวกเค้าได้แค่นั้น ทุกวันนี้ เด็กคนนี้ก็ต้องทำงาน เรามีงานให้ทำ ในวันธรรมดา ค่าเทอมเราออกให้ก่อน แล้วค่อยมาผ่อนคืน เวลาเงินเดือนออก ให้เค้ารู้จักรับผิดชอบตัวเองไปเลย
ตอนนี้เด็กคนนี้มีบ้านส่วนตัวที่อยู่ในโครงการฯ 1 หลัง ก่อนที่เด็กจะไปเรียนข้างนอก เราพาเด็กไปพบจิตแพทย์ก่อน หลาย ๆ คนมองว่าการพบจิตแพทย์เป็นเรื่องผิดปกติ แต่สำหรับเรา ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ จิตแพทย์กับเราเป็นของคู่กัน
เราให้เค้าไปคุยกับจิตแพทย์เพื่อที่เตรียมความพร้อมสำหรับเด็กที่กำลังก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เค้าไปเรียนหนังสือ ต้องมีสังคม ต้องมีโลกภายนอก ที่เค้าจะต้องตัดสินใจในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการมีเพื่อน การมีแฟน เป็นสิ่งที่เค้าต้องตัดสินใจเอง
การมีเพื่อน เค้าต้องเลือกว่าจะเปิดเผยตัวกับเพื่อนหรือไม่ เราบอกแค่ว่า ถ้าหนูทำอะไรลงไปเกี่ยวกับชีวิตหนู หนูต้องพร้อมจะรับผลที่ตามมา ทุกวันนี้ที่เรารู้มา เด็กเรียนไปเทอมนึงแล้ว ยังไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวเองกับเพื่อน
การมีแฟน เค้าต้องเลือกว่าถ้ามีแฟนแล้วเค้าเปิดเผยตัว แฟนจะรับได้หรือไม่ และสิ่งสำคัญเราบอกว่าควรบอกความจริงไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเรา แล้วให้เลือกเอาว่าถ้าผู้ชายรับได้ในสิ่งที่เค้าเป็น แล้วเค้าต้องเลือกว่า ถ้าเค้ามีครอบครัว เค้าจะมีลูกหรือไม่มี เค้าอยากให้ลูกเค้าเกิดมาเป็นอย่างเค้าหรือเปล่า???
นั่นคือเหตุที่เราต้องพาทั้งเด็กและเราไปพบจิตแพทย์ เหอ เหอ เหอ เพราะ 1 เราไม่รู้ว่าการสอนของเราผิดหรือเปล่า 2 มีอะไรอีกมั้ยที่เด็กไม่กล้าพูดกับเรา
เวลาเราว่าง ๆ (ไม่ว่างสิ) ระหว่างพาเด็กไปตรวจที่ศิริราช เราก็จะแอบหนีไปคุยกับจิตแพทย์ กับพี่ฝ่ายให้คำปรึกษาที่ศิริราช การทำหน้าที่เสมือนแม่ของเรา บางทีมันก็หนักหนาเกินบรรยาย บางทีมันก็สบาย ๆ จนนึกไม่ถึง
ใกล้วันแม่แล้ว เด็ก ๆ เริ่มตื่นเต้นกับการเขียนการ์ด หาของขวัญมาให้เรา ปีแรกที่เด็ก ๆ ทำให้ ตื่นเต้นมาก เพราะเด็ก ๆ ปิดบังกัน ไม่ยอมบอก แล้วรวมกันมาเอาของมาให้ และกราบที่เท้า มันเป็นอะไรที่เราจดจำได้แม่นยำ บรรยายไม่ถูกหรอกว่ามันเป็นยังไง แต่รู้สึกตื่นเต้นกว่าตอนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรซะอีก(ไม่ได้เวอร์นะ) มันเป็นอะไรที่ไม่คิดมาก่อนว่าเค้าจะรักเราขนาดนั้น
แต่ปีนี้ บอกตรง ๆ ว่าไม่ตื่นเต้นแล้ว แต่ดีใจ เพราะว่าเป็นอะไรที่รู้อยู่แล้วว่าเค้าต้องทำมาให้ เด็ก ๆ ไม่ได้ให้เราแค่คนเดียว แต่ให้พี่เลี้ยงคนอื่นด้วย เพราะที่นี่พวกเราทุกคนทำหน้าที่ "เสมือนแม่ - เสมือนพ่อ"
พวกเราคงแทนแม่ แทนพ่อของเด็ก ๆ ที่นี่ไม่ได้ และไม่มีทางที่จะแทนที่กันได้ เพราะพวกเราไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่ผู้ให้ชีวิต แต่พวกเราเป็นผู้เลี้ยงดู สั่งสอน แต่จะทำหน้าที่ "เสมือนแม่ - เสมือนพ่อ" ให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ อาจไม่สมบูรณ์แบบ อาจไม่ดีที่สุด(สำหรับคนอื่น) แต่ต้องดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
Create Date : 09 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 9 สิงหาคม 2552 22:56:08 น. |
|
7 comments
|
Counter : 769 Pageviews. |
|
|
ต้องส่งไปที่ไหนหรอคะ ^o^
พี่สู้ๆนะคะ ....โชคดีจริงๆที่ในโลกนี้มีคนแบบพี่และพระอาจารย์
ปล. ตอบไว้ในนี้ก็ได้นะคะเดี๋ยวจะมาอ่านบ่อยๆ
anas_pan@msn.com